พลัง “เม่า”ทั่วโลก

0
2022

โลกในมุมมองของ Value Investor    13 มีนาคม 64

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ช่วงสิ้นเดือนมกราคมปี 2564 ผมได้เขียนบทความเรื่อง “GameStop สงคราม(หุ้น)ประชาชน” ในบทความนั้นผมได้เล่าเรื่องของหุ้น GameStop หรือ GME ว่าปรับตัวขึ้นมาถึง 19 เท่าในเวลาเพียงเดือนเดียวในช่วงเดือนมกราคม 2564  เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยที่เกาะกลุ่มกันในห้องเกี่ยวกับการลงทุน WallstreetBet ของเวปไซต์ยอดนิยม Reddit ได้เข้ามา “กวาด” ซื้อหุ้น GME เนื่องจากรู้มาว่าหุ้นตัวนี้ถูกชอร์ตเซลจากเหล่า Hedge Fund “นักล่า”  จำนวนมากที่เห็นว่า GME กำลังถูก Disrupt จากเทคโนโลยีดิจิทัล  ผลของการซื้อหุ้นในตอนนั้นทำให้เฮดจ์ฟันด์ถูก “ต้อนเข้ามุม”  หรือถูก  “Short Squeeze” ต้องกลับไปซื้อหุ้น GME ในขณะที่ไม่มีหุ้น GME ที่จะเหลือให้ซื้อ  ส่งผลให้ราคาขึ้นไปมหาศาล  “ชัยชนะ” หรือกำไรก้อนโตตกอยู่กับนักลงทุนรายย่อยแบบไม่น่าเชื่อ  เพราะในอดีตนั้น  การ “เล่นหุ้น”  ถูก “ควบคุม” เกมโดยรายใหญ่ที่มักเป็นสถาบันการลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นเฮดจ์ฟันด์

หลายคนบอกว่าโลกของการลงทุนกำลังจะเปลี่ยนไป  รายย่อยที่เป็นบุคคลธรรมดานั้น  มี  “อาวุธ”  ในการลงทุนครบครันเท่ากับรายใหญ่แล้วในโลกยุคใหม่  มีโบรกเกอร์ช่วยซื้อขายหุ้นโดยที่แทบไม่มีต้นทุน  พวกเขาสามารถซื้อขายหุ้นราคาแพงอย่างอะมาซอนที่ราคาหุ้นละ 3,000 เหรียญ ได้ด้วยเงินเพียง 50 เหรียญโดยการซื้อเป็นเศษของหุ้นผ่านระบบทางด้านดิจิทัลแบบใหม่  นอกจากนั้นยังสามารถใช้ออปชั่นของหุ้นที่เพิ่มพลังการซื้อขายได้เป็น 10 เท่า และไม่ต้องพูดถึงข้อมูลข่าวสารที่นักลงทุนรายย่อยก็มีโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ  ดังนั้น  พวกเขาสามารถ “ต่อกร” กับนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ได้ในสนามเดียวกัน  สิ่งนี้บวกกับสื่อสังคมรุ่นใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  ทำให้พวกเขาสามารถ “รวมพลัง” คนเป็นล้าน ๆ  ให้เข้าไป  “เล่นหุ้น” แข่งกับนักลงทุนขนาดใหญ่ทุกกลุ่มได้อย่างเสมอภาคกัน  แต่ทั้งหมดก็อาจจะยังไม่เพียงพอถ้าไม่ใช่เพราะการระบาดของโควิด-19  ที่ทำให้คนจำนวนมากต้องอยู่กับบ้านพร้อมกับ “เม็ดเงิน” ที่ “ล้นระบบ” อานิสงค์จากการอัดฉีดของรัฐบาลที่จ่ายให้กับประชาชนเกือบทุกคน  ทำให้คนจำนวนมากเข้ามา “เล่นหุ้น” ที่กำลังวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดปี 2563 ถึงปัจจุบัน

“New Normal” ของการลงทุนที่มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาเป็น “ผู้เล่นหลัก” โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น  จะยั่งยืนต่อไปในระยะยาวหรือไม่  หรือนี่เป็นแค่ “สถานการณ์” ชั่วคราวที่เกิดขึ้นเนื่องจากโควิด-19 และภาวะตลาดหุ้นที่ร้อนแรงซึ่งทำให้รายย่อยเข้ามาเล่นเก็งกำไร  แต่ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป  โควิดจบไปแล้วและหุ้นตกลงแรงเป็นขาลงไปแล้วเพราะอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะกำลังขึ้นและเงินเฟ้อกำลังจะมา  ทั้งหมดนี้จะทำให้นักลงทุนรายย่อยที่เป็น  “เม่า” ออกจากตลาดหุ้นและกลับไป  “ทำงานทำการ” เหมือนเดิมหรือไม่?  ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นไปได้และที่จริงก็เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงบูมของหุ้นไฮเท็คก่อนปี 2000 ที่นักลงทุนรายย่อยเข้าไปเล่นหุ้นกันมาก  แต่เมื่อ “ฟองสบู่แตก” นักลงทุนรายย่อยก็หายไปนานจนกลับมา “เฟื่อง” อีกในช่วงโควิด-19 นี้   เราคงต้องดูกันต่อไป  แต่ในขณะนี้ก็ดูเหมือนว่า “งานเลี้ยง” ยังไม่จบ  และก็ดูเหมือนว่าแทบจะไม่ชะลอลงเลย

