โลกในมุมมองของValue Investor 24 สิงหาคม62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมอยู่กับตลาดหุ้นและการลงทุนมานาน ศึกษาและพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนโดยการอ่านหนังสือสารพัดและสังเกตเหตุการณ์และพฤติกรรมของผู้คนในสังคมรวมถึงตลาดหุ้นเพื่อที่จะหาวิธีการลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงต่ำ นอกจากนั้นก็ยังคอยติดตาม ราคาหุ้น จำนวนมากที่ซื้อขายกันในแต่ละวันถ้าว่างและสะดวกที่จะทำ ซึ่งทำให้คิดว่าราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นขนาดเล็กถึงกลางนั้นมักจะมีการเคลื่อนไหวในแต่ละวันตามปัจจัยหรือเหตุการณ์หรือข่าวบางอย่างที่เกิดขึ้น ดังนั้น ถ้าใครรู้ข้อมูลเหล่านั้นก่อนหรือประเมินได้ว่ามันจะกระทบกับราคาหุ้นได้มากน้อยแค่ไหน เขาก็อาจจะสามารถเทรดหรือซื้อขายหุ้นทำกำไรได้ อย่างน้อยก็ในระยะเวลาสั้นๆ แต่นี่ก็ขอบอกเสียก่อนว่าไม่ใช่วิธีการหรือหลักการลงทุนของผมเองซึ่งเน้นการลงทุนระยะยาวแบบVI ซึ่งเน้นปัจจัยบางอย่างที่เป็นเรื่องระยะยาวซึ่งส่วนมากก็ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูด
ปัจจัยที่น่าจะมีผลขับเคลื่อนราคาหุ้นโดยเฉพาะในระยะสั้นนั้นคร่าวๆ ผมแบ่งเป็น3-4 กลุ่มคือ หนึ่งเรื่องของปัจจัยทางด้านภาพใหญ่ของเศรษฐกิจการเงิน การเมือง สังคมและอื่นๆ ของประเทศและของโลก สองคือผู้เล่นหรือลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ สามเป็นเรื่องของตัวบริษัทและกิจการ และสุดท้ายเป็นเรื่องของตัวหุ้นเอง
ภาพใหญ่ที่มักจะสามารถขับเคลื่อนราคาหุ้นได้แทบจะทุกครั้งที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากเรื่องของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารกลางโดยเฉพาะสหรัฐและของไทยเอง ยิ่งถ้ามีการเปลี่ยนแปลงผิดจากที่ผู้คนคาด ผลกระทบก็มักจะแรงพอสมควร นอกจากอัตราดอกเบี้ยแล้ว อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สงครามการค้า สถานการณ์รุนแรงทางด้านการเมืองโดยเฉพาะของไทย และที่สำคัญวิกฤติทางการเงินของประเทศ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มักจะสามารถขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ บางครั้งอย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์หรือการที่จะ “รู้ก่อน” ก็ทำได้ยากสำหรับคนทั่วไป แต่ถ้ารู้และเป็นเรื่องสำคัญ เช่น รู้ว่ากำลังจะมีการเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้นหรือมีมาตรการบางอย่างเช่น ควบคุมเงินลงทุนจากต่างประเทศ แบบนี้ สิ่งที่ต้องทำก็คือ ขายหุ้นทิ้ง เพราะราคาหุ้นทั้งตลาดอาจจะตกลงมาแบบ“แพนิก” ได้
กลุ่มที่สองก็คือผู้เล่นในตลาด นี่ก็มักจะเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ไม่น้อยโดยเฉพาะในหุ้นขนาดเล็กหรือFree Float ต่ำ เช่น ถ้ามีผู้เล่นรายใหญ่เช่นกองทุนกำลังเข้าซื้อหุ้นขนาดเล็กหรือกลาง–เล็กบางตัว นี่ก็มักทำให้หุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นไป บางครั้งรุนแรงได้ เช่นเดียวกับที่ “นักลงทุนรายใหญ่” เข้าไปเก็บหุ้นขนาดเล็กจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และมีรายงานออกมาว่าถือหุ้นเกิน5 หรือ10% หรือปรากฏชื่อว่าถือหุ้นเกิน0.5% เวลาปิดสมุดทะเบียน แบบนี้บ่อยครั้งก็อาจจะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นได้ ในอีกด้านหนึ่ง เวลานักวิเคราะห์ออกบทวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อหุ้นจากที่ไม่เคยวิเคราะห์หรือเคยแนะนำให้ถือหรือขาย แบบนี้ก็อาจจะมีผลต่อราคาหุ้นให้ปรับตัวขึ้นได้เหมือนกัน เช่นเดียวกัน เวลานักวิเคราะห์บอกให้ขายหุ้นจากที่เคยให้ซื้อ แบบนี้ก็มักจะทำให้หุ้นลง
เจ้าของหุ้นก็มักจะมีบทบาทที่สามารถขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ไม่น้อย บางทีแค่ออกมาให้ข่าวดีๆ ว่าผลประกอบการจะโดดเด่นหรือมีแผนขยายตัวอย่างแรงออกไปสู่ต่างประเทศ หรือออกมาบอกว่าบริษัทกำลัง “ฟื้นตัว” จากภาวะตกต่ำรุนแรง แบบนี้ก็สามารถขับเคลื่อนหุ้นไปได้แรงทั้งที่ทุกอย่างที่พูดนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นและจะเกิดได้มากน้อยแค่ไหนก็ยังไม่รู้
ปัจจัยกลุ่มที่สามก็คือตัวบริษัทหรือกิจการซึ่งจำนวนมากเป็นเรื่องของ “พื้นฐาน” แต่บางทีก็เป็นแค่“สถานการณ์” แต่ถ้าบริษัทประกาศผลประกอบการที่มีกำไรดีขึ้นหรือดีขึ้นมาก ส่วนใหญ่แล้วราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น บางทีอย่างแรง แต่ถ้าประกาศกำไรลดลง แบบนี้หุ้นก็มักจะตกลงมา โดยที่คนไม่สนใจว่ากำไรที่เพิ่มหรือลดนั้นมาจากอะไร เป็นเรื่องของสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยหรือเกิดจากความสามารถในการทำกำไรเพราะทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันมากในด้านของพื้นฐาน และก็เช่นเดียวกัน คนก็ไม่สนใจว่าหุ้นมันแพงหรือถูกเกินไปหรือไม่
ข่าวของบริษัทบางอย่างเช่น เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่กำลังจะเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลซึ่งคนมักจะเชื่อกันว่าจะทำให้บริษัทได้ประโยชน์ ได้งานหรือสามารถค้าขายได้มากขึ้น แบบนี้ก็สามารถทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปได้เหมือนกัน บางทีก็เป็นเรื่องว่าบริษัทในกลุ่มเช่น รับเหมาก่อสร้างงานสาธารณูปโภคจะได้ประโยชน์จากการที่จะมีงานมากขึ้นเมื่อได้รัฐบาลใหม่ แบบนี้ก็มักจะกระตุ้นให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ เช่นเดียวกับหุ้นค้าปลีกสินค้าจำเป็นที่ราคาหุ้นดีขึ้นเนื่องจากจะมีการ“อัดฉีด” ให้คน“รากหญ้า” มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เป็นต้น
ข่าวของบริษัทยังมีอีกมาก เช่น การได้งานใหม่ที่เป็นโครงการ การได้รับการต่อสัญญาสัมปทานที่จะทำให้บริษัทจะได้ประโยชน์ไปอีกหลายสิบปี การทำM&A หรือซื้อโครงการเช่น โรงงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งหมดนั้นก็มักจะทำให้หุ้นขึ้นทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าที่ซื้อมานั้นคุ้มค่าหรือได้กำไรมากน้อยแค่ไหน
สุดท้ายก็คือตัวหุ้นเอง นี่ก็เป็นเรื่องของจิตวิทยาที่มีอิทธิพลสูงต่อราคาหุ้น ถ้าราคาหุ้นตัวหนึ่งวิ่งขึ้นไปแรงเป็นระยะ โดยเฉพาะมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่สูง แนวโน้มระยะสั้นๆ ก็คือ ราคาก็มักจะวิ่งขึ้นไปได้อีก นี่จริงๆ แล้วก็ออกแนวการเล่นหุ้นแบบ “เทคนิค” ที่บางคนบอกว่าไม่ต้องคิดถึงเหตุผล บางทีเหตุผลอาจจะมาทีหลัง บางครั้งหุ้นทั้งตลาดโดยเฉลี่ยหรือดัชนีหุ้นเองนั้นก็มักจะตกลงมาแรงตามดัชนีหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกา ดังนั้น คนเล่นหุ้นระยะสั้นก็มักจะต้อง“ดูดาว” ตอนกลางคืนเพื่อที่จะรู้ว่าวันรุ่งขึ้นหุ้นจะขึ้นหรือตก
หุ้นบางตัวนั้น เวลาขึ้นลงมักจะมีบ่อยครั้งที่ขึ้นลงแรงมากทั้งๆที่ไม่ได้มีข่าวอะไรพิเศษ บางทีปริมาณการซื้อขายก็ไม่มาก แบบนี้ ถ้ามีข่าวอะไรเข้ามา ราคาหุ้น ก็อาจจะกระชากแรงกว่าปกติ ผมเองคิดว่าอาการแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องหุ้นที่อาจจะถูกCorner หรือ“ต้อนเข้ามุม” หุ้นอยู่ในมือของคนจำนวนน้อยที่สามารถควบคุมราคาให้ไปในทิศทางที่ต้องการได้ หรือพวกเขาต่างก็มีมุมมองไปในทางเดียวกัน ผลก็คือ เวลามีการซื้อเข้ามาเพิ่มโดยใครก็ตาม ราคาก็วิ่งแรงกว่าปกติมาก หรือเวลาที่พวกเขาขาย ราคาก็ดิ่งได้ง่ายๆ
ทั้งหมดนั้นก็เป็นข้อสังเกตของผมที่เห็นและติดตามหุ้นมานาน แน่นอนว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงอาจจะ10 ปีที่ผ่านมา ในอดีตก่อนหน้านั้นหรือในอนาคตข้างหน้า มันก็อาจจะเปลี่ยนไป ทั้งหมดนั้นผมคิดว่าขึ้นอยู่กับลักษณะของตลาดหุ้นและนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนส่วนบุคคลในตลาด การเล่นหุ้นหรือแม้แต่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเองนั้น ผมคิดว่าการเข้าใจว่าอะไรหรือปัจจัยใดเป็นตัวขับเคลื่อนหุ้นน่าจะมีประโยชน์แม้ว่าเราในฐานะของVI อาจจะไม่ได้นำมาใช้เองก็ตาม
อ่านบทความ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร คลิก https://www.vietnamvi.com/category/ดร-นิเวศน์/