โลกในมุมมองของ Value Investor 1 สิงหาคม 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การเมืองเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับคนทั้งประเทศและบางทีก็ทั้งโลก เพราะฉะนั้น นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าการเมืองของประเทศเป็นอย่างไรในปัจจุบันและจะเป็นอย่างไรในอนาคต การเมืองเป็นเรื่องของการแข่งขันหรือการต่อสู้ของคนในสังคมเพื่อที่จะได้อำนาจในการทำสิ่งต่าง ๆ รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรของประเทศในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือกลุ่มตนเองที่มีความคิดคล้าย ๆ กัน ความคิดทางการเมืองของคนโดยทั่วไปในโลกยุคปัจจุบันนั้นมักจะแบ่งออกเป็น 2 แนวทางใหญ่ ๆ นั่นก็คือ อนุรักษ์นิยมกับเสรีนิยม คนในสังคมของประเทศอย่างในไทยและประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็มักจะแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายและก็มักจะรวมกลุ่มกันเป็นพรรคการเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม ตัวอย่างเช่น ในอเมริกาก็จะมีพรรครีพับลิกันเป็นพรรคแนวอนุรักษ์ในขณะที่พรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายเสรีนิยม ในขณะที่อังกฤษก็จะมีพรรคอนุรักษ์นิยมกับพรรคแรงงานที่เป็นเสรีนิยม ทั้งสองฝ่ายต่างก็แข่งขันทางการเมืองมายาวนานเป็นร้อยปีและก็ผลัดกันแพ้และชนะมาตลอด
ในประเทศไทยนั้น ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 หรือ 88 ปีมาแล้ว เราก็มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นและแข่งขันกันเป็นช่วง ๆ ไม่ค่อยต่อเนื่องยาวนานในแต่ละครั้งเนื่องจากการรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าจะถามว่าแนวความคิดเรื่องอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยมนั้น ฝ่ายไหนชนะและเกิดขึ้นในช่วงไหน คำตอบก็คือ การเมืองไทยตั้งแต่ปี 2475 นั้นแทบจะไม่เคยเป็นเสรีนิยมเลย อาจจะมีช่วงสั้น ๆ เช่นหลังวิกฤติการเมือง 14 ตุลาคม 2519 และในช่วงหลังปี 2540 ที่ไทยมีรัฐธรรมนูญ “ฉบับประชาชน” ที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารปี 2534 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเนื่องจากการ “สืบทอดอำนาจ” ของผู้นำคณะรัฐประหารในปี 2535
แต่แนวความคิดด้านเสรีนิยมนั้นก็พัฒนามาเรื่อย ๆ ตามความก้าวหน้าของประเทศในด้านเศรษฐกิจและการเกิดขึ้นของคนรุ่นใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศผ่านสื่อมวลชนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 10 ปีหลังนี้ที่เกิดสื่อสังคมรุ่นใหม่ผ่านอินเตอร์เน็ตแพร่หลายและการเข้าถึงนั้นแทบไม่มีต้นทุนและไม่มีใครสามารถป้องกันได้ นี่ทำให้ “คนรุ่นใหม่” จำนวนมากมีแนวความคิดแบบเสรีนิยม และก็เช่นเดียวกัน คนรุ่นเก่าบางส่วนก็เริ่มมีแนวความคิดเสรีนิยมมากขึ้น ถ้ามองแบบ “นิวนอร์มอล” แล้ว สำหรับบางคน นี่อาจจะเป็นการ “Disrupt” ทางการเมืองที่อาจจะเปลี่ยนแปลงการเมืองของประเทศไทยได้ เมืองไทยอาจจะไม่เป็น “รัฐอนุรักษ์นิยม” ที่ความคิดเรื่องอนุรักษ์นิยมครองประเทศอีกต่อไป การแข่งขันหรือต่อสู้ทางการเมืองอาจจะกำลังรุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบไปถึงเรื่องทางสังคมและเศรษฐกิจและกลายเป็น “ความเสี่ยงของประเทศ” ได้
