โลกในมุมมองของ Value Investor       28 กรกฎาคม 62

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

The Postman Always Ring Twice

​ปรากฏการณ์ที่หุ้น  “นางฟ้า”  ขนาดเล็ก-กลาง ที่เคยร้อนแรงราคาพุ่งขึ้นเป็นหลาย ๆ  เท่าตัวในเวลาไม่นานแต่แล้วก็ตกลงมาอย่างหนักเกินกว่า 50% หรือบางตัวกลับมาที่ราคาเดิมและกลายเป็น  “นางฟ้าตกสวรรค์”  จนคนหลายคน “เลิกเล่น” หรือ “สาปส่ง” ไปเลยทำให้หุ้นเหงาไปพักใหญ่  แต่แล้วในช่วงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์มานี้ หุ้นหลายตัวในกลุ่มก็เริ่มกลับมาคึกคักใหม่  ราคาปรับตัวขึ้นอย่างแรงพร้อมกับปริมาณซื้อขายที่คึกคัก  ดูเหมือนว่าคนที่เคยเล่นทั้ง “ขาเล็ก” และ “ขาใหญ่” กำลังกลับมา  สตอรี่และการเติบโตของบริษัทที่เคยขายได้ในช่วงก่อนหน้านั้นที่ถูกทำลายโดยผลประกอบการที่น่าผิดหวังกำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่  ประกอบกับผลประกอบการที่น่าจะ “ดีขึ้น” ในไตรมาศล่าสุด  น่าจะเป็นแรงกระตุ้นที่อาจจะทำให้หุ้นกลับมาเป็น  “นางฟ้า” ใหม่  ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้ Background ของตลาดหุ้นที่ดีขึ้น  ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้น  และนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้าตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งที่รอคอยกันมานาน

​นั่นทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เคยดูตอนไปเรียนที่อเมริกาใหม่ ๆ เมื่อเกือบ 40 ปีมาแล้วชื่อ  The Postman Always Ring Twice ซึ่งฉายผ่านช่อง HBO หรือ Cinemax ผมก็จำไม่ได้  หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีฉากเซ็ก(แบบซาดิสม์)และความรุนแรงที่ในยุคนั้นดูเหมือนว่าจะต้องดูได้เฉพาะผู้ใหญ่และดูกันตอนดึกผ่านช่องทีวีที่ต้องจ่ายเงินรายเดือน  เนื้อเรื่องก็จะเป็นเรื่องชู้สาวระหว่างลูกจ้างหนุ่มที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ากับภรรยาสาวสวยของเจ้าของร้านอาหารที่เป็นชายแก่  ซึ่งในที่สุดก็ร่วมกันวางแผนฆ่าสามีเพื่อหวังอยู่กินกันและเป็นเจ้าของร้านอาหารเอง  รอบแรกของการพยายามฆ่าโดยการทุบด้วยลูกเหล็กห่อผ้านั้นเกิดความผิดพลาดแต่ในครั้งที่สองก็ทำสำเร็จโดยแสร้งว่าเป็นอุบัติเหตุรถยนต์  และแม้ว่าตำรวจจะสงสัยแต่ก็ไม่มีหลักฐานพอ  เมื่อทั้งสองอยู่กินกันแล้ว  วันหนึ่งก็เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ทำให้ฝ่ายหญิงถึงแก่ความตาย  คราวนี้ตำรวจสามารถ “พิสูจน์” ให้ศาลยอมรับว่าฝ่ายชายเป็นคนฆ่าทั้ง ๆ  ที่ไม่จริง  และเขาถูกตัดสินประหารชีวิต  ถ้าคิดแบบคนไทย  นี่ก็เหมือนกับว่าเป็นการ “ใช้กรรม” ที่ไปฆ่าสามีของเขา  เพราะถึงจะรอดจากคราวก่อน  ในที่สุดก็ต้องชดใช้กรรมที่ไม่ได้ก่อในคราวนี้

​ในหนังไม่มีบทของบุรุษไปรษณีย์ตามชื่อเรื่อง  แต่เป็นเรื่องที่ว่าสิ่งต่าง ๆ  นั้น  ถ้ามันจะเกิดบางทีก็ “หนีไม่พ้น”  สามีที่เป็นเจ้าของร้านนั้นโดนวางแผนฆ่าครั้งแรกก็ไม่ตาย  แต่สุดท้ายก็ไม่รอดเพราะมันต้องมี  “ครั้งที่สอง”  ตัวเอกที่ฆ่าคนแล้วรอด  สุดท้ายก็ต้องถูกประหารในครั้งที่สองแม้ว่าจะไม่ผิดในคดีนี้  นี่เป็นที่มาของชื่อหนังที่มีความหมายว่าบุรุษไปรษณีย์เวลามาส่งเมล์ลงทะเบียนนั้น  เขาจะต้องกดออดหรือสั่นกระดิ่งอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่สองเพื่อให้แน่ใจว่ายังไงเจ้าของบ้านก็จะต้องได้ยินและออกมารับเมล์เสมอ  นี่ก็คล้ายกับการเปรียบเปรยว่า  บุรุษไปรษณีย์ก็เหมือนพระเจ้าหรือโชคชะตาที่จะมาตัดสินกรรมของคนเสมอ  