หุ้น GME ที่ “เซียน” ต่างก็ทำนายว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็จะตกต่ำลงมาเหมือนเดิมก่อนที่จะขึ้นนั้น  ก็ปรากฏว่าตกลงมาจริง  จากราคาประมาณ 325 จุดตอนสิ้นเดือนมกราคม  พอถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ก็ตกลงมาเหลือเพียง 40 เหรียญ ลดลงมาถึง 88%  แต่พอถึงวันที่ 12 มีนาคม 64 ราคาก็ปรับตัวขึ้นกลับมาเป็น 265 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 560% ในเวลาไม่ถึงเดือนและต่ำกว่าจุดสูงสุดเพียงประมาณ 20%  ดังนั้น  เกมจึงยังไม่  “สต็อป” อย่างแน่นอน 

ดูจากจำนวนนักลงทุนรายย่อยที่เข้าสู่ตลาดหุ้นเองนั้น  ก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่หยุดเลย  นักลงทุนรายใหม่ที่เข้ามาอยู่ใน Platform การซื้อขายหุ้นของ Robinhood ก็มีถึง 13 ล้านบัญชีเข้าไปแล้ว  และนี่ก็เช่นเดียวกับบัญชีของนักลงทุนส่วนบุคคลของกองทุนรวม Fidelity ก็เพิ่มขึ้นถึง 3.7 ล้านบัญชีเฉพาะในปี 2563  ในส่วนของคนที่เข้าไปใช้เวป Reddit เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นเองก็เพิ่มขึ้นเป็น 9.4 ล้านบัญชีเข้าไปแล้วจากแค่ 9 แสนในช่วงต้นปี 2563  แต่ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ  ขณะนี้นักลงทุนรายย่อยมีการซื้อขายหุ้นต่อวันสูงมากจนจะคล้าย ๆ  ตลาดหุ้นไทยเข้าไปแล้ว  เพราะปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันสูงขึ้นจากประมาณ 10% ของตลาด  กลายเป็น  23% และมากกว่าปริมาณการซื้อขายหุ้นของเฮดจ์ฟันด์บวกกับกองทุน Active Fund ที่เป็นกองทุนมาตรฐานที่ต่างก็มีโวลุมแห่งละประมาณ 9-10%  ในขณะที่พวกเทรดโดยโรบอทที่เรียกว่า “High Frequency Trading” ก็ยังคงเท่าเดิมที่ประมาณ 45% ของตลาดเหมือนเดิม  ในขณะที่นักลงทุนระยะยาวและกองทุนอิงดัชนีนั้นแทบไม่มีนัยสำคัญในการเทรดหุ้น

อายุของนักลงทุนรุ่นใหม่นั้นลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด  ครึ่งหนึ่งของนักลงทุนอายุต่ำกว่า 34 ปี  พวกเขา Aggressive มากในการเล่นหุ้น  กล้าได้กล้าเสียกล้าใช้มาร์จินหรือเล่นออปชั่น  ใช้อินเตอร์เน็ตในการ “ตามล่า” หาหุ้นหรือคุยกัน  จากการทำโพลแบบสอบถามนั้น  นักลงทุนบอกว่าจะเอาเงินที่ได้จากรัฐบาลสหรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านเหรียญเพื่อแจกให้ทุกคน ๆ ละ 14,000 เหรียญ มาลงทุนในตลาดหุ้นถึง 37% และถ้าเป็นจริงก็จะมีเงินเข้าตลาดหุ้นถึง 170 พันล้านเหรียญ  และถ้าหุ้นตกลงไปก็จะเอาเงินเก็บออมมาลงทุนเพิ่มเข้าไปอีก  และนี่น่าจะทำให้นักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนส่วนบุคคลแตกต่างจากสมัยหุ้นไฮเท็คบูมปี 2000 ค่อนข้างมาก  เพราะในยุคนั้น  คนเล่นหุ้นอายุเฉลี่ยสูงถึง 50 ปี และมีพอร์ตลงทุนเฉลี่ยประมานคนละ 47,000 เหรียญหรือ 1.4 ล้านบาท  ในขณะที่รอบนี้นักลงทุนรุ่นใหม่มีอายุเฉลี่ยแค่ 31 ปี และเงินที่เล่นนั้นอยู่ตั้งแต่ 1,000-5,000 เหรียญ หรือ 30,000-150,000 บาทเท่านั้น

