โลกในมุมมองของ Value Investor       8 มิถุนายน 2567

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางไปเยือนเมืองโฮจิมิน 2 วัน หลังจากที่ไปครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปี 2560 หรือประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมา  ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากที่ผมไม่ได้ “สัมผัส” กับ “บรรยากาศ” ของประเทศเวียดนามที่ผมมั่นใจว่ากำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเห็นได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจและข่าวสารต่าง ๆ  ที่ออกมาตลอดเวลาไม่ต้องพูดถึงราคาและดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะ 2-3 ปีหลังนี้

การไป “เห็นกับตา” และได้เยี่ยมเยียนร้านค้า  บ้านเมือง  และธุรกิจ  รวมถึงการได้คุยกับ “คนเวียดนาม” ที่หลากหลายนั้น  จะ Confirm หรือยืนยันว่าสิ่งที่ผมคิดในเรื่องต่าง ๆ  ของเวียดนามนั้นเป็นจริงหรือไม่  และอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไปด้วยความเชื่อมั่นที่สูง  ทั้งหมดนั้นจะช่วยให้ผมสามารถ “ลงทุนระยะยาว” ในธุรกิจและบริษัทที่จะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ได้อย่างมั่นใจและสบายใจขึ้น

รายการแรกที่ผมทำเมื่อเดินทางถึงที่พักทันทีก็คือการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวชื่อดังของเวียดนามถึงเรื่องของการลงทุนของผมในเวียดนามและมุมมองต่าง ๆ  เกี่ยวกับตลาดหุ้นและบริษัทจดทะเบียน  ความรู้สึกก็คือ  ขณะนี้การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นกิจกรรมที่คนเวียดนามสนใจมาก  ว่าที่จริงจำนวนนักลงทุนส่วนบุคคลในเวียดนามนั้นเกินกว่า 7 ล้านคนและน่าจะมากกว่าตัวเลขของตลาดหุ้นไทยแล้ว  ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยต่อวันในช่วงเร็ว ๆ  นี้ผมคิดว่าน่าจะมากกว่าตลาดหุ้นไทยแล้วถ้าดูจากตัวเลขว่าปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันของไทยประกอบไปด้วยการเทรดของต่างชาติเป็นหลักในขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามนั้น  เป็นนักลงทุนส่วนบุคคลน่าจะระดับ 80-90% ขึ้นไป

นั่นก็ทำให้ผมคิดว่า  เมื่อถึงวันที่ตลาดหุ้นเวียดนามได้รับการปรับขึ้นเป็น “Emerging Market” เหมือนกับประเทศหลักอื่น ๆ ของอาเซียนซึ่งทำให้นักลงทุนสถาบันใหญ่ ๆ ของโลกสามารถเข้ามาลงทุนได้  ตลาดหุ้นเวียดนามจะคึกคักขึ้นมาอีกแค่ไหน  และนั่นก็อาจจะกำลังเกิดขึ้นในอีกแค่ 2-3 ปี ข้างหน้า

ในฐานะของนักลงทุนแบบ “VI” ผมพยายามถามนักข่าวว่านักลงทุนของเวียดนามนั้นเป็น VI กันบ้างไหม?  คำตอบดูเหมือนว่าคำ ๆ  นี้ยังไม่แพร่หลายนัก  อย่างไรก็ตาม  ดูเหมือนว่าการเล่นหุ้นกันเป็นก๊วน ๆ นั้นน่าจะมีมาก  และแนวทางจะเป็นการเล่น “เก็งกำไร” เป็นหลัก  และจากที่ผมเข้าใจก็คือ  ในตลาดหุ้นเวียดนามนั้น  มีการใช้มาร์จินที่สูงกว่าของไทย เช่นอาจจะได้ถึง 60-70% และในบางช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลง  ก็จะลงแรงมากเนื่องจากการฟอร์สเซล

สรุปก็คือ  ตลาดหุ้นเวียดนามตอนนี้อาจจะคล้าย ๆ  กับช่วงที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่มี “VI” และแนวทาง VI ที่แข็งแกร่งอย่างวันนี้  แต่มี “นักเก็งกำไร” ที่กำลังเข้ามาเล่นหุ้นในตลาดที่กำลังร้อนแรงตามภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตถึงจุดที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากเติบโตและทำกำไรมากขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในบริษัทขนาดกลางและใหญ่  ซึ่งส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นขนาดกลางตั้งแต่ระดับ 30 ถึง 100 ของตลาดหุ้น  ที่ทำผลงานการลงทุนได้โดดเด่นมาก  ผมเองไม่รู้ว่าสุดท้ายตลาดหุ้นเวียดนามจะมี “ขบวนการ VI” แบบตลาดหุ้นไทยหรือไม่  และถ้ามี  หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ก็อาจจะกำเนิดขึ้นได้เร็วกว่าที่คิด

