เส้นทางสู่ความมั่งคั่งในชีวิต

0
932

โลกในมุมมองของ Value Investor        6 พฤษภาคม 66

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผมคิดว่า  “เส้นทางสู่ความมั่งคั่งในชีวิต” ของผมนั้น  มาโดยความ “บังเอิญ”  เป็นสิ่งที่ “ไม่ได้คาดคิด” มาก่อน  เป็น “โชคดี” ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์และการกระทำหลาย ๆ  อย่างในชีวิตต่อเนื่องมายาวนาน   ถ้าจะใช้คำภาษาอังกฤษก็คือ  เป็น  “Serendipipity”  ซึ่งแปลอย่างง่าย ๆ  ว่า  “โชคหรือสิ่งดี ๆ  ที่เกิดขึ้นหรือค้นพบโดยไม่ได้คาดฝัน”  คำ ๆ นี้มีที่มาจากเทพนิยายเรื่อง “The Three Princes of Serendip” หรือเจ้าชาย 3 องค์แห่งเซอรันดิป ซึ่งก็คือประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน  โดยในเนื้อเรื่องหลักก็คือเจ้าชาย 3 องค์ชอบเดินทางผจญภัยไปเรื่อย ๆ  และมักจะค้นพบสิ่งดี ๆ  ที่ไม่ได้แสวงหาโดยบังเอิญอยู่เสมอ

ผมเคยเล่าเรื่องชีวิตของตนเองมาพอสมควรว่าตอนที่เริ่มต้นลงทุนอย่างจริงจังแบบ VI เมื่อประมาณเกือบ 30 ปีก่อนนั้น  ผมไม่ได้คิดว่าตนเองจะรวย  ผมคิดเพียงแต่ว่าจะ  เอาตัวเองให้รอดและรักษาคุณภาพชีวิตของคนในครอบครัวให้ได้แบบเดิมที่เป็นแบบคนชั้นกลางค่อนข้างดีได้อย่างไรเมื่อตนเอง “ตกงาน” และเศรษฐกิจของประเทศกำลังล่มสลายในวิกฤติครั้งใหญ่ปี 2540  

ในตอนนั้น  ผมคิดว่าผมคงเอาตัวรอดได้  และลึก ๆ  ก็คือ  ผมตั้งเป้าหมายที่จะเป็น  “ผู้นำของ VI ในประเทศไทย”  แต่เรื่องของความมั่งคั่งหรือร่ำรวยนั้น  ไม่ได้คิด  แม้ว่าเมื่อลงทุนไปซักระยะหนึ่งก็รู้สึกว่า  บางทีเราอาจจะมีเงินในระดับที่เรียกว่ามี “อิสระภาพทางการเงิน” อย่างสมบูรณ์ก่อนเกษียณที่อายุ 60 ปี

และ ก่อนตายหรือหมดความสามารถที่อายุ 80 ปี  ผม “อาจ” จะมีเงินเป็นพันล้านบาทได้  ด้วยพลังของ  “ผลตอบแทนทบต้น” ของการลงทุน  อย่างไรก็ตาม  เงินพันล้านบาทในอนาคตอีกประมาณเกือบ 40 ปี  จะเรียกว่าเป็นคนรวยจริง ๆ  ก็อาจจะไม่ได้  เพราะเงินเฟ้อคงบั่นทอนอำนาจซื้อลงไปมากจนอาจจะไม่ใช่คนรวยจริง ๆ  อีกต่อไป

เวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ผมคิดว่าผมโชคดีที่ตลาดหุ้นและโดยเฉพาะหุ้นแบบ VI ได้เติบโตขึ้นมากและทำให้  VI จำนวนมากซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงตัวผมเองด้วย  สามารถสร้างผลตอบแทนสุดยอด  “เหนือจินตนาการ”  เหนือกว่าตัวเลขผลตอบแทนของนักลงทุนระดับ “เซียนของโลก” หลาย ๆ คนที่ผมเคยศึกษามาในช่วงเวลาเดียวกัน  ความมั่งคั่งจากผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ VI ไทยในช่วงเวลาดังกล่าวที่ผมเรียกว่าเป็น  “ทศวรรษทองของ VI” นั้น  เพิ่มขึ้นจนทำให้ VI จำนวนมากรวมถึงที่มีอายุไม่มากเหมือนผม  “รวยไปเลย”