กลับมาที่ตลาดหุ้นไทยและรวมไปถึงเวียตนามที่ผมพอจะรู้จัก  ตั้งแต่เกิดโควิด-19  จำนวนนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นมากเป็นประวัติการณ์  พวกเขาส่วนใหญ่เป็น “มือใหม่” ไม่เคยลงทุนแบบเดียวกับที่อเมริกา  เหตุผลที่เข้าตลาดก็เหมือนกันคือเกิดจากโควิดที่ทำให้ตกงานและอยู่กับบ้าน  เครื่องมือลงทุนเดี๋ยวนี้สำหรับรายย่อยก็พร้อมและไม่ได้เสียเปรียบรายใหญ่  เช่นเดียวกับข้อมูลต่าง ๆ  ที่ได้ฟรี  เม็ดเงินที่ใช้ลงทุนนั้นว่าที่จริงไม่เคยสูงอยู่แล้วและมีเงินแค่หลักพันบาทก็เล่นหุ้นได้สบายมาก  ไม่เหมือนของตลาดหุ้นอเมริกาในสมัยก่อนแค่ไม่เกิน 10 ปีที่ต้องใช้เงินซื้อ-ขายหุ้นสูงเนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่มีราคาสูงมาก  ราคาหุ้นละหลายพันหรือหลายหมื่นบาทเป็นเรื่องปกติ  หุ้นเบิร์กไชร์ของบัฟเฟตตเองนั้นราคาหุ้นละเป็นหลายล้านบาท  นักลงทุนรุ่นใหม่ที่เข้าตลาดหุ้นรอบนี้ก็เช่นเดียวกับที่อเมริกา  คือมีอายุค่อนข้างต่ำ  ผมคาดว่าก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 30 เศษ ๆ  เป็นส่วนใหญ่  และเป็นนักลงทุนที่กล้าได้กล้าเสียเล่นเร็วซึ่งทั้งหมดทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันของตลาดหุ้นไทยสูงเป็นแสนล้านบาทกลายเป็นเรื่องปกติ  เช่นเดียวกับที่ตลาดหุ้นเวียตนามที่โวลุมสูงเป็นประวัติการณ์เป็นหลักหมื่นหรือสองสามหมื่นล้านบาทในบางวันจนทำให้ระบบเทรดหุ้นของตลาดรองรับไม่ไหวแล้ว

การแห่เข้ามาเล่นหุ้นของนักลงทุนส่วนบุคคลรอบนี้ทำให้เกิดการ “ผิดเพี้ยน” หรือ “ไร้เหตุผล” ของราคาหุ้นและหลักทรัพย์ต่าง ๆ  รวมถึงบิทคอยน์  ในความเห็นของชาลี มังเกอร์  ซึ่งอายุใกล้ร้อยปีแล้ว  บอกว่า  คนรุ่นใหม่เหล่านี้ไม่ได้อิงกับพื้นฐานแต่เก็งกำไรอย่างกับการเล่นม้า  คำสัมภาษณ์ของเขาถูกตอบโต้ในอินเตอร์เน็ตว่า  “อย่ามายุ่ง ตาแก่ขี้ฉุน”  ผมเองคิดว่านี่ก็คงเหมือนกับในตลาดหุ้นไทยที่หุ้นจำนวนมากในช่วงนี้ต่างก็วิ่งกันโดยไม่สมเหตุผลและผมเชื่อว่าส่วนสำคัญมาจากนักเล่นหุ้น  “เก็งกำไร” โดยเฉพาะจากคนรุ่นใหม่ที่เข้ามา “รุม” หาหุ้นที่จะเล่นทุกวัน  ซึ่งผลักดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปบางทีหลายเท่าในเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน  คล้าย ๆ กับหุ้นเกมสต็อปและหลักทรัพย์ “เก็งกำไร” อื่น ๆ

ใครจะคิดอย่างไรก็ไม่รู้  แต่ในช่วงเร็ว ๆ  นี้ดูเหมือนว่าผลงานของหุ้นแต่ละตัวจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักลงทุนส่วนบุคคลอยู่ไม่น้อย  พวกเขาจะถูกหรือผิดในแง่ของการเลือกหุ้นอิงจากปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็นหรือไม่นั้นไม่มีความหมาย  เพราะในระยะสั้นหรือกลาง-สั้น  ราคาก็ขึ้นอยู่กับแรงซื้อหรือแรงโหวตของเม็ดเงินที่มากกว่า  ดังนั้น  สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เน้นการลงทุนระยะยาวจริง ๆ  แล้ว  การติดตามดูหรือวิเคราะห์ความคิดของนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยดูเหมือนว่าจะจำเป็นทีเดียว  เช่น  ถ้านักเล่นหุ้นเหล่านี้มีธีมอะไรที่จะเป็น “กระแส” ต่อไป  คุณก็อาจจะต้องตามหรืออย่างน้อยก็ไม่ฝืนกระแสถ้ายังต้องการรักษาผลงานการลงทุนที่ดีในระยะสั้น   แต่สำหรับผมเองที่เป็นนักลงทุนระยะยาวถึงยาวมากแล้ว  ผมเองก็จะไม่ตาม  ผมยังคงยึดมั่นอยู่กับหลักการ VI อย่างเคร่งครัด  ผมจะไม่รีบรวยในสิ่งที่ผมไม่รู้ดี