กลับมาที่สภาพของเมืองโฮจิมิน  ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมานั้น  สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยมอเตอร์ไซด์ในระดับน่าจะ 90% ขึ้นไป  ถึงวันนี้ผมประมาณว่ามีรถยนต์น่าจะพอ ๆ  กับมอเตอร์ไซด์ที่ประมาณ 50-50 แล้ว  ในส่วนของบ้านเรือนนั้น  คอนโดมิเนียมและตึกสูงผุดขึ้นมามากมายและราคาบ้านก็แพงขึ้นจนเหลือเชื่อ  “เหมือนเดิม” และคนนอกที่เป็นชาวต่างชาติก็จะไม่มีวันเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนกินเงินเดือนนั้นจะมีเงินซื้อบ้านได้อย่างไร แต่บ้านก็ยังขายได้ในราคาที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ  ว่าที่จริงนี่ก็เหมือนเมืองไทยในช่วงที่ผมทำงานในบริษัทหลักทรัพย์ใหม่ ๆ  และเพื่อนร่วมงานที่เป็นฝรั่งคุยกับผมว่าเขาไม่เข้าใจว่าคนไทยจะซื้อบ้านได้อย่างไรเมื่อคำนึงถึงอัตราเงินเดือนที่น้อยมากเทียบกับราคาบ้านในขณะนั้น

เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว  ผมจำได้ว่าภรรยาผมที่ไปด้วยกันมักชอบไปช็อบปิงซื้อของที่ระลึกที่ “ตลาดเบียนถัน” ซึ่งเป็นตลาดสดขนาดใหญ่กลางเมือง ของที่ซื้อก็เป็นแบบงานฝีมือ  เสื้อผ้าและเครื่องประดับก็เป็นแนวแฟชั่นรุ่นเก่าบ่งบอกถึงวัฒนธรรมเวียดนาม

รอบนี้ผมไม่มีเวลาไปตลาดเบียนถันแต่ไปตลาดคล้าย ๆ  กันใกล้โรงแรมที่พัก  สินค้าที่ผมเห็นและคนไทยต่างก็ไปรุมซื้อกันนั้น  เป็นแนวเสื้อผ้า  รองเท้า  กระเป๋า  และอื่น ๆ  อีกมาก  ที่เป็นของ “ก็อป” ยี่ห้อระดับโลก  ที่มีคุณภาพเหมือนหรือใกล้เคียงมากกับ  “ของจริง” แต่ราคาห่างกัน 10 เท่า  นั่นทำให้ผมนึกถึงช่วงหนึ่งน่าจะ 25-30 ปีก่อน ที่คนไทยไปเมือง “เสิ่นเจิ้น” ของจีนเพื่อซื้อของ “ก็อป” คุณภาพดีราคาถูกมาก  ในช่วงที่จีนกำลังกลายเป็น  “โรงงานผลิตของโลก”  ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ Confirm ว่าเวียดนามกำลังจะกลายเป็น  “โรงงานของโลก” อีกแห่งหนึ่ง

ผมมีโอกาสไปเมืองที่เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้หรือติดกับโฮจิมิน  สิ่งที่เห็นก็คือ  โรงงานที่ทันสมัยจำนวนมากกระจายกันไปเต็มเมือง  และก็พบคอนโดมิเนียมที่อยู่อาศัยที่สร้างขึ้น  พร้อม ๆ  กับช็อบปิ้งมอลใหม่ ๆ ที่ออกแบบอย่างสวยงาม  นี่คือเมืองสมัยใหม่ของเวียดนามที่จะโชว์ความเป็นสังคมที่ก้าวหน้าเทียบทันหรือเหนือกว่าประเทศพัฒนาแล้วที่มีอาคารและ/หรือสาธารณูปโภคที่เริ่ม “เก่าแล้ว” และไม่รู้จะสร้างใหม่เพื่ออะไรในเมื่อคนน้อยลงและเศรษฐกิจเริ่มโตช้าแล้ว  นี่ก็น่าจะคล้าย ๆ  กับจีนกระมังที่คนไปเห็นอาคาร  ถนนหนทาง  การสื่อสารที่ดูเหนือกว่าประเทศพัฒนาแล้วในตะวันตกมาก

