มีคำถามจากมือใหม่ว่า ค่าเงินเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นเวียดนาม อเมริกา จีนหรือหุ้นต่างประเทศอย่างไร
วันนี้ จะเล่าให้ฟังแบบจบในโพสต์เดียว
หลักมันมีอยู่ว่าจะซื้อหุ้น หรือ ETF หรือกองทุนต่างประเทศ ไม่ว่าจะผ่านโบรกเกอร์หรือกองทุนไหนก็ตาม
เขาต้องเอาเงินเราไปแลกเงินประเทศนั้นๆ หากเงินบาทบ้านเราอ่อนค่า ไปแลกเป็นเงินต่างประเทศ มันก็ได้เงินน้อยลง
ยิ่งเงินประเทศที่เราจะลงทุนแข็งค่าขึ้นอีกด้วย เราก็จะแลกเงินเขาได้น้อยลงไปอีก
ดังนั้นเวลาซื้อหุ้นในประเทศเขาเราก็จะได้จำนวนหุ้น น้อยลงนั้นเอง
ยกตัวอย่างได้แบบง่ายๆ โดยไม่นำค่า Fee มารวมคิด ตัวอย่างเช่น
อัตราแลกเปลี่ยน 30 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ ต้องการซื้อหุ้น A ราคาหุ้นละ 10 ดอลลาร์ จำนวน 100 หุ้น ต้องใช้เงิน 3000 บาท
ต่อมาเงินบาทอ่อนค่าเป็น 35บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ ต้องการซื้อหุ้น A ราคาหุ้นละ 10 ดอลลาร์ จำนวน 100 หุ้น ต้องใช้เงิน 3500 บาท
ดังนั้นเราต้องจ่ายเงินเพิ่ม 500 บาท จึงอาจไม่เป็นผลดีต่อนักลงทุนหุ้นต่างประเทศหากค่าเงินบาทอ่อน
แต่จะเป็นผลดีต่อนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศอยู่แล้ว เพราะจากกรณีดังกล่าว
หากนักลงมีหุ้น A อยู่ก่อนแล้ว แม้หุ้นไม่ขึ้น แต่ขายหุ้นแล้วนำเงินกลับ ก็จะได้เงิน จำนวน 3500 บาท มีกำไรจากค่าเงิน 500 บาท เป็นต้น
แต่อยากฝากให้คิดว่า เรื่องค่าเงินเกี่ยวกันกับทั้ง เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ขอให้ดู ตุรกี ค่าเงินแต่ ต้นปีลดลงกว่า 10% (เทียบเงินบาท) และลดลงกว่าครึ่ง เทียบเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา
เงินรูเบิลรัสเซียเองในอดีตก็เคยมีปัญหา
เงินเวเนซุเอลาค่าเงินลดลงจนเป็นกระดาษเอามาพับถุง
และพม่าเพื่อนบ้านเราก็กำลังจะมีปัญหาเรื่องค่าเงินจ๊าด
การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นต่างประเทศ น่าจะลดความเสี่ยงเรื่องค่าเงินได้ระดับหนึ่ง
เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าอนาคตค่าเงินบ้านเราจะอ่อนค่า หรือแข็งค่ากว่านี้ เพราะมีปัจจัยเกี่ยวข้องมากมาย
มันยากกว่าการลงทุนในหุ้น เนื่องจากหุ้นเรารู้แค่เรื่องในบริษัทที่เราเลือกลงทุนก็พอค่ะ
ติดตามข่าวสารจาก VietnamVI
Website: https://www.vietnamvi.com
Facebook: vvinvestorLine: @vietnamvi
YouTube: https://youtube.com/c/Vietnamvi
ห้องคุยหุ้นเวียดนาม:https://www.facebook.com/groups/473890360486727/