​ผมเองคงประทับใจกับเนื้อเรื่องและโดยเฉพาะชื่อหนังเรื่องนี้พอสมควร  ประสบการณ์ในชีวิตก็มักจะพบกับสิ่งที่จะต้องเกิดซ้ำสองหรืออาจจะมากกว่านั้นโดยเฉพาะในเรื่องของหุ้นและการลงทุน  เหตุผลน่าจะเป็นเรื่องของจิตวิทยาของคนที่มักจะจำในสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ  นี้   สิ่งที่ทำแล้วสำเร็จก็จะถูกโปรแกรมเข้าไปในสมองและก็ทำให้อยากทำอีก  สิ่งที่ทำแล้วล้มเหลวแต่ก่อนหน้านั้นสำเร็จ  เขาก็อยากจะแก้ตัวใหม่เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดเนื่องจากสถานการณ์และสภาวะแวดล้อม  ดังนั้น  เหตุการณ์หลาย ๆ อย่างจึงมักจะเกิดซ้ำทั้ง ๆ  ที่คนไม่ควรทำ  ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือการเล่นหวยหรือล็อตเตอรี่ซึ่งถ้ามองแบบวิทยาศาสตร์สถิติแล้วเราไม่ควรจะเล่นเลยในระยะยาวเพราะมีแต่จะขาดทุน  แต่คนก็ยังเล่นกันแทบจะทุกงวดและผลการเล่นในระยะยาวแล้วก็แทบไม่มีคนได้กำไรเลย

​ในเรื่องของหุ้นนั้น  หุ้นที่เคยคึกคักราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากนั้น  เมื่อคนเลิกเล่นและกลายเป็นหุ้นเหงาแล้ว  วันหนึ่งก็จะกลับมาคึกคักใหม่ราวกับว่าคนที่เคยเล่นจำได้ว่าหุ้นตัวนั้นเคยทำกำไรให้มากและมีปริมาณซื้อขายมากพอที่จะเล่นได้โดยเฉพาะถ้าหุ้นเริ่มมีผลประกอบการดีและเริ่มมีสตอรี่ใหม่  ส่วนหุ้นที่ไม่เคยคึกคักเลยหรือเคยมานานมากจนนักลงทุนรุ่นใหม่ไม่รู้จัก  หุ้นแบบนี้ถึงจะดีขึ้นคนก็จะไม่สนใจ  ราคาหุ้นก็จะขึ้นไปไม่แรงหรือเร็วและปริมาณการซื้อขายก็จะไม่สูง

​คนยังจำเรื่องของราคาหุ้นได้โดยเฉพาะราคาที่เกิดขึ้นไม่นานนัก    ดังนั้น  เวลาหุ้นที่เคยคึกคักตกลงมาหนักมาก  เกิน 30% หรือ 50% ของราคาสูงสุด  พวกเขาก็จะคิดว่าหุ้น “ถูกมาก” และถ้าผลประกอบการเริ่มจะฟื้นตัวดีขึ้นแม้ว่าจะไม่ได้ขึ้นสูงพอที่จะรองรับมูลค่าของกิจการ   คนที่เคยเล่นหุ้นตัวนั้นหรือหุ้นทำนองนั้นก็จะเข้ามา “เล่นใหม่”  โดยที่ไม่ได้สนใจว่าพื้นฐานของกิจการเป็นอย่างไร  มันควรจะมีค่าสมกับราคาที่อาจจะยังสูงลิ่วนั้นไหม  นี่ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์หรือปรากกฎการณ์ซ้ำ  คนที่เข้าไปเล่นก็อาจจะเผชิญชะตากรรมซ้ำอีกครั้งนั่นคือ  คนที่เข้าไปเล่น  “นำ” ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ  ในขณะที่ผู้เล่น “ตาม”  ขาดทุนหนักอย่างที่เคยเกิดขึ้นในครั้งแรก  เพราะ  “The Postman Always Ring Twice” ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ยังไงเราก็ต้องรับ “กรรม”  นั้น  นี่ไม่ใช่เรื่องทางศีลธรรม  แต่มันเป็นวิธีการลงทุนที่ไม่ถูกต้องตามทฤษฎีและไม่ตามพื้นฐานของกิจการที่ควรเป็น

