เส้นทางแห่งความมั่งคั่ง เริ่มจากการกินลูกชิ้นเนื้อวัว

0
1539

โลกในมุมมองของ Value Investor 31 สิงหาคม 2567 

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เริ่มตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1960 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน  ทฤษฎีทางจิตวิทยาเกี่ยวกับเรื่อง “การอดทนต่อสิ่งล่อใจ เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในอนาคต” หรือในภาษาอังกฤษคือ  “Delayed gratification” ซึ่งนำเสนอโดย ศาสตราจารย์ Walter Mischel  และผ่านการทดลองที่มีชื่อเสียงติดอันดับสูงสุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการทดลองทางด้านจิตวิทยาที่เรียกว่า  “The Marshmallow Test” เป็นทฤษฎีที่นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ควรที่จะรู้ไว้  เพราะทฤษฎีนี้  อาจจะมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จและความมั่งคั่งเท่า ๆ  กับทฤษฎีการลงทุนและการเลือกหุ้นโดยตรง

การทดลองทำโดยใช้แมชแมลโลว์มา “ล่อ” เด็กอายุประมาณ 4 ขวบ ซึ่งเรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด  โดยเสนอว่าถ้ากินเลย  จะได้กินเพียง 1 ชิ้น  แต่ถ้ารอ “ซักครู่” เช่นประมาณ 15 นาที  ก็จะได้กิน 2 ชิ้น  นี่เป็นการทดลองเพื่อดู “ความอดทน” ในจิตใจของเด็กซึ่งทุกคนนั้นอยากกินแมชแมลโลว์เป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว

ผลก็คือ  เด็กส่วนใหญ่นั้น  “ทนไม่ไหว” บางคนเพียง 2-3 นาทีก็กินแล้ว  มีบางคนก็รอได้ถึง 5 หรือ 10 นาที  และหลายคนก็รอจนถึงเวลา 15 นาทีที่ผู้ทำการทดลองกำหนดและได้กินขนม 2 ชิ้น  ผลตอบแทนของการรอ  ถ้าคิดว่าเป็น “การลงทุน” ก็คือขนมที่เพิ่มขึ้นอีก 1 ชิ้น  หรือ 100% ในเวลาเพียง 15 นาที

ข้อมูลการทดลองนั้นถูกเก็บไว้เป็นเวลาอาจจะ 10 ปี  20 ปี และต่อไปเรื่อย ๆ  เพื่อที่จะนำมาศึกษาว่า  เด็กที่สามารถ “รอ” สิ่งล่อใจหรือสิ่งเย้ายวนได้นานกับเด็กที่รอไม่ไหวหรือรอได้ไม่นาน  เมื่อโตขึ้นจะมีความแตกต่างของ “ความสำเร็จ” ในชีวิตไหม  และมากน้อยแค่ไหน 

ผลก็คือ  เด็กที่รอได้นานที่สุดและได้กินขนม 2 ชิ้น ประสบความสำเร็จสูงกว่าเด็กที่รอไม่ไหว  ยิ่งรีบกินเร็วก็จะประสบความสำเร็จน้อยกว่าและมีความสุขน้อยกว่า  การวัดความสำเร็จก็เช่น คะแนนสอบ SAT ซึ่งเด็กทุกคนต้องใช้สมัครเรียนต่อในมหาวิทยาลัย  ระดับการเรียนถึงปริญญาตรีหรือไม่  เงินเดือนหรือรายได้เป็นอย่างไร  ส่วนความสุขก็อาจจะเป็นการถามเจ้าตัวหรือพ่อแม่ เป็นต้น  นอกจากนั้นบางการศึกษาก็ดูว่าน้ำหนักตัวคือดัชนีมวลกายเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว  คนที่ได้ “คะแนนการรอ” สูง  มักมีรูปร่างหรือสุขภาพหรือดัชนีมวลกายดีกว่า  คือไม่อ้วนหรืออ้วนน้อยกว่า   เป็นต้น

