โลกในมุมมองของ Value Investor 5 มกราคม 2562
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อาชีพน่าเบื่อกับ VI
ทุกสิ้นปีหรือต้นปีใหม่ของทุกปีผมจะต้อง “ทบทวน” ผลงานและกิจกรรมทางการลงทุนของผมว่าเป็นอย่างไร เหตุผลนั้น นอกจากจะต้องทำบันทึกเพื่อเอาไว้เขียนหนังสือแล้ว ยังเป็นการดูว่าเราได้ทำอะไรไปบ้างและมันถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไรเพื่อเก็บไว้เป็น “บทเรียน” สำหรับอนาคต
ปี 2561 นั้นน่าจะเป็นปีแรกในช่วงเวลา 22 ปี ที่ผมลงทุนเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมดในฐานะของ “VI” ที่ผม “ไม่ได้ทำอะไรเลย” นั่นก็คือ ผมไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้นแม้แต่ตัวเดียว ผมรู้สึกว่าไม่มีหุ้นที่น่าสนใจพอที่จะซื้อเพื่อถือระยะยาวแบบ VI เพราะมันไม่มี Margin of Safety หรือส่วนต่างเพื่อความปลอดภัยเพียงพอ หุ้นที่ดีเป็นซุปเปอร์สต็อกก็มักจะมีราคาแพงค่า PE สูงตั้งแต่ 30 เท่าขึ้นไปซึ่งผมคิดว่าบางตัวราคาก็อาจจะยังพอยอมรับได้ว่าสมเหตุผล แต่ในสภาวะของเศรษฐกิจสังคมการเมืองของไทยมันก็อาจจะยังมีความเสี่ยง โอกาสขาดทุนในระยะยาวก็เป็นไปได้ไม่ต้องพูดถึงระยะสั้นที่อาจจะขาดทุนได้ง่าย ๆ ส่วนหุ้นราคาถูกนั้น แม้ว่าจะถูกจริงแต่ก็ยังไม่ถูกมากพอที่จะลงทุนได้อย่างสบายใจ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมเองก็ได้ลงทุนไปแล้วหลายตัวตั้งแต่ปี 2560 ดังนั้น ผมจึงอยากจะเก็บเงินสด “ก้อนสุดท้าย” หรือบางคนเรียก “ก๊อกสุดท้าย” เอาไว้เผื่อตลาดหุ้นตกลงมาแรงเป็น “แพนิก” จะได้มีเงินสดมาซื้อหุ้นในราคาที่ถูกมากได้
ที่ผมพูดว่า “ไม่ได้ทำอะไรเลย” ทั้งปีนั้น ว่าที่จริงก็คงไม่ใช่และก็ไม่ถูกเลย ความเป็นจริงก็คือ ผมก็ยังคง “ทำอย่างเดิม” อย่างที่เคยทำมาทุกปีเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ผมยังอ่านหนังสือจำนวนมากทั้งทางด้านของการลงทุน จิตวิทยาของมนุษย์ที่อิงกับยีน ประวัติศาสตร์ เรื่องของสุขภาพและอื่น ๆ อีกมาก ผมยังติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับตัวหุ้นและราคาหุ้น พฤติกรรมของการลงทุนของนักลงทุนในตลาดรวมถึงพฤติกรรมของคนทั่วไปซึ่งแน่นอนรวมไปถึงข่าวคราวของดาราภาพยนต์และเซเล็บทั้งหลายเพื่อที่จะเรียนรู้โลกและสังคมโดยรวม ทั้งหมดนั้นก็เพื่อที่จะสามารถตัดสินใจเลือกหุ้นและการลงทุนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น สิ่งเดียวที่ผมไม่ได้ทำในปี 2561 ก็คือ ไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้น ผมไม่ได้ลืมทำ ผมเพียงแต่เลือกที่จะไม่ทำหรือผมไม่เห็นว่าควรทำหรือต้องทำ ผมนั่งรอไปเรื่อย ๆ แต่ผมมองและผมคิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าสมมุติว่ามีคนแอบมองผมอยู่ตลอดเวลาเขาคงจะรู้สึกว่าแปลก วัน ๆ นั่งอ่านแต่หนังสือหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วบอกว่าทำงานหนักและก็ดูเหมือนว่าจะทำเงินได้มากเกือบทุกปี