ผมพยายามหาว่าอะไรทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น?   VI ไทยมีความสามารถหรือเก่งขนาดนั้นเลยหรือ?  คำตอบที่คิดจากตนเองเป็นหลักก็คือ  แน่นอนว่าความสามารถก็คงมีส่วน  แต่สิ่งที่ทำให้ผลตอบแทนดีสุดยอดจริง ๆ ก็คือ  “โชค”  ที่ผมเรียกว่า Serendipity  และโอกาสที่จะเกิดอีกครั้งในอีก 20 ปีข้างหน้านั้นคงมีน้อยมาก   นักลงทุนที่หวังจะได้ผลตอบแทนทบต้นแบบนั้นอีกในอีก 20  หรือ 30 ปีข้างหน้าในตลาดหุ้นไทยคงจะเป็นไปไม่ได้  เมื่อคำนึงถึงว่าทศวรรษทองของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของไทยในยามที่คนไทยแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วนั้น  ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีกแล้ว

ถ้าเช่นนั้น  เส้นทางสู่ความมั่งคั่งในชีวิตของนักลงทุน “รุ่นใหม่” ในวันนี้จะไปทางไหน?  และคำแนะนำของผมสำหรับคนที่อยากจะรวยหรือมีความมั่งคั่งสูงในชีวิตจะเป็นอย่างไร?

คำตอบของผมก็มาจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง  นั่นก็คือการมองย้อนอดีตที่ผมรวยขึ้นมาว่าผมทำอะไรมาบ้างเริ่มตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี  ถึงตอนนี้ผมมองเห็นชัดขึ้น  เพราะผมคิดย้อนหลังและมักจะเขียนมันออกมาผ่านบทความและการให้สัมภาษณ์ตลอดช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา

ประเด็นแรกก็คือ  ถ้าเราอยากจะรวย  เราจะต้องรู้  “กฎของความมั่งคั่ง”  ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติตามกฎ  โอกาสที่เราจะรวยหรือมีความมั่งคั่งสูงก็จะต่ำ  แน่นอนว่ามีคนรวยได้เหมือนกันทั้ง ๆ ที่ปฏิบัติผิดกฎ   ตัวอย่างเช่น  คนที่ซื้อลอตเตอรี่แล้วถูกรางวัลใหญ่  อย่างไรก็ตาม  ถ้าเราปฏิบัติถูกกฎ  โอกาสที่จะรวยนั้นก็อาจจะสูงมาก  บางคนถ้ามีปัจจัยแห่งความสำเร็จเพียงพอบางอย่าง  เช่น  เรียนเก่งและเรียนจบเป็นแพทย์เฉพาะทาง  การที่เขาจะมีความมั่งคั่งระดับพันล้านบาทในชีวิตนั้น  แทบจะการันตีถ้าเขาปฏิบัติตามกฎแห่งความมั่งคั่ง

กฎแห่งความมั่งคั่งก็คือ  เรื่องที่ผมอุปมาเปรียบเทียบกับตะเกียงวิเศษ 3 ดวง  ที่ถูกเปิดพร้อมกันและมีความสว่างไสวมากซึ่งก็คือมีความมั่งคั่งสูงมาก  โดยที่ตะเกียงดวงแรกก็คือเงินที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงและถูกเก็บออมไว้หรือเงินที่ได้รับโดยเสน่หาหรือเงินมรดก  วิธีที่จะเพิ่มเงินส่วนนี้ให้มากก็คือ  ต้องเป็นคนประหยัดใช้จ่ายแต่จำเป็น  นอกจากนั้น  ถ้ายังรู้สึกว่าเงินก้อนนี้เพิ่มขึ้นไม่ทันใจเพราะรายได้หรือเงินเดือนไม่สูงอย่างอาชีพหมอหรือเป็นงานแบบผู้บริหารหรือผู้เชี่ยวชาญ  เราก็อาจจะที่ต้องเลื่อนรายจ่ายใหญ่ที่  “จำเป็น”  เช่น  การซื้อบ้านและรถยนต์ออกไปด้วย  และนั่นก็คือสิ่งที่ผมทำ  ว่าที่จริงผมเองเพิ่งจะมีรถยนต์ของตนเองเมื่อเกษียณตอนอายุ 52 ปีไปแล้ว  และมีบ้านของตนเองจริง ๆ หลังจากนั้นอีก 3-4 ปี

ผมเองคิดว่า  สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมรวยนั้น  มาจากการเป็นคนประหยัดเก็บเงิน  ถ้าผมไม่ได้ทำอย่างนั้น  ผมไม่รวยแน่  และก็คงต้องทำงานไปจนเกษียณ  อาจจะอายุ 65 ปี  และผมคิดว่านี่คือเส้นทางที่คนส่วนใหญ่ที่อยากรวยแต่พ่อแม่ไม่รวยควรจะเลือกเดิน  นั่นก็คือ  ทำงานหนักทำงานฉลาดและเก็บออมสูง  แม้แต่สิ่งสำคัญอย่างบ้านและรถยนต์ถ้าเลี่ยงได้ก็อย่าเพิ่งรีบซื้อ

