ฝรั่งขายหุ้น

0
1969

โลกในมุมมองของ Value Investor  18 กรกฎาคม 63

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

มองย้อนหลังไปประมาณ 8 ปี  ตลาดหุ้นไทยนั้นดูเหมือนจะไม่ไปไหน  สิ้นปี 2555 ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,392 จุด ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 ดัชนีอยู่ที่ 1,360 จุดหรือลดต่ำลงประมาณ 2.3%  และในช่วง 8 ปีมานี้  ตลาดหุ้นไทยอยู่ในลักษณะ “Sideway” คือไม่ขึ้นหรือลงมาก  ปีที่ดีที่สุดคือปี 2559 ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นประมาณ 20% ส่วนปีที่แย่ที่สุดก็คือปี 2558 ที่ดัชนีติดลบ 14% และปีนี้ที่ดัชนีดูผันผวนขึ้นตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้ที่ดัชนีตกลงไปแล้วประมาณ 13.9%  ถ้านับจำนวนปีที่ขาดทุนหรือกำไร  ใน 8 ปีนั้นก็มี 4 ปีที่ดัชนีเป็นบวกและอีก 4 ปีที่ดัชนีติดลบ  ดูจากสถิติแล้ว  นี่น่าจะเป็น 8 ปีแห่งความผิดหวังและตกต่ำของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย  นักลงทุนโดยเฉลี่ยแล้วแทบจะไม่ได้อะไรจากการลงทุนระยะยาว  นักลงทุนน่าจะ “ถอดใจ” และลดระดับการซื้อขายลงไปมาก

แต่ข้อเท็จจริงก็คือ  ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานั้น  การซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นกลับ “คึกคักเป็นประวัติการณ์” เหตุผลน่าจะเป็นเพราะว่านักลงทุนหันมาเล่นหุ้นระยะสั้นกันมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนส่วนบุคคลและรายย่อยที่เข้ามาเล่นหุ้นเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็กและกลางที่มี Free Float ต่ำ  ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยดูเหมือนกับจะมีการแยกออกเป็น  “2 ตลาด” โดยที่ “ตลาดหลัก” ก็คือหุ้นขนาดใหญ่และ “ตลาดเก็งกำไร” ซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กและกลางที่มีการเก็งกำไรสูงมาก  แน่นอนว่าไม่ได้มีการแยกกันอย่างชัดเจนทั้งตัวหุ้นและนักลงทุนที่เข้าไปเล่น  ว่าที่จริงทั้งสองตลาดก็มีการสลับเปลี่ยนกันไปมา  โดยที่กลุ่มนักลงทุนส่วนบุคคลในประเทศนั้นก็ชอบที่จะเล่น “หุ้นเก็งกำไร” ส่วนนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนสถาบันนั้นก็เน้นที่หุ้นหลักขนาดใหญ่มากกว่า

            สิ่งที่น่าสนใจก็คือ  ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานั้น  นักลงทุนต่างประเทศหรือที่นักเล่นหุ้นเรียกว่า “ฝรั่ง” เพราะส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากประเทศตะวันตก  เป็นกลุ่มที่มีการขายหุ้นสุทธิมาตลอด  จำนวนยอดขายสุทธิรวมกันถึง 8 แสนล้านบาท  หรือเฉลี่ยปีละแสนล้านบาท  เหตุผลที่ฝรั่งขายหุ้นสุทธิมาตลอดหลายปีนั้น  ถ้าจะวิเคราะห์ก็คงต้องดูเหตุผลว่าทำไมฝรั่งถึงซื้อหุ้นไทยมาตั้งแต่แรก  เพราะนั่นจะทำให้เรารู้ว่าเขาจะขายต่อไหม  เพราะถ้าเขายังขายต่อไปเรื่อย ๆ  โอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปมาก ๆ  ก็น่าจะยาก  อย่าลืมว่าฝรั่งถือหุ้นไทยโดยรวมประมาณ 36% เมื่อ 8 ปีก่อนและค่อย ๆ ลดลงมาเกือบทุกปี  โดยที่ในช่วงหลัง ๆ  ที่ขายออกมากนั้น  ปริมาณหุ้นที่ถือก็ยังอยู่ในระดับเกือบ 30% หรือคิดเป็นเม็ดเงินถึงกว่า 5 ล้าน ๆ บาท  พูดง่าย ๆ  ถ้าจะขายก็มีหุ้นขายได้อีกมาก  ไม่ต้องห่วงว่าจะขายจนเกือบหมดแล้ว