ผมเองลองคิดดูแล้วนี่ก็ไม่แปลกอะไรนักโดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานนี้ที่จะไม่เข้าใจ ครั้งหนึ่งผมนั่งคุยกับเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจเขาบ่นว่าหายามหรือ รปภ. ทำงานยากทั้งที่รายได้ดีซึ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกเพราะผมคิดว่ามันเป็นงานที่ง่ายและไม่ต้องอาศัยทักษะอะไรเลย แต่เขากลับบอกว่ามันเป็นงานที่ “ทำยาก”เพราะธรรมชาติของคนนั้นมักจะอยู่นิ่ง ๆ นานมากไม่ค่อยได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะยีนของมนุษย์บอกให้มนุษย์ต้องไม่อยู่นิ่ง ต้องเคลื่อนไหวเพื่อหาอาหารและทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้อยู่รอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ มนุษย์ที่ “ขี้เกียจ” เอาแต่อยู่นิ่ง ๆ นั้น ตายหรือสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว คนที่เหลือรอดมาได้ส่วนใหญ่ก็จะต้องขยันและ “ทำงาน” ไม่อยู่เฉย ๆ “ทั้งวัน” ดังนั้น อาชีพ รปภ. จึงเป็นอาชีพที่คนไม่ชอบหรือไม่อยากทำและดังนั้นนายจ้างก็มักจะต้องจ่ายค่าจ้างดีกว่าอีกหลายอาชีพเช่นงานก่อสร้างที่ดูเหมือนว่าจะ “ทำงาน” หนักกว่ามาก
นี่ก็พูดราวกับว่าอาชีพ รปภ. ไม่ต้องทำงานเพราะ “นั่งเฉย ๆ” สุดท้ายเขายังท้าทายผมว่า “พี่ลองนั่งเฉย ๆ ซัก 2-3 ชม. ดูว่าทำได้ไหม”ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ชอบลองสังเกต รปภ. ที่ต้องนั่งยามตลอดวันละ 8-10 ชม. ดูว่าเขาทำอะไร และในที่สุดผมก็สรุปว่า บางทีอาชีพนักลงทุนแบบผมเองนั้นก็ไม่ได้ต่างจากพวกเขามากนัก ยิ่งเดี๋ยวนี้ผมเห็น รปภ. กดดูจอมือถือตลอดเวลาแล้วก็รู้สึกว่า ที่จริงเขากับเรานั้นคล้ายกันมาก รปภ. นั้น นั่งนิ่ง ๆ คอยระแวดระวังเพื่อรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินภายในสถานที่ เราเองก็มักจะอยู่นิ่ง ๆ เพื่อรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สินคือพอร์ตการลงทุนของเราเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่านักลงทุนนั้นต้องอาศัยความสามารถในการวิเคราะห์สูงกว่ารปภ.มาก และเราก็ไม่ได้ต้องการแค่รักษาความปลอดภัยทรัพย์สิน เราต้องการสร้างการเติบโตของทรัพย์สินด้วย ผมเองไม่ได้ต้องการจะถกเถียงเกี่ยวกับเนื้องานของอาชีพทั้งสองอย่างซึ่งแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวสำหรับหลาย ๆ คน สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ “ปรัชญา” ที่สำคัญสำหรับงานสองอย่างนี้ที่ผมคิดว่าสำคัญและมันมีความคล้ายกันอยู่มากนั่นก็คือ มันเป็นงานที่ต้องอาศัยความ “นิ่ง” และการคอยระแวดระวังเพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับทรัพย์สินในความรับผิดชอบของเรา และนี่ก็เป็นเรื่อง “ยาก” เพราะมัน “ผิดธรรมชาติ” ของคน การนิ่งหรือเคลื่อนไหวให้น้อยหรือทำให้น้อยนั้น วอเร็น บัฟเฟตต์ บอกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จ เขาเคยบอกให้เราคิดเปรียบเปรยว่าในชีวิตเรามีโอกาสที่จะลงทุนในหุ้นได้แค่ 20 ตัวเท่านั้น ดังนั้น เราก็จะคิดว่าต้องลงทุนในหุ้นที่ดีที่สุดและถือให้ยาวที่สุดและนั่นจะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุน
นอกจากอาชีพ รปภ. แล้ว ผมยังคิดว่าอีกอาชีพหนึ่งที่น่าจะนำมาใช้เป็นอุทาหรณ์สำหรับ VI ก็คือ อาชีพคนขับรถบรรทุกส่งสินค้าทางไกลที่จะต้องตระเวนไปทั่วประเทศ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ปีเตอร์ ลินช์ เคยบอกว่าถ้าคุณมีอาชีพเป็นคนขับรถบรรทุกคุณก็น่าจะได้เปรียบในฐานะของการเป็นนักลงทุน เหตุผลเป็นเพราะว่าคนขับรถบรรทุกจะได้สัมผัสกับชีวิตของผู้คนทั่วประเทศรวมถึงสินค้าต่าง ๆ ที่ขายดีและเป็นที่ต้องการของคนส่วนใหญ่ พวกเขามีข้อมูลที่ “ทันสมัยที่สุด” ที่จะรู้ว่าอะไรกำลัง “มาแรง” เป็นที่นิยม ไล่ไปตั้งแต่เรื่องของความคิดของคนในที่ต่าง ๆ ไปจนถึงสินค้าที่เริ่มขายดีขึ้นหรือตกต่ำลงที่ถูกขนส่งโดยรถบรรทุกที่เดินทางไปทั่วประเทศ และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นในการที่จะเลือกลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
สำหรับประเด็นอาชีพขับรถบรรทุกนั้น ผมคิดว่าน่าจะเปรียบเทียบกับ VI ที่ยังนิยมการเทรดหุ้นมากกว่า VI แนวซุปเปอร์สต็อกที่เน้นการลงทุนระยะยาวที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าโดยการ “นิ่ง” ในส่วนของ VI ที่ยังชอบเทรดหรือซื้อขายหุ้นอิงจากพื้นฐานและราคาหุ้นที่เหมาะสมในช่วงระยะเวลาหนึ่งนั้น พวกเขาต้องการ Catalyst หรือตัวเร่งปฏิกิริยาที่จะทำให้หุ้นขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะใช้ในการฉวยโอกาสซื้อหรือขายหุ้นในช่วงสั้น ๆ ด้วย ฮีโร่ของ VI ในกลุ่มนี้ก็คือปีเตอร์ ลินช์ที่ยังอาศัยสถานการณ์ในการลงทุนประกอบกับพื้นฐานระยะยาวของกิจการด้วย
ว่าที่จริงปีเตอร์ ลินช์ เองนั้นมองว่าอาชีพทุกอย่างมีโอกาสที่จะทำเงินจากการสังเกตความเป็นไปของอุตสาหกรรมที่บริษัทตนเองดำเนินการอยู่ เช่น ถ้าคุณทำงานเป็นพนักงานขายของร้านขายโทรโทรศัพท์ของแอปเปิลแล้วคุณเห็นว่ารุ่นใหม่ที่ออกมานั้นขายไม่ออกเลย คุณก็อาจจะขายหุ้นแอบเปิลทิ้งก่อนที่ตัวเลขผลประกอบการจะออกหรือถ้าคุณไม่มีหุ้นก็อาจจะชอร์ตหุ้นแอบเปิลก็ได้ ด้วยความรู้ในตัวสินค้าหรือความเป็นไปของบริษัทผ่านอาชีพการงานของเรานั้น เราก็อาจจะสามารถทำเงินหรือลงทุนได้อย่างประสบความสำเร็จไม่แพ้นักลงทุนมืออาชีพที่มักจะอิงจากตัวเลขหรือการสอบฐานจากผู้บริหารบริษัทหรือจากนักวิเคราะห์ที่มักจะรู้เรื่องราวต่าง ๆ เป็น “คนสุดท้าย” หรือ “รองสุดท้าย” ก่อนคนที่อ่านบทวิคราะห์โดยไม่ได้รู้สถานการณ์จริงใน “สนาม” ของการแข่งขันทางการตลาดของบริษัท