ผมได้ไปเยี่ยมบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีของเวียดนามคือ FPT โดยไปเยี่ยมแผนกงานที่ให้บริการทำระบบและเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทชั้นนำระดับโลกโดยเฉพาะทางด้านของรถยนต์และการบินโดยเฉพาะที่ใช้เครื่องบินของบริษัทแอร์บัส  ความรู้สึกก็คือ  งานเหล่านี้มีความสำคัญในระดับโลกที่หาคนแทนได้ยาก  ไม่ใช่เป็นบริษัทที่ทำเทคโนโลยีที่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ชั่วข้ามคืนเมื่อมีของใหม่ออกมาหรือเมื่อความนิยมหายไป  แต่เป็นบริษัทที่เกาะไปกับบริษัทเทคโนโลยีของโลกโดยอาศัยจุดแข็งที่ว่าเวียดนามมีคนเขียนโปรแกรมจำนวนมหาศาลที่ค่าแรงถูกกว่าที่อื่นมากเมื่อเทียบกับศักยภาพของคน  ดังนั้น  บริษัทใหญ่ ๆ ของโลกต่างก็ต้องการใช้บริการ

และคนเวียดนามที่ทำงานกับ FPT เองจำนวนมากก็มาจากมหาวิทยาลัย FPT ที่มีสาขาทั่วประเทศและผลิตนักเขียนโปรแกรมปีละหลายหมื่นคน   ซึ่งผมเองก็มีโอกาสเยี่ยมมหาวิทยาลัย FPT แห่งหนึ่งที่มีนักศึกษาประมาณหมื่นคน  โดยไก้ด์ 2 คนที่มาต้อนรับนำชมเป็นเด็กที่เรียนอยู่ปี 2 และปี 4 ในคณะบริหารการตลาด  ทั้ง 2 คนเป็นอาสาสมัครและถือว่าเป็นการทำกิจกรรมนักศึกษา  VI ไทย 5-6 คนที่ไปเยี่ยมนั้นต่างก็ประทับใจในความสามารถโดยเฉพาะการพูดภาษาอังกฤษมาก  โดยเฉพาะเขาเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองผ่านยูทูบเป็นหลัก

เมื่อเราถามว่าจบการศึกษาแล้วเขาจะทำอะไร  คำตอบก็คือ  เขามี “ความฝัน” และเมื่อเราถามต่อ  คำตอบหนึ่งก็คือการไปเรียนต่อต่างประเทศ  ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนว่าครอบครัวจะไม่รวย  เขาก็คงจะหาทางไป  อาจจะขอทุนอะไรแบบนั้น  แต่นี่ก็คงตรงกับข้อมูลระดับสากลที่บอกว่านักศึกษาเวียดนามไปเรียนต่อต่างประเทศสูงที่สุดในอาเซียนและสูงกว่าอินโดนีเซียทั้ง ๆ ที่คนน้อยกว่ามาก  และรายได้ต่อหัวของเวียดนามก็ยังต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศใหญ่ของอาเซียน

การไปเวียดนามครั้งนี้  ผมพบกับ “คนรุ่นใหม่” ที่อายุยังไม่มาก  ซึ่งรวมถึงพนักงานที่มาต้อนรับและให้บริการหรือมาร่วมงาน  ผมพบว่าพวกเขาต่างก็มี  “ความฝัน” หรือมีความหวัง  และทุ่มเทความพยายามเพื่อบรรลุสู่ความสำเร็จ  อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ประทับใจก็คือการพูดภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยที่ดีมากแม้ว่าแบ็คกราวไม่ได้เรียนมาทางภาษาโดยตรง  พวกเขาอาจจะรู้ว่า  ถ้าจะพัฒนาและก้าวหน้า  เขาจะต้องมีความสามารถในการสื่อสารทางภาษาได้ดี  ดังนั้น  เขาก็ต้องขวนขวายเรียนรู้  โดยเฉพาะผ่านทางยูทูบ

ผมสรุปว่า  คนเวียดนามมีศักยภาพสูงพอที่จะพัฒนาตนเอง  ซึ่งก็เท่ากับพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไปอีกนานเป็นสิบ ๆ ปีขึ้นไปเป็นอย่างน้อย   การเติบโตจะขึ้นไปสูงจนทำให้ประเทศกลายเป็นอย่างน้อยก็ประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง  แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยน่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วขั้นต้นมากกว่า  โดยปัจจัยที่ทำอย่างนั้นได้ก็คือ  คุณภาพของคนที่มีศักยภาพและความสามารถทางวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ  ที่จำเป็นในการแข่งขันระดับโลกในอนาคต

ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อหุ้นโดยเฉพาะเป็นรายตัวรวมถึง FPT หรือแม้แต่กองทุนรวมเวียดนาม  เหตุผลก็เพราะมันอาจจะขึ้นมามากและเร็วเกินไป  การซื้อหุ้นต้องคำนึงถึงราคาด้วยเสมอ  โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ได้ลงทุนระยะยาวจริง ๆ  ที่สามารถทนถือหุ้นได้แม้ว่าระยะสั้นหุ้นอาจจะตกมาแรงได้  และตลาดหุ้นเวียดนามก็เป็นอย่างนั้น  คือขาลงนั้น บางทีก็หนักจนรับไม่ไหว


VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock

👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs