โลกในมุมมองของ Value Investor     24 สิงหาคม 2567

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เมื่อปลายปี 2566 ผมได้จัดตั้งบริษัทเพื่อการลงทุนซื้อ-ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ชื่อ “บริษัทตีแตกจำกัด” เหตุผลก็เพื่อที่จะปรับโครงสร้างการถือหุ้นต่างประเทศจากการถือโดยบุคคลธรรมดามาเป็นการถือโดยนิติบุคคลที่ผมคิดว่าจะมีความเหมาะสมกว่าในกรณีการลงทุนซื้อ-ขายหุ้นในตลาดหุ้นต่างประเทศ  เวลาผ่านมาประมาณ 8 เดือนแล้ว  ผมคิดว่าควรที่จะเล่าเรื่องของบริษัทตีแตกที่จะให้ข้อคิดและแนวทางการลงทุนของผมอีกมุมหนึ่งอย่างที่ผมทำตลอดมา

ตีแตกเป็นบริษัทลงทุนในหุ้นของบริษัทอื่นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเป็นหลัก  จะเรียกว่าเป็นบริษัท “Holding Company” ก็น่าจะได้  เพราะแนวทางการลงทุนของบริษัทนั้นจะเป็นการ  “ถือระยะยาว” และโดยส่วนตัวก็มีความคิดว่าบริษัทเป็น “เจ้าของ” บริษัทที่ถืออยู่   ถ้าจะพูดไป  ก็คล้าย ๆ  กับบริษัทเบิร์กไชร์ของวอเร็น บัฟเฟตต์  ที่ถือหุ้นจำนวนมากในบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ หลายบริษัทจนกลายเป็น  “เจ้าของ” จริง ๆ  แต่ในกรณีของตีแตกนั้น  จะเป็นการถือหุ้นจำนวนน้อยมากที่ไม่มีอิทธิพลอะไรกับบริษัทเลย

การลงทุนของตีแตกจะเป็นการซื้อ-ขายหุ้นและตราสารการเงินที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศทั่วโลก  แต่ในช่วงแรกก็จะเน้นเฉพาะในตลาดหุ้นเวียดนามเป็นหลัก  บริษัทจะไม่ลงทุนในกิจการแบบเวนเจอร์แค็บปิตัลหรือในบริษัทเอกชนนอกตลาดหุ้นที่ยังไม่พร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างแน่นอนในระยะเวลาอันสั้น

พอร์ตการลงทุนของตีแตกจะเป็นการลงทุนแบบ “Focus” คือเน้นการลงทุนหุ้นหรือตราสารการเงินไม่มากตัว  แต่ละตัวจะลงทุนมากอย่างมีนัยสำคัญ  พอร์ตโดยรวมในช่วงแรกจะมีหุ้นหลัก ๆ  ประมาณไม่เกิน 10 ตัว ที่จะมี Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นรวมกันอย่างน้อย 75%  ของมูลค่าพอร์ตทั้งหมด  โดยที่หุ้นตัวใหญ่ที่สุดจะมีมูลค่าไม่เกิน 50% ตลอดเวลาของการลงทุน

หุ้นหลัก ๆ  ของตีแตกจะเป็นหุ้นแนว  “Super Stock” คือเป็นหุ้นของกิจการที่ “ยอดเยี่ยม” และบริษัทมี “ความได้เปรียบที่ยั่งยืน” และอุตสาหกรรมยังไม่อิ่มตัวหรือกำลังจะตกต่ำลง  และหุ้นมีราคาที่เหมาะสมหรือถูก  นอกจากนั้น  ผู้บริหารก็จะต้องมีบรรษัทภิบาลที่ดี  ทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวการเลือกหุ้นลงทุนแบบหนึ่งที่ผมเองก็ใช้มานาน  แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ  ตีแตกอาจจะไม่สนใจหุ้นที่ถูกมากหรือ “Super Cheap” เลย  เพราะตีแตกไม่ต้องการที่จะซื้อ-ขายหุ้นบ่อยที่จะทำให้ต้องเสียภาษีกำไรมาก  แต่ตีแตกต้องการหุ้นที่จะโตไปเรื่อย ๆ  แบบทบต้นโดยไม่ต้องขาย  ซึ่งนั่นก็คือลงทุนในหุ้นที่จะโตไปยาวนานแบบซุปเปอร์สต็อก