ข้อสรุปของการศึกษาก็คือ  “ความสามารถในการอดทนต่อสิ่งยั่วเย้าในปัจจุบัน  เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในอนาคตนั้น  เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของความสำเร็จ”  ในชีวิต  ฟังดูแล้วก็เหมือนกับ “การลงทุน”  ที่เราอดทน “เลื่อน” การบริโภค  ซึ่งเป็นสิ่งที่ล่อใจหรือเย้ายวนมนุษย์ทุกคน  เพื่อหวังที่จะได้สิ่งที่ดีกว่าหรือการบริโภคที่มากกว่าในอนาคต  นั่นก็คือ  ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนมีเงินมากขึ้นและสามารถบริโภคได้มากกว่าในอนาคต

และถ้ามองตามนี้  คนที่มีความสามารถในการเลื่อนการใช้จ่ายเงินได้มากกว่า  ก็น่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนมากกว่าคนที่ชอบบริโภคเป็นชีวิตจิตใจ  พูดง่าย ๆ  คนที่เป็น “นักออม” นั้น  มีคุณสมบัติที่จะ “รวย” หรือมีความมั่งคั่งมากกว่าคนที่ไม่ออมและใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

เช่นเดียวกัน  คนที่ลงทุนได้ยาวนานกว่า  และไม่ค่อยยอมขายทำกำไรเพื่อนำมาบริโภคก็ย่อมที่จะมีความมั่งคั่งสูงกว่าคนที่เน้นการลงทุนระยะสั้น  ที่พอเห็นราคาหุ้นขึ้นก็มักจะรีบขายทำกำไรอย่างรวดเร็วและก็พลาดได้ผลตอบแทนที่สูงกว่ามากในอนาคตที่ไกลออกไป

อย่างไรก็ตาม  ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทำการศึกษาแบบ แมชแมลโลว์ที่เน้นมาทางด้านการลงทุนประเภทว่าใครพอร์ตใหญ่กว่ากันระหว่างเด็กที่ทำคะแนนความอดทนต่ำกับคนที่ได้คะแนนสูง  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  พอร์ตใหญ่หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอย่างน้อย 3 เรื่องคือ  เงินต้น  ระยะเวลาที่ลงทุน  และผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้น ซึ่งคงจะยากที่จะหาข้อมูลแบบนั้นได้ในกลุ่มคนที่ทำการทดสอบ

แต่ข้อมูลเชิงคุณภาพจากที่เราก็พอจะทราบก็คือ  เซียนหุ้น “VI พันธุ์แท้” ระดับโลกหลายคน  เช่น วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น  เป็นคนที่ “ใช้เงินน้อยมาก” ประเภท กินแฮมเบอร์เกอร์เกือบทุกวัน  กับโค๊ก  ขับรถเก่าและอยู่บ้านแบบคนชั้นกลาง  ตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยใช้จ่ายอะไรเป็นเรื่องเป็นราว  แต่เน้นหาเงินมาลงทุน  เช่นเดียวกับคนอย่างป้าแอนน์ ไชเบอร์  นักลงทุน VI พันธุ์แท้แบบ  “บ้าน ๆ” ที่ประสบความสำเร็จสูงมาก   มีพอร์ตเป็น “พันล้าน” ก่อนตายทั้ง ๆ ที่มีรายได้จากการทำงานน้อยมาก  แต่เป็นคนประหยัดสุด ๆ  ซึ่งทำให้สามารถออมเงินและนำมาลงทุนจนรวยได้

ทั้งหมดนั้นก็ทำให้ผมระลึกถึงชีวิตตนเองตั้งแต่เด็กที่เริ่มจำความได้  เนื่องจากครอบครัวยากจน  ผมก็แทบจะไม่เคยได้ใช้จ่ายหรือบริโภคอะไรที่ไม่จำเป็นจริง ๆ  เลย  เสื้อผ้าก็น่าจะมีเพียง 2 ชุดและใส่ตลอดทั้งปี  ซึ่งก็จะมีช่วงที่ผ้าขาดและมีการปะชุน  ของเล่นไม่เคยซื้อเลยแต่ก็ไม่ได้ขาดเพราะทำของเล่นเองมาตลอดจากวัสดุธรรมชาติและที่ถูกทิ้งเป็นขยะไปแล้ว  ว่าที่จริงผมน่าจะไม่มีเงินติดกระเป๋าหรือขอเงินพ่อแม่เลยจนถึงวันที่เข้าเรียนในโรงเรียนที่ต้องมีเงินซื้ออาหารกลางวัน  ซึ่งสำหรับผมแล้วก็คือสิ่งที่ “หรูหรา” เพราะมันเลือกได้

อาหารอร่อยมากที่สุดที่ยังจำได้ก็คือ  เส้นหมี่แห้งลูกชิ้นเนื้อวัวที่ต้องเป็นลูกชิ้นเอ็นเหนียวที่เคี้ยวอร่อย  และโดยปกติเด็กก็จะล้อมวงกันกิน  ประเด็นสำคัญก็คือ  เด็กอายุ 7-8 ขวบนั้น  บางครั้งก็ด้วยความคะนอง  ก็จะแย่งลูกชิ้นจากชามเพื่อนที่นั่งกินด้วยกัน  ส่วนตัวผมเองยังจำได้ว่า  เด็กแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน  บางคนพอเริ่มกินก็กินลูกชิ้นที่ “โอชะ” ที่สุดก่อนเลย  บางคนก็กินระหว่างกลาง  หลายคนรวมถึงผมก็มักจะกินทีหลังและตอนสุดท้ายเมื่อเส้นหมดแล้ว

นั่นสำหรับผมก็คือแมชแมลโลว์เทสแบบธรรมชาติ  ผมทำแบบนั้นเพราะผมคิดว่า  ของดีของอร่อย  ต้องเก็บไว้กินทีหลัง  เพราะมันให้อารมณ์สุดยอดกว่า  ผมเลื่อนการกินลูกชิ้นออกไปเพื่อที่ว่าผมจะได้กินของดีที่ “อร่อยกว่า”  แม้ว่ามันจะเป็นลูกเดียวกัน  แต่มันเป็นความรู้สึกที่ผมคิดว่ามันเป็นผลตอบแทน  ทั้ง ๆ  ที่ผมต้อง  “เสี่ยง” ว่าจะถูกเพื่อนแย่งกิน  บางคนถึงขนาดที่ต้องอมลูกชิ้นก่อนเพื่อให้เปื้อนน้ำลายเพื่อที่จะทำให้เพื่อนไม่สนใจที่จะแย่งไปกิน

แน่นอนว่าผมไม่รู้และจำไม่ได้ว่าเพื่อนคนไหนที่ชอบกินลูกชิ้นหลังสุด  และก็ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ชอบกินลูกชิ้นก่อนหรือไม่  แต่ส่วนตัวผมเองนั้น  ตลอดชีวิตที่ผ่านมาส่วนใหญ่แล้วก็ชอบที่จะเลื่อนเวลาที่จะมีความสุขจากการบริโภคออกไปเพื่อหวังที่จะได้บริโภคสิ่งที่ดีกว่าหรือมากกว่าเสมอโดยเฉพาะในช่วงที่ยังมีความมั่งคั่งน้อย

การประหยัดและใช้เฉพาะในสิ่งที่จำเป็นนั้น  ติดอยู่ในใจเสมอ  และมาก่อนที่จะรู้เรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นมาก  พูดง่าย ๆ  เป็นนักอดออมมากว่าครึ่งชีวิตจนถึงอายุ 44 ปี ก่อนที่จะเริ่มลงทุนเป็นเรื่องเป็นราว

เริ่มตั้งแต่หาเงินเลี้ยงตัวเองได้เมื่อจบปริญญาตรี  ผมก็ไปทำงานโรงงานต่างจังหวัดที่เป็นชนบทที่มีที่พักในโรงงานพร้อมอาหาร 3 มื้อ  สิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวันก็คือพวกสบู่  ยาสีฟัน เป็นต้น  ค่าใช้จ่ายหลักก็จะเป็นการเดินทางเข้ากรุงเทพสัปดาห์ละหนด้วยรถประจำทาง  ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากพบปะเพื่อนและอาจจะดูหนังบ้างเป็นบางครั้ง   ผมแทบไม่ได้ซื้อของอะไรรวมถึงเสื้อผ้าที่มักจะใส่ชุดพนักงานของบริษัท

เงินรายได้จากการทำงานในช่วง 6-7 ปีแรกนั้น  รายจ่ายที่สูงที่สุดก็คือการส่งให้พ่อแม่ทางบ้าน  ที่เหลือแทบทั้งหมดเป็นเงินที่ผมเก็บออมไว้  “เพื่ออนาคต” โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร  เหตุผลก็อาจจะเป็นว่า  “ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร” เพราะมันยังไม่มากพอ   สุดท้ายผมก็ใช้มัน  “ลงทุนในการศึกษา” จนจบปริญญาโทและเตรียมไปเรียนต่อปริญญาเอกในต่างประเทศ

และก็อีกเช่นกัน  ชีวิตที่อเมริกาของผมนั้น  ก็เป็นชีวิตที่ “ประหยัดอดออม” ส่วนใหญ่นอกจากค่าเล่าเรียนที่เสียเพียงครึ่งเดียวของอัตราปกติแล้วก็คือเรื่องของที่อยู่และอาหาร  ซึ่งก็ไม่แพงเลยถ้าเราทำกินเอง  เพราะในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา  สิ่งที่แพงจริง ๆ ก็คือค่าแรง  ค่าวัตถุดิบอย่างเนื้อสัตว์นั้นถูกพอ ๆ กับเมืองไทย  ในส่วนของเครื่องใช้เช่นเสื้อผ้านั้นผมแทบจะไม่เคยซื้อ  แม้แต่รถยนต์ที่เป็นสิ่งที่จำเป็น  ผมก็ได้มาฟรีจากเพื่อนคนไทยที่กลับบ้าน  แอร์ที่ใช้ก็ซื้อของเก่าราคาไม่กี่ร้อยบาท  การตัดผมที่ใช้แรงงานซึ่ง “แพง” ผมก็ตัดเองด้วยใบมีด  การกินอาหารภัตตาคารรวมถึงร้านพิสซ่าหรือไอศครีมนั้น  นาน ๆ  ผมถึงจะไปกินซักครั้งหนึ่ง  และนั่นก็คือความสุขที่เพิ่มสูงขึ้นมากหลังจากการ “รอ” หรือ “เลื่อน” ความอยากบริโภคออกไป

กลับสู่ประเทศไทยหลังเรียนจบปริญญาเอก  ผมก็ยังไม่เคยใช้อะไรที่ต้องจ่ายเงินจำนวนมาก  กินข้าวที่บ้านเป็นส่วนใหญ่  ใช้รถเก่ามือสอง  ไม่เคยมีบ้านเป็นของตนเองจนอายุกว่า 50 ปีและมีเงินจำนวนมากแล้วจากการลงทุน  จนถึงอายุ 60 ปี ที่ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่และเริ่มมีครอบครัวของตัวเองรวมถึงมีหลานแล้วที่ผมเพิ่งจะรู้สึกเปลี่ยนไป  ที่เริ่มรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเลื่อนการบริโภคออกไปอีกต่อไปแล้ว  อยากจะทำอะไรก็ทำ  แต่ส่วนมากแล้วก็ทำตามลูก  ตามครอบครัวที่ขยายใหญ่ขึ้น  แทบไม่ได้คิดว่าตนเองอยากทำอะไรหรือบริโภคอะไรเมื่อมีเงินและเลือกได้

และสุดท้ายก็สรุปกับตนเองว่า  ที่อดออมและเลื่อนทุกอย่างที่ทำได้เพื่อที่จะได้สิ่งที่ดีกว่าในวันข้างหน้านั้น  สุดท้ายวันข้างหน้านั้นก็ไม่มีจริง  หรือถึงจะมีจริง  เราก็ไม่ได้อยากใช้มัน  และเมื่อหวนย้อนคิดกลับไปก็ตระหนักว่า  สิ่งที่ทำในตอนนั้น  คือการอดออมและเลื่อนเวลาแห่งความสุขออกไปก็คือความสุขในตัวของมันเอง  และนั่นก็คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม วอเร็น บัฟเฟตต์ เองถึงยังขับรถเก่าไปซื้อแฮมเบอเกอร์เองทุกวันเป็นอาหารเช้าในวัยกว่า 90 ปีแล้ว


VVI Membership แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/

👉 VVI Membership + Class 1-3
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/