การวิเคราะห์ว่าใครหรือฝ่ายไหนจะ “ชนะ” ในการแข่งขันหรือต่อสู้ทางการเมืองของไทยนั้น ความคิดของผมก็คือ ฝ่ายนั้นจะต้องเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” หรือผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองอย่างแท้จริง ซึ่งนี่ก็อาจจะไม่ใช่แค่การชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล เพราะการเป็นรัฐบาลนั้น ในประเทศไทยอาจจะไม่ได้มีอำนาจสูงที่สุดจริง ๆ ในทางพฤตินัย นอกจากนั้น กรอบระยะเวลาของการต่อสู้หรือแข่งขันก็จะกำหนดไม่ให้ยาวเกินไป อาจจะประมาณ 5-10 ปี เพราะถ้าเกินจากนั้นก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากจนไม่น่าจะคาดการณ์ได้ ส่วนวิธีการวิเคราะห์ก็จะเป็น “แนว VI” นั่นก็คือ ในทุกการต่อสู้หรือการแข่งขันนั้น ผมจะดูว่าอะไรคือปัจจัยในการแข่งขันที่แต่ละฝ่ายมี ใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างไร และสุดท้ายที่สำคัญก็คือ ผมไม่สามารถสรุปฟันธงว่าใครจะชนะแน่นอน เพราะนี่คือ “การเมืองไทย” ที่หาความแน่นอนไม่ค่อยได้มานาน
ปัจจัยในการต่อสู้ทางการเมืองของไทยนั้น ผมอยากจะอุปมาอุปไมยว่าแต่ละฝ่ายนั้นมี 3 กองทัพ คือ ทัพบก ทัพเรือ และทัพอากาศ โดยที่ไม่ได้เกี่ยวกับการมีทหารหรือมีอาวุธเช่น ปืน หรือเรือรบ หรือเครื่องบิน จริง ๆ แม้ว่าการมีอาวุธดังกล่าวก็จะเป็นความได้เปรียบอย่างมากในการเมืองไทย แต่ “ทัพบก” ในความหมายนี้ของผมก็คือคนในประเทศไทยทั้งหมดหรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่าก็คือคนที่ Active หรือมีความตื่นตัวทางการเมืองและเข้าร่วมในกระบวนการทางการเมืองทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งผมจะคิดว่ามีปัจจัยหรือทรัพยากรมากน้อยแค่ไหนเป็น “คะแนน” โดยที่ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา ผมจะคิดว่า 1 คนมี 1 คะแนน แต่ถ้าเป็นคนที่มี “อิทธิพล” มากกว่าคนทั่วไป เช่น เป็นคนที่ถืออาวุธได้ตามกฎหมาย ก็อาจจะได้ 5 หรือ 10 คะแนนต่อคน ข้าราชการที่มีอำนาจในการอนุมัติการกระทำหรือลงโทษคนก็อาจจะได้คนละ 2 คะแนน สส. สว. ปปช. ผู้พิพากษาทางการเมือง หรือคนที่มีอำนาจทางการเมืองอื่น ๆ หนึ่งคนอาจจะมีคะแนนเป็น 10,000 เป็นต้น ฝ่ายไหนมีคะแนนสูงกว่าก็จะได้เปรียบฝ่ายที่มีคะแนนน้อยกว่า
มองแบบนี้แล้วก็จะเห็นว่า ณ.ขณะนี้ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมน่าจะมีคะแนนเหนือฝ่ายเสรีนิยมอยู่พอสมควร เพราะคนไทยจำนวนมากเป็นคนรุ่นเก่าที่ผมคิดว่าส่วนใหญ่แล้วก็ยังเป็นคนอนุรักษ์นิยมไม่ต้องพูดถึงคนที่ถืออาวุธ ข้าราชการและคนที่เป็นนักการเมืองจำนวนมาก ดังนั้น สำหรับ “กองทัพบก” แล้ว ผมคิดว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมน่าจะยังเหนือกว่าพอสมควร อย่างไรก็ตาม อานิสงค์จากการแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วของคนไทยที่จะทำให้คนที่มักจะอนุรักษ์นิยมจำนวนมากต้องถอยออกจากการเมือง ในขณะที่คนรุ่นใหม่ที่มักจะเป็นเสรีนิยมนั้นจะเข้าสู่การเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงของคนที่เคยอนุรักษ์นิยมมาเป็นเสรีนิยมก็มีแนวโน้มมากขึ้น เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งก็คือ พวกเขาได้รับข่าวสารข้อมูลใหม่ที่กว้างขึ้นจากสื่อที่เป็น “เสรีนิยม” มากขึ้น สื่อเหล่านั้นก็เปรียบเสมือน “กองทัพอากาศ” ที่ส่งเครื่องบินเข้ามา “ถล่ม” ทัพบกจนสูญเสียกำลังไปมากอย่างที่ผมจะกล่าวถึงต่อไป
