อวสานของตลาดทุน?

0
3486

โลกในมุมมองของ Value Investor 10 มิถุนายน 2566

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

นโยบายทางด้านเศรษฐกิจและการเงินของพรรคการเมืองผู้นำที่กำลังพยายามจัดตั้งรัฐบาลในช่วงนี้นั้น  ก่อให้เกิดความกังวลต่อตลาดทุนโดยเฉพาะตลาดหุ้นไม่น้อย  เหตุผลก็เพราะว่ามีการเสนอให้เปลี่ยนแปลงแนวทางหรือปรัชญาทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยใช้มานานและ  “ได้ผลดี” ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้ “เจริญเติบโต” ต่อเนื่องมายาวนาน  นั่นก็คือ  เศรษฐกิจแบบ  “ทุนนิยมเสรี” ซึ่งก็ทำให้รายได้ของประชาชนสูงขึ้นและส่วนใหญ่ก็  “พ้นจากเส้นขีดของความยากจน”  อย่างไรก็ตาม  จุดอ่อนหรือข้อเสียที่เกิดขึ้นก็คือ  “คนรวย” นั้นรวยขึ้นมาก “เกินไป”  ส่วนคนจนนั้นมีรายได้และทรัพย์สมบัติน้อยเกินไป  ความแตกต่างนั้นสูงลิ่ว  ทำให้เกิดความไม่พอใจในคนจำนวนมากที่ต้องการลดช่องว่างนี้

แนวทางใหม่ที่เสนอก็คือ  การเก็บภาษีธุรกิจที่ “คนรวย” เป็นเจ้าของมากขึ้น  เก็บภาษีกิจกรรมที่คนรวยทำมากขึ้น  และเก็บ “ภาษีทรัพย์สิน” ของคนที่รวยหรือมีความมั่งคั่งมากกว่าปกติมาก  นอกจากนั้น  ก็จะ  “จัดการ” กิจการของคนรวยที่  “ผูกขาด” การทำธุรกิจที่เอารัดเอาเปรียบคนที่รวยน้อยกว่าหรือเป็นธุรกิจรายย่อย  แล้วใช้เงินที่ได้เอามา  “แจกจ่าย”  หรือเป็น “สวัสดิการ” ให้แก่คนจน  หรือมองในทางวิชาการก็คือ  จะเปลี่ยนแนวทางหรือปรัชญาทางเศรษฐกิจให้เป็นแบบ  “สังคมนิยม” ที่เน้น  “ความเท่าเทียม” ทางเศรษฐกิจของประชาชนแทนที่การเน้นการเติบโตอย่างที่ทำติดต่อกันมายาวนาน

แต่คนรวยและรวยมากในประเทศไทยส่วนใหญ่และน่าจะมากกว่า 90% ของทั้งหมดที่ไม่ได้มาจากการทำผิดกฎหมายนั้น  ก็มักจะมาจากการ “ลงทุน” ทำธุรกิจ  และในระยะหลัง  ๆ  ก็เป็นธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น  ว่าที่จริง  มูลค่าความมั่งคั่งของ “คนรวย” ที่อยู่ในตลาดหุ้นนั้นสูงถึงเกือบ 20 ล้านล้านบาท หรือมากกว่ารายได้ต่อปีของประชาชาติไปแล้ว  ดังนั้น  เป้าหมายของการเรียกเก็บภาษีจึงเน้นไปที่หุ้นในตลาดหลักทรัพย์

ตัวอย่างภาษีที่มีการประกาศแล้วว่าอาจจะเก็บก็เช่น  ภาษีนิติบุคคลของบริษัทขนาดใหญ่ที่จะเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 23%  ภาษีกำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์  การจัดการกับการ “ผูกขาด”  ของบริษัทขนาดใหญ่มากที่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในตลาดหุ้น  และการเก็บภาษีความมั่งคั่งสำหรับคนที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเกินกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจำนวนมากก็เป็นคนที่ถือหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์  เป็นต้น

ทั้งหมดนั้นมีผลต่อผลประกอบการของบริษัทและการประเมินมูลค่าหุ้นอย่างแน่นอนและอาจจะรุนแรงซึ่งอาจจะทำให้หุ้นตกซึ่งจะส่งผลให้การระดมทุนเพื่อขยายกิจการไม่เติบโตและในบางกรณีก็อาจจะมีการ “ถอนทุน” ออกจากประเทศไทยไปด้วย  โดยคนที่ถอนอาจจะเป็นนักลงทุนต่างประเทศที่อาจจะมองว่าตลาดหุ้นไทยไม่เติบโตและให้ผลตอบแทนต่ำกว่าคู่แข่งที่เป็นตลาดที่เติบโตเร็วกว่าและให้ผลตอบแทนสูงกว่า  หรืออาจจะเป็นนักลงทุนไทยเองที่หันไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ    และนั่นก็จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย  ลดลง   ซึ่งก็จะทำให้เม็ดเงินภาษีที่จะเก็บได้ลดน้อยลง  ไม่เพียงพอต่อการให้สวัสดิการที่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากในอนาคต

การตกลงของดัชนีตลาดหุ้น  ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของผลประกอบการเพราะการเก็บภาษีในระดับสูง  และการเพิ่มขึ้นของ “ต้นทุน” ของการซื้อ-ขายหุ้นเนื่องจากภาษีกำไรจากการลงทุนและอื่น ๆ  นั้น  ยังส่งผลต่อ “คนชั้นกลาง” จำนวนมาก  อาจเป็นหลายล้านคน  ที่ลงทุน “ออมหุ้น” เพื่อการเกษียณ  พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ลงทุนในหุ้นเองหรือผ่านกองทุนรวมหรือกองทุนต่าง ๆ  ที่ลงทุนในหุ้นที่เป็นทรัพย์สินที่  “ให้ผลตอบแทนสูงสุด”  เมื่อเทียบกับการลงทุนอื่น ๆ  โดยเฉพาะการฝากเงินในธนาคาร  แต่ถ้าหากว่าหุ้นไทย “ตกลงต่อเนื่องระยะยาว” อันเป็นผลจากนโยบายที่ “ไม่สนับสนุนตลาดทุน” ของรัฐ อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?  พึ่งพาสวัสดิการหรือ?

ทางเลือกหนึ่งของรัฐบาลที่จะทำได้ก็คือ  การเพิ่มภาษี VAT แทน  ซึ่งจะได้เม็ดเงินเพิ่มตามจำนวนที่ต้องการและ  “ไม่ผิดพลาด” มาใช้ในการทำสวัสดิการที่ต้องการ และไม่เกิด “ผลข้างเคียง” มาก  ว่าที่จริงภาษี VAT ของไทยก็ยังต่ำกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก   ในขณะที่ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนนั้น  โอกาสที่เม็ดเงินจะผิดพลาดนั้นสูงมาก  เนื่องจากทรัพย์สินที่อิงกับราคาหุ้นหรือปริมาณการซื้อขายหุ้นจะมีมูลค่าเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในทางที่ลดลง  ประสบการณ์ในต่างประเทศที่มีการเก็บภาษีที่ไทยกำลังคิดนำมาใช้นั้น  “น่าผิดหวัง”  หลายประเทศต้องเลิกเก็บภาษีดังกล่าวด้วยซ้ำ

อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ  การปรับลดงบประมาณของประเทศในส่วนงานอื่นที่มีความจำเป็นน้อยกว่า  เพื่อที่จะนำเงินส่วนที่เหลือมาใช้ในงบสวัสดิการ  นี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่จะทำอยู่  แต่จะทำได้มากน้อยแค่ไหนก็ยังไม่รู้  อย่างไรก็ตาม  ความจำเป็นที่จะต้องให้สวัสดิการเต็มที่ทันทีก็ไม่ได้มากถึงขนาดนั้น  การค่อย ๆ  “ปรับ” งบค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ดีนักก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่อาจจะเหมาะสมกว่า

ในอีกด้านหนึ่ง  เป้าหมายที่จะลดความเหลื่อมล้ำอย่างรวดเร็วนั้น  ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก  เพราะอาจจะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงและไม่พึงประสงค์ได้  ตัวอย่างเช่น  อาจจะทำให้ตลาดทุนตกต่ำลงซึ่งส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจรุนแรง  ซึ่งจะกลับมาส่งผลต่อเม็ดเงินที่จะใช้ในการแก้ปัญหาความยากจนและความเท่าเทียมและลดเม็ดเงินที่จะลงทุนในกิจการสาธารณูปโภค  ซึ่งก็จะลดการลงทุนของเอกชนในตลาด  กลายเป็น “วัฏจักรแห่งความเลวร้าย”  ซึ่งน่าจะเคยเกิดขึ้นกับประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศในโลกที่ใช้นโยบาย “สุดโต่ง” เกินไป  และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ฟื้นจาก “วิกฤติ” ที่ร้ายแรงของประเทศ

