โลกในมุมมองของ Value Investor       21 กันยายน 62

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดหุ้นปีหน้า

​ช่วงเวลาใกล้สิ้นปีในแต่ละปี  นักลงทุน  “มืออาชีพ” ในตลาดหุ้นส่วนใหญ่แล้วก็มักจะพยายามคาดการณ์ทิศทางของตลาดหุ้นในปีหน้าว่าจะเป็นอย่างไรเพื่อที่จะกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของตนเองว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในปีหน้า  สื่อต่าง ๆ  เกี่ยวกับการลงทุนก็มักจะถาม  “กูรู” เพื่อที่จะเป็นแนวทางให้นักลงทุนทั่วไปในตลาดใช้สำหรับการลงทุน  ส่วนใหญ่แล้วนักวิเคราะห์ก็จะบอกว่าปีหน้าดัชนีตลาดหุ้นน่าจะขึ้น  ขึ้นมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  เพราะนักวิเคราะห์รวมถึงกูรูทั้งหลายนั้นต่างก็มักจะเป็นคนที่  “มองโลกในแง่ดี”  และอาจจะมีแรงจูงใจที่จะชวนให้คนเข้าซื้อหุ้นผ่านบริษัทของตนหรืออยากให้คนมาซื้อหุ้นซึ่งทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นเป็นผลดีต่อทุกคนที่อยู่ในแวดวงตลาดหุ้น  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ถ้ามองยาว ๆ  ย้อนไปในประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ  และให้ผลตอบแทนซึ่งส่วนใหญ่มาจากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึงประมาณ 10% ต่อปีแบบทบต้น  ดังนั้น  การคาดว่าหุ้นปีหน้าจะขึ้นจึงเป็นการคาดการณ์ที่น่าจะมีโอกาสถูกมากกว่าผิด

​ผมเองก็เคยถูกถามเสมอ  และก็ต้องตอบทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะถูก  เพราะหลาย ๆ  ปัจจัยที่ผมใช้ในการคาดการณ์นั้น  อิงกับทฤษฎีพื้นฐานของกิจการ  “แนว VI”  แต่ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ดูคล้าย ๆ  กับ“แนวเทคนิค”  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  มันไม่ได้มาจากการทำวิจัยที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากแต่มาจากการสังเกตในช่วงประมาณ 20 ปีที่อยู่ในตลาดหุ้นไทย  และต่อไปนี้ก็คือ  ปัจจัยที่กำหนดผลตอบแทนของตลาดหุ้นในปีหน้าหรือผลตอบแทนของการลงทุนที่เราจะได้รับในอนาคต  ซึ่งก็จะเป็นการตอบคำถามที่ว่าตลาดหุ้นไทยน่าลงทุนไหมในภาวะปัจจุบัน  ลงทุนแล้วเราจะได้รับผลตอบแทนที่ดีในอีกหนึ่งปีข้างหน้าหรืออาจจะอีก 2-3 ปีข้างหน้าหรือไม่

​ปัจจัยแรกที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดที่จะบอกว่าตลาดหุ้นในตอนสิ้นปีน่าลงทุนไหม  ปีหน้าหุ้นจะขึ้นดีไหมก็คือ  ค่า PE ของตลาด  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  ถ้าสิ้นปีค่า PE ของตลาดหุ้นต่ำหรือต่ำมาก  เช่น ค่า PE ไม่ถึง 10 เท่า หรือถ้ายิ่งต่ำกว่านั้นเช่นแค่ 6-7 เท่า  แบบนี้ผมคิดว่าการลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหรือลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมแบบ  “ปิดประตูแพ้” ปีหน้าเราจะได้รับผลตอบแทนที่ดี  แต่ถ้าปีหน้ายังไม่ดี  ปีต่อไปอีกไม่เกิน 1-2 ปีก็จะต้องดีแน่  ดัชนีจะขึ้นไปมากและทำให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยต่อปีที่เราถือหุ้นอยู่สูงจนน่าประทับใจ

