ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยมาตลอดคิดรวมแล้วกว่า 30,000 ล้านบาททั้ง ๆ ที่นักวิเคราะห์และคนที่อยู่ในแวดวงการลงทุนต่างก็คาดการณ์ว่าตลอดปีนี้ต่างชาติน่าจะกลับมาซื้อหุ้นไทยเนื่องจากพวกเขาถือหุ้นไทยในสัดส่วนน้อยลงไปพอสมควรเมื่อเทียบกับอดีตยาวนานที่ผ่านมาราวกับว่าต่างชาติจำเป็นหรืออยากที่จะถือหุ้นไทยจำนวนมากอย่างที่เป็นมาในอดีต ว่าที่จริงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ขาย “สุทธิ” หุ้นไทยรวมกันแล้วประมาณ 300,000 ล้านบาท แต่ก็ไม่เคยมีใครออกมาวิเคราะห์ว่าทำไมนักลงทุนต่างชาติจึงขายหุ้นไทยมากอย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง เหตุผลนั้น ผมคิดว่าเป็นเพราะนักวิเคราะห์และคนในตลาดหุ้นนั้นไม่อยากรับรู้เรื่องราวที่เป็นลบ พวกเขาอยากจะพูดเฉพาะสิ่งที่เป็นบวกที่จะช่วยให้ราคาหรือดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่น “ฝรั่งจะกลับมา” เพราะ…
เหตุที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น ผมก็พยายามหาเหตุผลโดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องของการปรับพอร์ตหรือประเด็นการโยกย้ายเงินเนื่องจากความแตกต่างในเรื่องของดอกเบี้ยและเงินเฟ้อของประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้วและเป็นเจ้าของเงินที่นำมาลงทุนในประเทศไทยหรือตลาดหุ้นไทยมากนัก บอกตามตรงผมเองก็ไม่รู้ว่านักลงทุนหรือกองทุนต่างชาติคิดอย่างนั้นจริงหรือไม่ จริงอยู่ ผมเองคิดว่าการ “โยกเงิน” จากตราสารหนี้ไปสู่ตราสารทุนของคนในประเทศเดียวกันเพราะความแตกต่างทางด้านดอกเบี้ยกับเงินปันผลหรือผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนนั้นอาจจะเป็นจริงและมีเหตุผล แต่การลงทุนข้ามประเทศโดยเฉพาะระหว่างประเทศกำลังพัฒนากับประเทศพัฒนาแล้วนั้น ผมก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า ส่วนตัวผมเองเวลาผมไปลงทุนต่างประเทศ ประเด็นเรื่องดังกล่าวนั้นมีความสำคัญน้อย สิ่งที่ผมต้องการจริง ๆ ก็คือเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่กำลังเติบโตของประเทศนั้นต่างหาก
ผมมีเพื่อนที่บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์จากประเทศที่เจริญแล้วคนหนึ่ง รู้จักและพบปะกันเป็นประจำในฐานะนักลงทุนด้วยกันมากว่า 10 ปีแล้ว เขาเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผมเชื่อว่าเหตุผลที่เขามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็เพราะว่าประเทศไทยในช่วงเวลานั้นกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและดัชนีตลาดหุ้นต่ำมากเนื่องจากวิกฤติการเงินในปี 2540 โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงในระยะยาวจึงน่าจะมีมากในสายตาของ “VI” ที่เป็นแนวการลงทุนของกองทุนของเขา การลงทุนของเขาประสบความสำเร็จอย่างงดงามน่าทึ่ง ผลตอบแทนระยะยาวสิบกว่าปีนั้นน่าจะสูงติดระดับโลก แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว ผมก็พบว่าเขาได้ทยอยขายหุ้นไทยไปจนหมดและย้ายเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนและเวียตนามและต่อมาก็ลงเฉพาะในเวียตนามจนถึงปัจจุบัน เขาย้ายการลงทุนไม่ใช่เพราะดอกเบี้ยหรือเงินเฟ้อ เขาย้ายเพราะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยนั้นน่าจะ “อิ่มตัวแล้ว” ผลตอบแทนหลังจากนั้นคงไม่หรูหราเหมือนอย่างที่เคย