ผลตอบแทนที่คาดหวังของตีแตกก็คือประมาณปีละ 10% แบบทบต้นในระยะยาว  และไม่แพ้ผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวของตลาดหุ้นไทยหรือ SET Index  คิดจากค่าเงินที่เป็นบาท  หรือพูดง่าย ๆ  ประเทศไทยเป็นฐานของการเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุน  ฟังดูอาจจะมองว่า  “มักน้อย”  แต่ผมคิดว่าอัตราผลตอบแทนที่ปีละ 10% แบบทบต้นนั้นดีพอแล้วสำหรับการลงทุนที่เราไม่ได้ทุ่มเทความพยายามและเวลามากนัก  กลยุทธ  เทคนิคและการเลือกตัวหุ้นที่ใช้ในการลงทุนก็แทบจะ  “ก็อปปี้”  มาจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

จะไม่มีการถอนทุนออกจากตีแตก  ผลตอบแทนที่ได้รับในแต่ละปีจะถูกทบต้นไปเรื่อย ๆ   อาจจะถึงวันที่ผมตายเป็นอย่างน้อย  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินจากทรัพย์สินส่วนนี้เพื่อการเลี้ยงชีพและเรื่องอื่น ๆ  ก็ไม่มี  เนื่องจากผมมีเงินส่วนตัวที่ลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว  ว่าที่จริง  เงินลงทุนในตีแตกเองนั้นก็ยังเป็นเงินส่วนน้อยของผม  สถานะในตอนนี้ของตีแตกก็คือ  มีไว้เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและความมั่นคงในกรณีที่เกิดเหตุเลวร้ายจริง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในประเทศใดประเทศหนึ่ง

ข้อดีของการจัดตั้งตีแตกขึ้นมาเพื่อการลงทุนเทียบกับการลงทุนด้วยตนเองนั้น  ผมเองก็ยังเห็นได้ไม่ชัด  ส่วนหนึ่งที่ตั้งก็เพราะความจำเป็นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านภาษีของรัฐบาลไทยเมื่อปลายปีที่แล้ว  แต่สิ่งที่อาจจะมีประโยชน์ก็คือ  การเป็นบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้น  มันย่อม “ไม่ตาย” และอยู่ไปเรื่อย ๆ และสามารถหาคนมาบริหารการลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ  แม้ว่าผมจะไม่อยู่แล้ว  นอกจากนั้น  ถ้าทำได้ดีและโชคดี  บริษัทเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ  จนถึงวันหนึ่งมันก็อาจจะกลายเป็นบริษัท  “มหาชน” ที่อาจจะไม่ต้องพึ่งใครหรือขึ้นอยู่กับใครเลยในการดำเนินงานประจำวันของมัน  อย่างไรก็ตาม   นั่นก็ยังเป็นเรื่องของ “ความฝัน”  เพราะทุกวันนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็ยังไม่ยอมรับ  “บริษัทลงทุน” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ข้อเสียของตีแตกนั้นชัดเจนมากนั่นก็คือ  ต้องเสียภาษีนิติบุคคลทุกปีที่มีกำไรในอัตรา 20% ซึ่งก็เป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะทำได้จาก “การลงทุนในบริษัทอื่น”  ซึ่งบริษัทอื่นที่ว่านั้นก็เสียภาษีนิติบุคคลของตนเองมาแล้วเหมือนกัน   อย่างไรก็ตาม  ตีแตกคงไม่ต้องเสียภาษีเต็ม 20% แน่นอน  เนื่องจากหากมีขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นตัวใด  ก็สามารถนำผลขาดทุนมาตัดออกจากกำไรได้  เช่นเดียวกับ  รายได้อื่นเช่นปันผลรับที่จะต้องเสียภาษีก็สามารถนำรายจ่ายอื่น ๆ  มาหักได้  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ภาษีเป็นข้อเสียที่สำคัญที่สุดของการเป็นบริษัทลงทุนโดยเฉพาะตราบใดที่บุคคลธรรมดายังไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการขายหุ้น

ผลงานของตีแตกนับจากต้นปีจนถึงเดือนสิงหาคมนี้ก็คือ  บริษัทได้ “ปรับพอร์ต” ครั้งใหญ่จากพอร์ตที่มีหุ้นตัวเล็กนับร้อยตัวและหุ้นขนาดกลางเป็นสิบตัว  กลายเป็น   “พอร์ตซุปเปอร์สต็อก” ที่มีหุ้นไม่ถึง 20 ตัว  โดยหุ้นหลักมีประมาณ 10 ตัว  และหุ้นที่เป็นหรือมีศักยภาพที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกประมาณ 6-7 ตัวที่มีมูลค่ารวมกันเกินกว่า 75% ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด

ผลตอบแทนการลงทุนในช่วงประมาณ 8 เดือนที่ผ่านมานั้น  น่าประทับใจมาก  และผมคิดว่าเกิดจาก  “โชคดี” ที่ผมบังเอิญเปลี่ยนกลยุทธและการเลือกหุ้นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกในจังหวะที่ตลาดหุ้นเวียดนามอาจจะกำลังปรับตัวขึ้นแรงโดยเฉพาะในส่วนของหุ้นที่มีคุณภาพดีและเติบโตเร็ว  คล้าย ๆ กับช่วงปี 2544 ถึง 2555 ของไทยที่เป็น  “ยุคทองของ  VI”  อย่างไรก็ตาม  อนาคตต่อจากนี้หุ้นจะวิ่งต่อหรือไม่ เวลาเท่านั้นที่จะเป็นตัวบอก

ก่อนจะตั้งบริษัทตีแตกนั้น  ผมเองก็รู้สึกทึ่งกับบริษัทเบิร์กไชร์ของบัฟเฟตต์ที่มีขนาด Market Cap. ติดอันดับ Top Ten ของโลกมาตลอดตั้งแต่หลายสิบปีก่อน  แต่กลับมีสำนักงานที่เล็กมากและมีพนักงานเพียงสิบกว่าคน  แต่เมื่อเริ่มดำเนินงานตีแตกแล้วผมจึงพบว่าการลงทุนซื้อ-ขายหุ้นในแนวทางแบบนี้เราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความคิดและทัศนคติที่ถูกต้องและการมองระยะยาวด้วยจิตใจที่มั่นคงและไม่ลำเอียง

และนั่นก็ทำให้สำนักงานตีแตกมีเพียงห้องเดียวขนาด 3 คูณ  5 เมตร  ที่ประกอบไปด้วยโต๊ะประชุมขนาดเล็ก  ตู้เก็บเอกสาร  ชั้นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนและโต๊ะทำงาน 1 ตัวพร้อมคอมพิวเตอร์

งานทุกอย่างที่จำเป็น  ซึ่งส่วนใหญ่ก็คืองานบัญชีและภาษีถูกทำโดยการเอ้าท์ซอร์ซไปทั้งหมด  หรือพูดอีกอย่างก็คือ  ตีแตกไม่มีพนักงานประจำ  การลงทุนทำโดยผมเองซึ่งก็ทำมาตลอดหลายสิบปีโดยไม่มีทีมงานสนับสนุน

แน่นอนว่าอนาคตสิ่งต่าง ๆ  ก็คงต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ  สิ่งที่ผมคิดว่าไม่ควรเปลี่ยนก็คือหลักปรัชญา  แนวความคิดการลงทุนแบบ VI และ  ความซื่อสัตย์และจรรยาบรรณในวิชาชีพการลงทุน  ที่ตีแตกจะต้องรักษาไว้  ส่วนผลตอบแทนของการลงทุนนั้น  ผมคิดว่าเป็นเรื่องรอง