สถานการณ์ที่ตลาดหุ้นมักจะเป็นแบบนั้นก็คือ  เกิดภาวะวิกฤตตลาดหุ้นที่ทำให้ราคาหรือดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาหนักมาก  เช่น 40-50% ซึ่งทำให้ค่า PE ลดลงต่ำมากเช่น  จาก 15 เท่าเหลือแค่ 7 เท่าและไม่มีคนต้องการเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อลงทุน  อาจจะเพราะไม่มีเงินสดหรือเพราะ “สิ้นหวัง” ในบริษัทจดทะเบียนทั้งหลาย  แต่สำหรับคนที่กล้าและยังมีเงินที่จะลงทุน  การลงทุนในช่วงเวลาแบบนั้นมักจะกลายเป็น “โอกาสทอง” ที่จะทำให้รวยจากหุ้นได้  อย่างไรก็ตาม  ช่วงเวลาที่ PEตลาดไม่เกิน 10 เท่าหรือ 10 เท่าต้น ๆ  นั้นไม่ได้เกิดเฉพาะในช่วงวิกฤต  และทุกครั้งที่เกิดขึ้น  คนที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมาหลังภาวะวิกฤติตลาดหุ้นในปี 2540 ก็มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมเสมอ

ปัจจัยตัวที่สองก็คือ  กำไรโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนทั้งตลาด  นี่เป็นปัจจัยสำคัญมากตัวหนึ่ง  ทุกปีที่กำไรเติบโตขึ้นแรง  ดัชนีตลาดก็มักจะปรับตัวขึ้นดีกว่าปกติมาก  ดังนั้น ถ้าเรามั่นใจว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะดีขึ้นมาก  การเข้าไปซื้อหุ้นหรือกองทุนอิงดัชนีก็น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในปีหน้า  ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ  บ่อยครั้งเราคาดการณ์ผลประกอบการหรือกำไรของบริษัทจดทะเบียนผิดพลาดทำให้กลยุทธ์นี้ใช้ไม่ค่อยได้  การที่จะใช้ปัจจัยตัวนี้ผมคิดว่าเราควรจะมีประเด็นที่ทำให้มั่นใจว่ากำไรโดยรวมของบริษัทน่าจะดีขึ้นมากอย่างชัดเจนเช่น มีการลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงมาก  หรือราคาพลังงานเช่นน้ำมันปรับตัวขึ้นมากซึ่งจะทำให้บริษัทขนาดใหญ่ทำกำไรเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ  หรือบริษัทขนาดใหญ่กำลัง “ฟื้นตัว” จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เป็นต้น

ปัจจัยที่สามคือ  อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งก็มักจะอิงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของอเมริกา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลดลงอย่างแรงและเร็ว  โอกาสที่ปีหน้าหุ้นจะดีก็จะมาก  การคาดการณ์ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยปีหน้าทั้งปีนั้น  บางทีก็อาจจะไม่แม่นยำนัก  อย่างไรก็ตาม  ในระยะหลังก็ดูเหมือนว่าธนาคารกลางของอเมริกาพยายาม “ส่งสัญญาณ” ล่วงหน้าไปไกลพอสมควรซึ่งทำให้เราอาจจะพยากรณ์ทิศทางได้ดีขึ้น

ปัจจัยที่สี่ที่มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นปีหน้าก็คืออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยหรือ GDP  ผลกระทบของการเติบโตที่ “ไม่แรง” เช่น  โตใกล้เคียงกับการเติบโตธรรมชาติเช่น  ประมาณ 4% บวกลบ  แบบนี้ก็อาจจะไม่ได้มีผลอะไรกับการทำนายของดัชนีหุ้นมากนัก  อย่างไรก็ตาม  ถ้าปีไหน GDP โตเป็นพิเศษ เช่น 5-7%  ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องของการ “ฟื้นตัว” จากปีก่อนที่ย่ำแย่  แบบนี้ก็จะทำให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นแรงได้  การทำนายการเติบโตของ GDPเองนั้น  ผมคิดว่าก็อาจจะพอทำได้ใกล้เคียงพอสมควรโดยเฉพาะถ้ามีสถานการณ์พิเศษอย่างเช่น  ในยามที่มี “สงครามการค้า”  และการส่งออกกำลังถดถอยลง  แบบนี้ก็อาจจะพูดได้ว่าปีหน้า GDP ก็คงไม่ดีและจะเป็นปัจจัยลบที่สำคัญที่ทำให้ดัชนีหุ้นขึ้นไปลำบาก