ในอดีตที่ฝรั่งเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหุ้นไทยมากนั้น  น่าจะเริ่มประมาณปี 2542-3 หลังจากวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน  โดยที่การเติบโตของ GDP หลังจากนั้นจนถึงปี 2551 ที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม โตถึงประมาณ 5% ต่อปี  ยิ่งไปกว่านั้น อัตราดอกเบี้ยก็ลดลงมามาก  รวมถึงค่าเงินที่มีเสถียรภาพซึ่งทั้งหมดนั้นเอื้ออำนวยต่อการลงทุน  ประชากรไทยเองก็กำลังเติบโตเป็นหนุ่มสาวและเข้าสู่แรงงานมากขึ้น  การลงทุนสร้างกำลังผลิตในภาคอุตสาหกรรมมีสูง  ทั้งหมดนั้นทำให้ความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะในการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยมีความโดดเด่นเหนือประเทศอื่น ๆ  ในโลก  และที่สำคัญตลาดหุ้นไทยเองนั้น  ตกต่ำลงมากเพราะวิกฤติเศรษฐกิจและมีราคาไม่แพง  ค่า PE ของตลาดแค่ประมาณไม่เกิน 10 เท่าเป็นส่วนใหญ่  ดังนั้น  นักลงทุนจากประเทศพัฒนาแล้วจึง “แห่” กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยจน “เพดาน” การลงทุนเช่นในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เต็ม  ตลาดหลักทรัพย์ต้องสร้างเครื่องมือให้ต่างชาติลงทุนเพิ่มขึ้นเช่นพวก NDVR เป็นต้น

หลังปีวิกฤติซับไพร์มปี 2008  และต่อถึงปี  2011 หรือปี 2554 ที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทย  การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจหรือ GDP ก็ลุ่ม ๆ  ดอน  อย่างไรก็ตาม  เหตุการณ์ 2-3 อย่างที่ทำให้ตลาดหุ้นยังดีอยู่ก็คือ  ประการแรก  กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดอานิสงค์ส่วนหนึ่งจากการเติบโตขึ้นของการบริโภคของคนชั้นกลางที่มีเงินเพิ่มขึ้นเร็วเนื่องจากการปรับขึ้นของค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเร็วมากเพราะการขาดแคลนแรงงาน   อีกส่วนหนึ่งมาจากการลดภาษีนิติบุคคลของรัฐบาล จาก 30% เป็น 20%    และประการที่สองก็คือ  ดัชนีหุ้นนั้นตกต่ำลงมาแรงเพราะวิกฤติ  ทำให้ค่า PE ของตลาดตกลงมาอยู่ในระดับประมาณ 10 เท่าต้น ๆ   ดังนั้น  ตลาดจึงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี  2555 หรือประมาณ 8 ปีมาแล้ว  และนี่ก็คือช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเติบโตให้กำไรดีที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ ดัชนีปรับตัวขึ้นจาก 450 จุดเป็น 1,392 จุดหรือเป็น 3 เท่าในเวลา 4 ปี