ปัจจัยที่สองก็คือ “กองทัพเรือ” นี่คือรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และกฎเกณฑ์การบริหารและปกครองประเทศรวมถึงบุคคลากรที่ทำหน้าที่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎเหล่านั้น หน้าที่ของทัพเรือก็คล้าย ๆ กับทัพเรือในสงครามจริง นั่นคือ การปิดล้อมและตัดกำลังเสริม ตัดทรัพยากรหรือเสบียงต่าง ๆ ที่ฝ่ายตรงกันข้ามจะนำเข้ามาสู่สนามรบ ซึ่งจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแรงลง ในกรณีของการเมืองก็คือการยุบพรรคหรือทำให้หมดสิทธิในการทำงานการเมืองต่าง ๆ ในการต่อสู้หรือแข่งขันทางการเมือง ฝ่ายที่คุมทัพเรือได้มากกว่าก็จะได้เปรียบ และในหลาย ๆ ครั้งเป็นเครื่องมือที่ทำให้ชนะสงครามได้และนี่ก็คล้าย ๆ กับอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่สองที่อาศัยกองทัพเรือในการป้องกันเยอรมันบุกก่อนที่จะเอาชนะได้ในที่สุด ในกรณีของการเมืองไทยเองนั้นก็ชัดเจนว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมแทบจะคุมกำลังทางเรือได้เด็ดขาด
ปัจจัยสุดท้ายคือ “กองทัพอากาศ” ความหมายก็คือ การต่อสู้กันด้วยข่าวสาร “ทางอากาศ” ผ่านสื่อต่าง ๆ ในอดีตนั้น กองทัพอากาศประกอบไปด้วยหนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวี ซึ่งส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยรัฐซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม การเกิดขึ้นของสื่อสังคมสมัยใหม่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นทำให้ฝ่ายเสรีนิยมสามารถสร้างกองทัพอากาศที่ทรงอิทธิพลและเหนือกว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมอานิสงค์จากการที่คนรุ่นใหม่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีดิจิตอลมากกว่าคนรุ่นเก่าที่มักจะอนุรักษ์นิยมกว่ามาก หน้าที่ของกองทัพอากาศนั้นก็คือการ “ทำลายเป้าหมายบนพื้นดิน” แต่ในทางการเมืองก็คือการส่งข่าวสารที่จะเปลี่ยนความคิดของคนที่มีความคิดอนุรักษ์ให้มีความคิดเป็นเสรีนิยมมากที่สุด กองทัพอากาศไม่สามารถที่จะยึดครองพื้นที่หรือเอาชนะในสงครามจริงหรือสงครามทางการเมืองได้ แต่มันสามารถที่จะเปลี่ยนดุลยภาพของกำลังและทรัพยากรทางภาคพื้นดินรวมถึงพื้นน้ำให้ฝ่ายของตนได้เปรียบและเอาชนะได้ในที่สุด
ประเด็นที่จะต้องจับตามองและประเมินว่าฝ่ายไหนจะชนะนั้น ก็จะต้องดูพัฒนาการของกองทัพและการรบในแต่ละด้านของแต่ละฝ่ายว่าเป็นอย่างไร กำลังแต่ละทัพนั้นเปลี่ยนแปลงไปทางด้านไหน หลายสิ่งหลายอย่างในอดีตนั้น เคยอยู่อย่างเดิมหรือเปลี่ยนแปลงน้อยมากเป็นเวลาสิบหรือหลายสิบปี แต่ในโลกยุคปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงบางทีเกิดขึ้นในชั่ว “ข้ามคืน” อย่างที่เรา “คาดไม่ถึง” นี่เป็น “New Normal” การเมืองเองนั้นผมคิดว่าไม่ใช่ข้อยกเว้น ผมเพียงแต่หวังว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นจะเป็นไปอย่าง “ค่อนข้างสงบ” โดยที่การ “ต่อสู้” นั้น ก็จะเป็นการ “ต่อสู้กันทางการเมือง” ด้วย “3 เหล่าทัพ” ที่ไม่ได้ใช้อาวุธจริงเหมือนการต่อสู้ในสงครามจริง แต่เป็นการ “ต่อสู้กันทางความคิด” โดยที่ฝ่ายที่แพ้ก็ต้องยอมรับและฝ่ายที่ชนะก็จะต้องเปิดโอกาสให้มีการต่อสู้หรือแข่งขันกันใหม่อย่างที่คนในประเทศพัฒนาแล้วทำกันมานานแล้วโดยที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย ประเทศไม่ได้ล่มสลาย เศรษฐกิจก้าวหน้า และผู้คนก็มีความสุขได้อย่างที่ตนเองต้องการ