​เช่นเดียวกัน  ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยของตลาดหรือดัชนีหุ้นเองก็มีอาการแบบเดียวกัน  เมื่อราคาขึ้นไปแรงและตกลงมาแรง  นักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นก็คิดแบบเดียวกัน  เขาจำตัวเลขดัชนีที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ  นี้ได้  ถ้าตอนนี้ดัชนีต่ำกว่าหรือต่ำกว่ามาก  เขาก็จะเข้ามาเล่นและนั่นก็ทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นโดยไม่ต้องคำนึงถึงพื้นฐานของหุ้นโดยรวมหรือโดยเฉลี่ยของตลาด  แต่การขึ้นของหุ้นเองนั้นก็อาจจะซ้ำรอยเดิมคือคนที่เข้าไปเล่นหรือคนนำซื้อก่อนอาจจะได้กำไรดี  แต่คนที่เข้าไปหลังจากหุ้นขึ้นไปสูงแล้วก็อาจจะขาดทุนได้

​คนที่ “จับจังหวะ”  ว่าจะเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นหรือดัชนีลดลงมานั้น  บ่อยครั้งก็มักพลาด  คือเข้าไปซื้อหุ้น “เร็วเกินไป”  ซื้อแล้วราคาหรือดัชนีหุ้นลดลงต่อทำให้เกิดการขาดทุน  ประเด็นก็คือ  พวกเขากลัวว่าราคาหุ้นจะไม่ลดลงต่อแล้วทั้ง ๆ  ที่ถ้าดูจากพื้นฐานและคำนึงถึงมูลค่าของหุ้นวัดจากค่า PE ผลตอบแทนจากเงินปันผลและค่าอื่น ๆ  หุ้นก็ยังแพงมากเกินกว่าจะรับได้แต่เขาก็ไม่สนใจ  เขายังจำได้ว่าหุ้นตัวนั้นเคยเป็นหุ้น  “ซุปเปอร์สต็อก” ดังนั้น ค่า PE ในอัตราเกิน 50 เท่าหรือบางทีเป็น 100 เท่าก็น่าจะคุ้มค่าแก่การลงทุน  ว่าที่จริงเมื่อเขาเริ่มซื้อ  หุ้นก็ขยับตัวขึ้นมาแรงเป็นสัญญาณคอนเฟิร์มว่าหุ้นยังเป็นซุปเปอร์สต็อกอยู่  ราวกับว่า  ตอนที่หุ้นตกลงมาแรงหลายสิบเปอร์เซ็นต์นั้น  คนเข้าใจผิดเนื่องจากผลประกอบการที่ออกมาน่าผิดหวัง  “ชั่วคราว”

​ในความคิดของผม  หุ้นจะตกลงมาแรงแค่ไหนแต่ถ้าดูแล้วราคาก็ยังแพงเกินไปผมก็จะไม่สนใจเข้าไปซื้อ  จริงอยู่  ในระยะสั้น ๆ  หุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นแรงได้ง่าย ๆ  แค่ว่ามีคนสนใจและจ้องดูราคาหุ้นและซื้อตามเมื่อหุ้นเริ่มขยับและนั่นก็ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปอีก  ถ้าเราซื้อนำด้วยปริมาณที่มากพอ  โอกาสก็เป็นไปได้ว่าเราจะสามารถทำกำไรจากหุ้นตัวนั้นได้ง่าย ๆ  แต่นี่ก็ไม่ใช่วิถีของ “VI” เลย  ที่มักจะไม่ซื้อถ้าไม่แน่ใจว่าในระยะยาวเรา  “ชนะแน่” วิธีที่ผมจะทำก็คือ  ผมจะรอราคาหุ้นไปเรื่อย ๆ  ถ้าหุ้นไม่ลงไปถึงจุดที่ถูกจริง ๆ  ผมก็อยู่เฉย ๆ ผมรอได้  บางคนอาจจะบอกว่าถ้าอย่างนั้นคุณก็อาจจะไม่ได้ซื้อหุ้นตัวนั้นเลย  ผมก็คิดว่าเป็นไปได้  แต่โอกาสอาจจะมากกว่าเมื่อให้เวลายาวนานพอ  เพราะในเรื่องของหุ้นนั้น  มันไม่เกิดโอกาสซื้อเพียงครั้งเดียวหรอก  ไม่ว่าจะเป็นหุ้นดีแค่ไหน  ก็มักจะมีเวลาที่มันตกลงมาอย่างไม่น่าเชื่อจนคุ้มค่าที่จะซื้อมากเพราะ  “The Postman Always Ring Twice” และเมื่อสถานการณ์นั้นเกิดขึ้น  เราก็จะต้องเข้าไปซื้อ  อาจจะนานหน่อยแต่ก็คุ้มค่า      

​