ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวในประเทศอังกฤษครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้เพราะไปค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะที่กรุงลอนดอนซึ่งเป็นที่ที่ผมจะอยู่หลายวันเป็นประจำ ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ ในลอนดอนจะเป็น “เหมือนเดิม” การเปลี่ยนแปลงมีน้อย อาจจะเป็นเพราะว่าประเทศอังกฤษนั้นเติบโตถึงจุด “อิ่มตัว” แล้ว จากความยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ที่สหราชอาณาจักรเคยยึดครองอาณาเขตและประชากรกว่า 1 ใน 4 ของโลกและได้ฉายาว่าเป็นดินแดน “อาทิตย์ไม่ตกดิน” อังกฤษในศตวรรษที่ 21 ก็กำลังถดถอยลงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาที่เติบโตขึ้นทุกวันในขณะที่อังกฤษก็ยัง “เหมือนเดิม”
ในฐานะของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะที่ชอบศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของโลกและผู้คน ผมเองคิดว่าอังกฤษเป็นประเทศที่น่าสนใจมากที่สุดประเทศหนึ่ง สถานที่ท่องเที่ยวของลอนดอนที่ผมสามารถไปซ้ำ ๆ ได้บ่อยครั้งและก็ไปทุกครั้งก็คือพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งบันเทิงและให้ความรู้แก่ผู้คนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งนี่ก็เป็นนโยบายที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่อง “สุดยอด” ของรัฐบาลอังกฤษซึ่งก็แผ่อานิสงค์มาถึงนักท่องเที่ยวด้วย พิพิธภัณฑ์หลัก ๆ ในกรุงลอนดอนที่ผมไปมาหมดทุกแห่งและไปหลาย ๆ ครั้งโดยไม่รู้สึกเบื่อรวมถึงพิพิธภัณฑ์ดังต่อไปนี้
พิพิธภัณฑ์แรกที่ผมคิดว่าทุกคนที่ไปกรุงลอนดอนน่าจะต้องไปก็คือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของธรรมชาติหรือ Natural History ซึ่งเล่าเรื่องราวของโลกตั้งแต่เกิดและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตผ่านยุคไดโนเสาร์จนมาถึงการเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องราวของชาร์ล ดาร์วิน ชาวอังกฤษซึ่งเป็นคนที่คิดเรื่องของทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับชีวิตที่คนยุคก่อนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งและชีวิตทั้งหลายในโลก และนี่ก็คือ “เสาหลัก” ของวิชาทาง “ชีววิทยา” หรือวิชาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตซึ่งรวมถึงคนในปัจจุบัน นอกจากเรื่องของความรู้แล้ว ผมคิดว่าการได้เห็น “ของจริง” เช่นซากไดโนเสาร์และมนุษย์ยุคเก่าหลายกลุ่มที่สูญพันธุ์ไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าบันเทิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และนี่ก็น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดึงดูดผู้คนมากที่สุด การเข้าไปชมมักจะต้องต่อคิวยาวมาก อย่างไรก็ตาม นี่คือที่ที่ต้องไปสำหรับคนที่ชอบเรียนรู้และอยากเห็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจ
พิพิธภัณฑ์แห่งที่สองที่น่าสนใจพอ ๆ กับแห่งแรกก็คือพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์หรือ Science Museum นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่อังกฤษเป็นผู้นำโลกโดยเฉพาะในช่วงของการ “ปฏิวัติอุตสาหกรรม” ที่เปลี่ยนแปลงโลกให้ก้าวหน้าอย่างที่เป็นในวันนี้ นอกจากเรื่องของวิทยาศาสตร์ซึ่งเซอร์ไอแซก นิวตัน ชาวอังกฤษได้คิดทฤษฎีเรื่องของการเคลื่อนไหวของวัตถุซึ่งเป็น “พื้นฐาน” ของวิชาฟิสิกส์ที่คนเรียนวิศวกรรมอย่างผมต้องเรียนแล้ว เรายังได้เห็นเครื่องจักรไอน้ำเครื่องแรก ๆ ของโลกที่ประดิษฐ์คิดค้นโดยเจมส์ วัตต์ที่เป็นการ “ปฎิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1” เห็นเครื่อง “คอมพิวเตอร์” เครื่องแรก ๆ ของโลกที่มีขนาดใหญ่โตและขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าหรือมือซึ่งเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคต่อ ๆ มา จนถึงการเกิดขึ้นของ “หุ่นยนต์” คล้ายมนุษย์ที่เริ่มจากการใช้สายเคเบิลผูกโยงชิ้นส่วนของร่างกายเช่นแขนและมือระโยงระยางเต็มไปหมด สำหรับคนที่เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์แล้วผมคิดว่านี่คือที่ที่ต้องไปอีกแห่งหนึ่ง
สำหรับคนที่ชอบวัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์แล้ว ผมแนะนำว่าควรไปพิพิธภัณฑ์อังกฤษหรือ The British Museum ซึ่งแสดงของเก่าจากทั่วโลกที่อังกฤษมักจะนำมาจากดินแดนในอาณัติ สิ่งหนึ่งที่ผม “ทึ่ง” ก็คือหิน Rosetta Stone ซึ่งสลักเป็นศิลาจารึกที่เขียนด้วยภาษาสองภาษาคือภาษาหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์เข้าใจและอีกภาษาหนึ่งที่เป็นภาษารูปภาพของอียิปต์เก่าที่เราไม่เข้าใจ ผลก็คือ ทำให้นักภาษาศาสตร์เข้าใจภาษาที่ตายไปแล้วและนำไปสู่การอ่านข้อความมากมายที่ถูกสลักไว้ในสมัยอียิปต์เก่าที่เล่าเรื่องของฟาโรห์ การก่อสร้างปิรามิดและเหตุการณ์ต่าง ๆ เมื่อ 5-6,000 ปีที่แล้ว
ยังมีแกลเลอรี่ที่แสดงงานศิลปะโดยเฉพาะภาพวาดอันทรงคุณค่าที่เราสามารถไปดูฟรีได้อีกมากมายที่ไม่มีเนื้อที่ที่จะพูดถึง แต่สำหรับคนที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์สงครามแล้ว ผมคิดว่าพิพิธภัณฑ์สงคราม Imperial War Museum น่าจะเป็นอีกแห่งหนึ่งที่ต้องไป แม้ว่าจะเล็กกว่าพิพิธภัณฑ์หลักอื่น ๆ และคนไปน้อยกว่ามาก แต่มันช่วยให้เรารู้เรื่องของสงครามโดยเฉพาะสงครามโลกทั้งสองครั้งรวมถึงเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยนาซี เราจะเห็นภาพว่าในช่วงสงครามนั้นคนอังกฤษที่เป็นคู่สงครามโดยตรงนั้นอยู่กันอย่างไร สาเหตุของสงคราม การสู้รบในศึกต่าง ๆ ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่อาวุธยังไม่ร้ายแรงมากแม้ว่าจะมีเรื่องของการใช้แก๊สพิษบ้างจนถึงสงครามโลกครั้งที่สองที่รถถังและเครื่องบินกลายเป็นอาวุธหลัก การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ทางสงครามที่ใช้ จากสงครามสนามเพลาะในสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นสงครามสายฟ้าแลบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้น