หลังจากปี 2555 ประเทศไทยดูเหมือนว่าจะเข้าสู่ “โหมดใหม่” การเมืองที่เคยมีเสถียรภาพและพัฒนาก้าวหน้าตามโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ  ตั้งแต่วิกฤติปี 2540 เริ่มจะเปลี่ยนแปลงไป  การรัฐประหารซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่าจะไม่เกิดขึ้นแล้วก็เกิดขึ้นและบ่อยเหมือนที่เคยเป็นมานานในอดีต  คนไทยที่เคยเป็นหนุ่มสาวอายุเฉลี่ย 30 กว่าปีเริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและคนรุ่นใหม่เกิดน้อยลงมากทำให้อายุเฉลี่ยในวันนี้สูงเกือบ 40 ปีเข้าไปแล้วกลายเป็นประเทศที่แก่ตัวที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย  กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เคยเติบโตเร็วมากนั้นเติบโตช้าลงอย่างเห็นได้ชัดและโตเพียงเฉลี่ยปีละไม่เกิน 5% ตั้งแต่ปี 2555 ถึงสิ้นปี 2562  เศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาเดียวกันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นโหมดโตช้าและโตประมาณปีละ 3% และเป็นการโตโดยอาศัยการท่องเที่ยวจากชาวต่างประเทศโดยเฉพาะจีนเป็นส่วนใหญ่  ไม่ได้เน้นการลงทุนและการส่งออกอย่างที่เป็นมา  และทั้งหมดนั้นก็ยังไม่เท่ากับการที่ประเทศในเอเซียโดยเฉพาะในอาเซียนที่เริ่ม  “เปิดประเทศ” เต็มรูปแบบทุกประเทศที่เข้ามาแข่งขันทางการผลิตและการค้ากับประเทศไทยโดยตรง  พวกเขามีกำลังแรงงานจำนวนมากที่มีราคาถูกซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตเพื่อการส่งออกและบริโภคภายในประเทศ  มีระบบการเมืองและการปกครองที่มีเสถียรภาพซึ่งดึงดูดการลงทุนไปจากประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตช้าเพราะคนกำลังแก่ตัวลง  บริษัทจดทะเบียนที่เติบโตช้าเพราะเศรษฐกิจเติบโตช้าและเป็นบริษัท  “รุ่นเก่า” ที่ไม่ได้เน้นนวัตกรรมใหม่  แต่ราคาหุ้นนั้นตั้งแต่สิ้นปี 2555 ไม่เคยถูกเลย  ค่า PE ส่วนใหญ่เกิน 15 เท่าและใกล้มาทาง 20 เท่า  ฝรั่งที่ไหนอยากจะลงทุนระยะยาว?  และนั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ฝรั่งขายหุ้นติดต่อกันมาเป็นเวลา 8 ปี  แต่ทั้งหมดก็ไม่ทำให้ดัชนีหุ้นตก  มันแค่ทรง ๆ  หรือ Sideway มานานมาก  เหตุผลที่หุ้นไม่ตกนั้นผมคิดว่าเป็นเพราะเม็ดเงินของคนไทยที่มีเพิ่มขึ้นทุกปีเนื่องจากคนไทยกำลังแก่ตัวลงและเก็บเงินเพื่อการเกษียณ  ทางเลือกในการลงทุนมีจำกัดและทางเลือกอื่นเช่นการฝากเงิน  ลงทุนพันธบัตร  การซื้อที่และลงทุนทางเลือกเช่น ทองนั้น  ก็ไม่ได้ดีไปกว่าหุ้น  ดังนั้น  คนไทยจึงลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  รับกับการขายหุ้นของฝรั่งมาแปดปีแล้ว  นักลงทุนไทย  ไม่ท้อและไม่เบื่อหรือถอดใจ  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ยังมีหุ้นตัวเล็กตัวกลางจำนวนพอสมควรที่สร้างผลตอบแทนหรือทำกำไรให้มหาศาลที่อาจจะทำให้รวยได้แม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่ไปไหนและคนส่วนใหญ่ก็ยังขาดทุน  ดูไปแล้วผมก็คิดถึงหวยที่โดยเฉลี่ยแล้วคนเล่นก็ขาดทุนและขาดทุนมาเป็นหลาย ๆ สิบปีแต่ก็ไม่เห็นมีใครเลิกเล่น  เพราะคนยังมีความหวังว่าจะรวยหรือถูกรางวัลทุกงวด

วิธีที่จะแก้ปัญหาให้หุ้นเติบโตขึ้นก็คือต้องเปลี่ยนโหมดของประเทศและของบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากในสถานการณ์และภาวะปัจจุบัน  เป็นเรื่องที่ง่ายกว่ามากสำหรับนักลงทุนที่จะย้ายเงินลงทุนไปสู่ตลาดใหม่ที่มีอนาคตที่สดใสกว่า  ผมคิดว่าผมมองออกว่าประเทศหรือตลาดไหนจะดีในระยะยาวต่อจากนี้  อย่างไรก็ตาม  ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนที่เป็นนักลงทุนที่มุ่งมั่นแต่ไม่มีแรงอย่างผมที่จะทำ  และถึงจะพร้อมทุกอย่างก็ยังมีปัญหาบางอย่างที่สำคัญเช่นเรื่องของค่าเงินที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากซึ่งทำให้การลงทุนในต่างประเทศยังไม่สามารถมาแทนการลงทุนในประเทศได้มากพอ

สำหรับคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจหรือความสามารถพอที่จะไปลงทุนต่างประเทศเองนั้น  ผมคิดว่าการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศน่าจะเป็นทางออกที่สำคัญ  อย่างไรก็ตาม  นี่ไม่ใช่วิถีที่จะทำให้รวยได้เร็วเหมือนการลงทุนแบบ “Focus” หรือเลือกลงทุนเป็นรายตัวไม่กี่ตัวอย่างที่นักลงทุนส่วนบุคคลในไทยทำ   ผมเองอยากแนะนำว่า  เราควรจะต้องเปลี่ยน “โหมด” การลงทุนของเราใหม่  จากการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรเป็นการลงทุนระยะยาวที่เน้นผลตอบแทนระยะยาวที่สมเหตุผลในอัตราปีละเฉลี่ยไม่เกิน 10% โดยที่หากได้ผลตอบแทนปีละ 5-7% แบบทบต้นก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว  การตั้งเป้าแบบนี้ผมเชื่อว่าจะทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นและไม่เครียดกับการลงทุน-เกือบทุกวันอย่างที่อาจจะเคยเป็นในช่วงหลาย ๆ  ปีที่ผ่านมาน