เป้าหมายที่เป็นทางเลือกอย่างหนึ่งแทนที่ความเท่าเทียมเป็นหลักก็คือ  การลดจำนวนประชากรที่ยังอยู่ “ใต้ขีดความยากจนของประเทศ” ให้เหลือน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย  พูดง่าย ๆ  ทุกคนสามารถใช้ชีวิตที่ดีเพียงพออย่าง “มีศักดิ์ศรี” ตามเกณฑ์ของสหประชาชาติ  มีสวัสดิการรองรับในด้านของความเจ็บป่วย  การศึกษาและการตกงาน  เป็นต้น  โดยเป้าหมายนี้ยังเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก  โดยความเชื่อที่ว่า  เมื่อประเทศรวยจนถึงระดับหนึ่ง  เช่น  กลายเป็นสังคมที่มี “รายได้สูง” แล้ว  การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมจะง่ายขึ้นมาก  เพราะรัฐจะมีเงินมากพอ  เช่นเดียวกับประชาชนส่วนใหญ่ที่มีความมั่งคั่งพอที่จะจ่ายภาษีในอัตราที่สูงได้  และนี่ก็คงเป็นโมเดลของประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปหลายประเทศ

หลายคนอาจจะคิดว่าการพูดว่าตลาดทุนหรือตลาดหุ้นจะ  “พัง” หรือมีประสิทธิภาพลดลงมากจนไม่สามารถช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้นั้น  อาจจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป  แต่ผมคิดว่าในโลกยุคปัจจุบันนั้น  “ความเชื่อสำคัญเท่า ๆ  กับความจริง” กล่าวคือถ้าคน “เชื่อ” ว่าประเทศเราไม่สนับสนุนตลาดทุนหรือตลาดหุ้น  หรือเราจะเป็น  “สังคมนิยม” เขาก็จะตัดสินใจไม่มาลงทุนหรือถอนการลงทุนออกไป  อาจจะโดยการขายหุ้นในตลาดอย่างต่อเนื่อง นั่นก็จะทำให้คนอื่นต้องทำตามเพราะกลัวหุ้นตก  และในที่สุดก็ทำให้ตลาดทุนและตลาดหุ้นตกต่ำลง  ความเชื่อก็กลายเป็นความจริง

สุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือ  หลายคนอาจจะคิดว่า  ผมอาจจะมี  Bias หรือความลำเอียงในฐานะของคนในตลาดหุ้นที่จะต้องเสียภาษีหนัก  คำตอบของผมก็คือ  ถ้าคำนวณว่าสุดท้ายผมต้องเสียภาษีเทียบกับความมั่งคั่งไม่เกินปีละ 0.5-1% ต่อปี  ผมก็คงไม่เดือดร้อนหรอก  ถ้าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละประมาณ 7-8% และผมอาจจะทำได้ดีกว่านั้นด้วย  

สิ่งที่ผมกลัวก็คือ  ตลาดหุ้นและตลาดทุนจะ  “วาย” ลงทุนแล้วดัชนีมีแต่จะตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ   เรากำลังผ่าน  “ทศวรรษที่หายไป” ในปีนี้  และก็หวังว่าเราจะเริ่มฟื้นตัวสู่  “ทศวรรษแห่งความรุ่งเรือง”  หรืออย่างน้อยเป็น “ทศวรรษแห่งความยั่งยืน” หรือทศวรรษปกติ  แต่ถ้ามันไม่ใช่  นี่ก็อาจจะเป็น  “อวสานของตลาดหุ้น” ที่นักลงทุนจะต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไร

——–

🇻🇳 VVI Membership

ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่https://class.vietnamvi.com/

หรือ ติดตามเราได้ที่

– Line: @vietnamvi คลิ๊ก https://lin.ee/Jy9n680

– Website: https://www.vietnamvi.com

– facebook:  https://www.facebook.com/vvinvestor

– Youtube:http://youtube.com/c/vietnamvi

– E-mail:info@vietnamvi.com