ปัจจัยตัวที่ห้าซึ่งเป็นเรื่องที่ผมสังเกตเห็นในระยะ 20 กว่าปีที่ผ่านมาก็คือ  ผลตอบแทนของตลาดหุ้นในปีนี้  ถ้าปีนี้ผลตอบแทนจากดัชนีเป็นลบ  ปีหน้าก็มีแนวโน้มว่าดัชนีจะดีขึ้นเป็นบวก  ถ้าปีนี้ดัชนีตกลงไปมากเป็น “วิกฤต”  ปีหน้าหรืออาจจะต่อไปอีกปีหนึ่งดัชนีก็จะปรับตัวขึ้นมาก  ตรงกันข้าม  ถ้าปีนี้ดีมาก  ปีหน้าก็อันตราย  ดัชนีอาจจะปรับตัวลง  หรือถ้ายังดีขึ้น  ปีต่อไปก็เสี่ยงมากขึ้นที่ดัชนีจะปรับตัวลง  เหตุผลทางเศรษฐศาสตร์นั้นไม่ชัดเจน  แต่หลักการของสรรพสิ่งที่ว่าอะไรก็ตามขึ้นไปหรือลงมามากก็มักจะปรับตัวกลับสู่ค่าเฉลี่ยนั้นค่อนข้างเป็นจริงในตลาดหุ้นไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

ปัจจัยสุดท้ายก็คือเรื่องของวิกฤติตลาดหุ้น  นี่เป็นเรื่องที่อาจจะทำให้ตลาดหุ้นตกลงมากได้  มันเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยากมากแต่ก็มักจะเกิดขึ้นเป็นระยะประมาณทุก 10 ปีจะมีครั้งหนึ่ง  วิกฤติครั้งสุดท้ายของตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นในปี 2008 หรือประมาณ 11 ปีมาแล้วตามวิกฤติซับไพร์มของอเมริกา  แต่นี่ก็ยังไม่สามารถนำมาทำนายได้ว่าจะเกิดอีกครั้งในปีไหน  อย่างไรก็ตาม  ถ้าเกิดวิกฤติ หุ้นก็ตกลงมาแรงแน่นอน  คนที่จะรอดได้ก็คงต้องมีหุ้นที่ปลอดภัยหรือ Defensive Stock  และถ้าจะดีก็ควรจะต้องมีเงินสดจำนวนหนึ่งที่จะคอยซื้อหุ้นที่ตกลงมามากและจะฟื้นตัวขึ้นมาแรงและทำกำไรชดเชยกับหุ้นที่ตกลงไปก่อนหน้านั้นได้

ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมานั้น  ผมอธิบายเพียงด้านเดียว  เราก็ต้องเข้าใจว่ามันมีสองด้าน  นั่นคือ  ถ้ามันเป็นอีกด้านหนึ่ง เช่น ถ้าสิ้นปี PEของตลาดแทนที่จะต่ำมากกลายเป็นสูงมาก  แบบนี้ก็จะเป็นเรื่องอันตรายที่จะลงทุนซื้อหุ้น  เพราะปีหน้าหุ้นอาจจะตกลงมาแรง  เช่นเดียวกัน  ถ้ากำไรบริษัทจดทะเบียนลดลงแรง  ดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวขึ้นเร็ว  อัตราการเติบโตของ GDP ต่ำและปีนี้ตลาดหุ้นขึ้นมามาก  แบบนี้ก็มีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นในปีหน้าจะแย่  ดัชนีอาจจะตกลงมาแรง  เป็นต้น  

ไม่ว่าปัจจัยทั้งหลายจะเป็นอย่างไรในปีนี้  การทำนายดัชนีในปีหน้าก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์  บางครั้งเหตุการณ์บางอย่างเช่น  วิกฤติเกิดขึ้น  หรือมีเหตุการณ์ทางด้านการเมืองหรือการออกกฎเกณฑ์ที่กระทบต่อตลาดรุนแรง  ก็อาจจะลบผลกระทบจากปัจจัยทั้งหลายดังกล่าวได้  ดังนั้น  สำหรับนักลงทุนแล้ว  ไม่มีอะไรมาแทนที่การเลือกหาและลงทุนในหุ้นที่สามารถจะอยู่ได้ตลอดในทุกสถานการณ์