ตะเกียงดวงที่ 2 คือ การลงทุนเงินที่เก็บออมได้ในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงโดยธรรมชาติ  นั่นก็คือหุ้น  อาจจะทั้งในตลาดหลักทรัพย์หรืออาจจะเป็นบริษัทธุรกิจที่ก่อตั้งขึ้นโดยที่ตนเองมีความสามารถที่จะบริหารได้โดยที่ความเสี่ยงที่จะล้มเหลวน้อย  ตัวอย่างอาจจะเป็นการเปิดคลีนิคพิเศษที่ตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคบางอย่าง เป็นต้น

แต่ถ้าไม่มีจุดแข็งอะไรเป็นพิเศษ  การเลือกลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด  เพราะเรายังสามารถทำเงินเพิ่มความสว่างของตะเกียงดวงที่ 1 ที่จะไม่ริบหรี่ลง  แต่มักจะสว่างขึ้นไปเรื่อย ๆ  ตามอายุงานและความเชี่ยวชาญที่เพิ่มขึ้น

สิ่งสำคัญถ้าจะเลือกเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นก็คือการเลือกว่าเราจะลงทุนในตลาดไหนและด้วยกลยุทธ์อย่างไร?  เพราะในระยะยาวแล้ว  ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มักจะขึ้นอยู่กับว่าประเทศที่ตลาดตั้งอยู่จะเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน  ยกตัวอย่างเช่น  ตลาดหุ้นอเมริกานั้น  เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตมาตลอดและมีขนาดใหญ่มาก  การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐที่ผ่านมาเป็นร้อยปีจึงให้ผลตอบแทนที่  “ดีสุดยอด”  ญี่ปุ่นเองก็เคยเจริญเติบโตเร็วมากตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2  จนถึงประมาณ ปี 1989 แต่ถ้าใครเข้าไปลงทุนตั้งแต่ปี 1990 เขาอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลยจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 30 ปี เพราะเศรษฐกิจแทบจะหยุดโตไปแล้ว

ถ้าคิดว่าเรามีความรู้และความสามารถในการเลือกหุ้นลงทุนเอง  อาจจะเป็นแบบ VI  และไม่ต้องการความเสี่ยงสูงเกินไปโดยการกระจายความเสี่ยงในหุ้นอย่างน้อยซัก 10 ตัวขึ้นไป  ผลตอบแทนที่ได้ก็อาจจะเพิ่มขึ้นจากประมาณปีละ 9% จากการลงทุนในกองทุนรวม เป็นปีละ 12% แบบทบต้น  นี่ก็จะทำให้เส้นทางแห่งความมั่งคั่งของเราสูงขึ้นแบบทวีคูณในระยะยาว  เช่น  แทนที่จะมีเงิน 100 ล้านก็อาจจะเป็น 1,000 ล้านบาทในวันที่เราตาย  แต่การได้ผลตอบแทนปีละ 12% นั้นก็ไม่ใช่เรื่องงาน  เพราะนั่นก็เป็นผลตอบแทนใน “ระดับโลก” เหมือนกัน

สุดท้ายก็คือตะเกียงดวงที่ 3 เรื่องระยะเวลาในการลงทุนต่อเนื่อง  ยิ่งยาวก็จะยิ่งรวย ว่าที่จริง  ความมั่งคั่งส่วนใหญ่ที่สุดนั้น  มักไม่ใช่เรื่องของเงินต้นหรือผลตอบแทนการลงทุน  แต่เป็นระยะเวลาการลงทุน  ถ้าเรามีความมุ่งมั่นและศรัทธา  ไม่รีบถอนเงินมาใช้และมีสุขภาพที่ดีอายุยืน  ความมั่งคั่งก็จะมาเองแทบจะอัตโนมัติ  คนอาจจะตกใจว่าวอเร็น บัฟเฟตต์ ตอนอายุ 60 ปีนั้น  มีเงินแค่ไม่เกิน 5% ของความมั่งคั่งของเขาในวันนี้ที่เขามีอายุถึง 92 ปี

แผนหรือกลยุทธ์สู่ความมั่งคั่งดังกล่าวนั้น  ถ้านำไปคำนวณตามโปรแกรมของนักบริหารการเงิน  ก็แทบจะบอกได้เลยว่าสุดท้ายแล้วเราจะมีความมั่งคั่งเป็นเท่าไร  โดยที่ความผิดพลาดก็อาจจะไม่สูงมาก  โอกาสที่อย่างไรเราก็เอาตัวรอดได้นั้นน่าจะค่อนข้างสูง  ในอีกด้านหนึ่ง  ถ้าเราโชคดี  เกิด “Serendipity” ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตอย่างที่ VI จำนวนมากได้ประสบในช่วงกว่า 10-20 ปีที่ผ่านมา  เราก็อาจจะรวยไปเลย