นอกจากเรื่องของการชมพิพิธภัณฑ์แล้ว สิ่งที่ผมทำทุกครั้งยังรวมถึงการไปเที่ยวชมและหาซื้อ “ของเก่า” ที่ตลาด Portobello ผมเองไม่ได้เป็นนักสะสมของเก่า ผมชอบดูสินค้าที่ยังใช้ได้ในปัจจุบันซึ่งรวมถึงเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่เป็นของเก่าที่มีรูปลักษณ์และการออกแบบสมัยก่อนอาจจะซัก 50-60 ปีที่แล้วแต่ยังดูดีเหมือนของใหม่ นี่เป็นตลาดที่ใหญ่เป็นถนนคนเดินที่เปิดเฉพาะวันเสาร์ถ้าเข้าใจไม่ผิด ซึ่งจะเต็มไปด้วยผู้คนทั้งคนสูงอายุและคนหนุ่มสาวที่มาหาซื้อสินค้าสารพัดซึ่งส่วนหนึ่งก็คือเรื่องของป้ายและโปสเตอร์ของเก่าที่คนอังกฤษชอบกันมากและดูเหมือนจะเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนอังกฤษที่ชอบเขียน “คำคม” ผมเองพอไปอังกฤษก็จะพบกับคาร์ดและโปสเตอร์เหล่านี้และก็มักยืนอ่านด้วยความบันเทิง
คำคมคำหนึ่งที่สะดุดตาผมทุกครั้งก็คือคำว่า “Keep Calm And Carry On” ที่นอกจากจะอยู่บนโปสเตอร์และคาร์ด แล้ว ยังอยู่บนของที่ระลึกเช่น เหยือกและกระป๋องหรือภาชนะบรรจุสินค้าเช่นใบชาด้วย ผมมาพบทีหลังว่านี่คือคำที่มีประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อังกฤษกำลังเตรียมตัวเข้าสู่สงครามกับเยอรมัน ดังนั้น กระทรวงข้อมูลและข่าวสารจึงเตรียมพิมพ์โปสเตอร์เพื่อที่จะเรียกขวัญและกำลังใจให้กับประชาชน โปสเตอร์ชุดที่มีมงกุฎอยู่ตรงกลางหัวกระดาษและตามด้วยคำอีก 5 คำคือ Keep Calm And Carry On ซึ่งแปลง่าย ๆ ว่า “ใจเย็นและเดินต่อไป” ถูกพิมพ์ขึ้นถึง 2.5 ล้านแผ่น พร้อม ๆ กับโปสเตอร์คำอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ถูกนำไปใช้ อาจจะเพราะมันดูเหมือนจะไม่ได้สื่ออะไรที่เหมาะกับสถานการณ์ในช่วงนั้น และสุดท้ายก็ถูกนำไปทำลาย
อีก 55 ปีต่อมาในราวปี 1994 หรือเมื่อประมาณ 25 ปีมาแล้ว เจ้าของร้านขายหนังสือมือสองคนหนึ่งได้ค้นพบโปสเตอร์บางแผ่นที่ไม่ได้ถูกทำลายจากการประมูลหนังสือเก่าและนำมันมาขายในตลาดของเก่า หลังจากนั้นความนิยมโปสเตอร์ชุดนี้ก็เพิ่มขึ้นมหาศาล คำ ๆ นี้ดูเหมือนว่าจะมีความหมายที่ดีและเข้าถึงจิตใจคนอังกฤษมาก ในยามที่เกิดวิกฤติเช่น ในช่วงปี 2009 ที่เกิดวิกฤตการเงินซับไพร์มของอเมริกา คำ ๆ นี้ก็ถูกยกขึ้นมาเพื่อเตือนให้คนมีสติและคิดว่า “เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป” ต่อมา ก็มีคนปรับคำเพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์อื่น ๆ เช่น ในช่วงที่เคท มิดเดิลตันแต่งงานกับเจ้าชายวิลเลียมในปี 2011 ก็มีคนใช้คำว่า “Keep Calm, Harry is Still Single” หรือ “ใจเย็น ๆ เจ้าชายแฮรี่ยังโสด” เป็นต้น นอกจากนั้น ธุรกิจต่าง ๆ ก็นำมาใช้ในการประชาสัมพันธ์สินค้าของตน เช่น “Keep Calm, Have a Cupcake” หรือ “ใจเย็น ๆ กินเค๊กซักอัน” เป็นต้น
ผมเองชอบคำว่า Keep Calm นี้มากและคิดว่ามันน่าจะเป็นคำ ๆ หนึ่งที่นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ที่ถือหุ้นระยะยาวต้องจำไว้ใส่ใจตลอดเวลา เพราะในการลงทุนนั้น หุ้นมักจะผันผวนรุนแรงมากไม่ว่ามันจะดีแค่ไหน บ่อยครั้งหุ้นตกลงไปแรงมาก ถ้าเราตกใจรีบขายหุ้นไปโดยที่พื้นฐานมันยังไม่เปลี่ยนแปลงไป โอกาสก็เป็นไปได้ที่เราจะเสียหายหนักเพราะหุ้นมักจะฟื้นกลับมา นอกจากเรื่องการลงทุนแล้ว เรื่องอื่นๆ ในชีวิตเองนั้น เราก็ควรจะยึดคำคมนี้ นั่นก็คือ เราจะต้องมีสติและใจเย็นในการเผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะร้ายแรงแค่ไหน อย่าตื่นเต้นตกใจเกินเหตุ คิดพิจารณาเหตุผลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น