เป็นไปได้ไหมว่านักลงทุนต่างชาติคนอื่น ๆ ทั้งที่เป็นเฮดจ์ฟันด์และกองทุนรวมทั่วไปอื่น ๆ ก็อาจจะคิดแบบเดียวกันกับเพื่อนผม? ดังนั้นเขาก็ทยอยขายหุ้นไทยออกไปเรื่อย ๆ ในราคาที่ดี เขาคิดว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะเริ่มโตช้าลงอย่างถาวรเพราะในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมานั้นเศรษฐกิจไทยโตประมาณแค่ 3-4% ต่อปีโดยเฉลี่ยจากที่เคยโตตาม “ธรรมชาติ” ที่ 7% ต่อปีและ 5% ต่อปีมายาวนานนับสิบ ๆ ปี นอกจากนั้นโครงสร้างประชากรของไทยก็กำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและเด็กเกิดใหม่ก็น้อยลงอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยอาจจะไม่ใช่เศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่โตเร็วอีกต่อไปเทียบกับอีกหลาย ๆ ประเทศในเอเซีย ดังนั้น ราคาหุ้นจึงไม่ควรแพง ค่า PE ของตลาดจึงไม่ควรสูงอย่างที่เป็นเทียบกับประเทศที่โตเร็วกว่าโดยที่ปัจจัยอื่น ๆ เช่นระบบเศรษฐกิจการเมืองการปกครองและคุณภาพของประชากรที่ใกล้เคียงกัน
โชคดีที่ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคนไทยโดยเฉพาะที่ผ่านกองทุนและสถาบันการลงทุนต่าง ๆ ในประเทศเข้ามาซื้อหุ้นสุทธิเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คนไทยที่มีเงินเก็บออมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเพื่อเตรียมตัวในวันเกษียณสำหรับคนกินเงินเดือนต่างก็หันมาลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเหนือกว่าการฝากเงินและการลงทุนอย่างอื่นที่ให้ผลตอบแทนน้อยมาก คนมีเงินเหลือเช่นนักธุรกิจและผู้ประกอบการที่ไม่ค่อยได้ขยายกำลังการผลิตเนื่องจากความต้องการสินค้าของตนเองไม่ได้มียอดขายเพิ่มขึ้นนักก็เริ่มหันเข้าสู่ตลาดหุ้น พวกเขาอาจจะมองว่าการหาเงินจากตลาดหุ้นนั้นง่ายกว่าการทำธุรกิจที่เขาทำอยู่ ดังนั้น แม้ว่าต่างชาติจะขายหุ้นจำนวนมากราคาหุ้นก็ไม่ตกลงแต่กลับปรับตัวขึ้น
นอกจากตลาดหุ้นไทยแล้ว คนไทยก็ยังมีเงินเหลือและยังเริ่มออกไปลงทุนในตลาดต่างประเทศทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาที่โตเร็วด้วย อย่างไรก็ตาม คนที่นำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศก็ยังเป็นส่วนน้อยและสัดส่วนเงินที่นำออกไปก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อย เหตุผลก็เพราะว่าคนไทยเกือบทั้งหมดก็อยู่เมืองไทยและต้องใช้จ่ายด้วยเงินบาทเป็นหลัก นอกจากนั้น ความรู้ความเข้าใจในการลงทุนในต่างประเทศก็ยังไม่เพียงพอ ดังนั้น ก็ต้องพูดว่าคนไทยไม่มีทางเลือกมากนัก ยังไงเงินส่วนใหญ่ก็ต้องลงทุนในตลาดหุ้นไทยแม้ว่าผลตอบแทนอาจจะต่ำ ซึ่งนี่ก็ต่างกับนักลงทุนต่างประเทศที่ผมมองว่าเขาไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนในประเทศไทยหรือตลาดหุ้นไทยยกเว้นกองทุน Passive หรือกองทุนอิงดัชนีที่อาจจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วย แต่นั่นก็อาจจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับเงินจากกองทุนอื่น ๆ
ในช่วงหลัง ๆ นี้ยังมีปรากฏการณ์ที่บริษัทใหญ่ ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยหันไปซื้อหุ้นลงทุนในต่างประเทศแบบ “Strategic Partner” คือเป็นการถือหุ้นจำนวนมาก ลงทุนระยะยาวและมีส่วนเข้าไปบริหารบริษัทด้วย ตัวอย่างก็เช่น การเข้าไปลงทุนในเวียตนามของกลุ่ม SCG และกลุ่มของ BJC หรือเบียร์ช้าง เป็นต้น และในทางตรงกันข้าม ก็มีนักลงทุนหรือกองทุนขนาดใหญ่ที่เคยถือหุ้นจดทะเบียนในไทยแบบ Strategic Partner ทยอยขายหุ้นให้กับคนไทย ตัวอย่างก็เช่นในกรณีของกองทุนแห่งชาติของสิงคโปร์ที่ขายหุ้นจดทะเบียนไทยหลายบริษัทที่ซื้อมาตั้งแต่วิกฤติปี 40 และบริษัทในยุโรปหลายแห่งที่ขายหุ้นของบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ของไทย “คืน” ให้กับบริษัทของคนไทย เป็นต้น ทั้งการซื้อหุ้นในต่างประเทศและซื้อหุ้นไทยคืนจากต่างชาตินั้นทำได้เพราะอัตราดอกเบี้ยของไทยถูกมากและเม็ดเงินที่จะใช้มีเหลือล้น
นักวิเคราะห์หุ้นของไทยที่คาดว่าหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นมากในปีนี้นั้น หลายคนมองที่ “Fund Flow” หรือกระแสเงินลงทุนทั่วโลกว่าจะไหลกลับสู่ตลาดหุ้นไทยหลังจากที่ไหลออกไปมากและนาน พวกเขาคาดว่าเมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มดีและเติบโตตามการเติบโตของโลก เมื่อโครงการใหญ่ ๆ ได้รับการอนุมัติและดำเนินการ รวมถึงเมื่อมีการ “เลือกตั้ง” ความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติจะกลับมาพร้อมกับเม็ดเงินที่จะช่วยขับเคลื่อนราคาหุ้นให้ขึ้นไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ดูเรื่องระดับราคาหุ้นหรือค่า PE ของตลาดมากนัก เหนือสิ่งอื่นใด การคิดแบบใช้ Fund Flow นั้น เป็นวิธีคิดแบบระยะสั้นและเก็งกำไรมากกว่าการคิดตามแบบปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI
ในความคิดผมเองนั้น ผมกลับคิดว่านักลงทุนต่างชาติที่มาลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ส่วนใหญ่เขาน่าจะมองแบบ Bottom Up คือมองหุ้นเป็นตัว ๆ มากกว่าที่จะมองภาพรวม โดยเฉพาะในกรณีที่ภาพรวมของหุ้นไทยนั้นไม่ได้ถูกและการเติบโตของเศรษฐกิจและผลประกอบการนั้นไม่ได้สูงเหมือนตลาดเกิดใหม่บางประเทศ ดังนั้น คำทำนายของผมก็คือ นักลงทุนต่างชาติคงจะยังไม่กลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิเป็นเรื่องเป็นราวจนกว่าดัชนีตลาดจะลดต่ำลงจนหุ้นโดยทั่วไปมีราคาที่ถูกจนน่าสนใจ ในระหว่างนี้ ตลาดหุ้นไทยก็จะถูกขับเคลื่อนโดยคนไทยเป็นหลัก อย่าไปหวังว่าต่างชาติจะเป็นอัศวินม้าขาวมาขับเคลื่อนราคาหุ้นให้กับนักลงทุนไทยอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต