ค้นคว้าหาหุ้นโลก

0
1237

โลกในมุมมองของ Value Investor    28 กันยายน 2567

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ผมได้วาง  “Playbook” ของการลงทุนของผมไว้ว่า  ผมจะปรับพอร์ตการลงทุนระยะยาวของผมให้ประกอบไปด้วยหุ้นเวียดนามประมาณ 1 ใน 3  ซึ่งจะเป็น  “กองหน้า” ที่จะใช้ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด  แต่มีความเสี่ยงที่ยอมรับได้  เพราะผมจะเลือกหุ้นเอง  ซึ่งจะเป็นหุ้นแนว  “ซุปเปอร์สต็อก” ซึ่งก็คือหุ้นที่จะเติบโตระยะยาวและมีความสามารถในการแข่งขันสูงและยั่งยืน  และผมก็เริ่มทำตั้งแต่ต้นปี  มีการขายหุ้นตัวเล็ก ๆ  ราคาถูกที่ผมถือมายาวนานไปทั้งหมดนับร้อยตัว  และใช้เงินที่ได้ซื้อหุ้น  “ซุปเปอร์สต็อก” ขนาดใหญ่ไม่เกิน 10 ตัว  ซึ่งประมาณ 5 ตัวใหญ่ที่สุดคิดเป็นกว่า 75% ของพอร์ตไปแล้ว

หุ้นกลุ่มที่สองอีกประมาณ 1 ใน 3 จะเป็นหุ้นกลุ่มใหม่ที่ผมไม่เคยมีเลยและเป็นหุ้นที่ผมเรียกว่า  “หุ้นโลก” เพราะเป็นหุ้นของบริษัทที่มักจะ “ขายสินค้าไปทั่วโลก”  คนทั่วไปมักจะรู้จักและคุ้นเคยกับสินค้า  รวมถึงผมเองที่ต้องใช้  บางทีเกือบทุกวัน  เช่น  ดูหนังของ Netflix  ใช้โปรแกรมสารพัดในคอมพิวเตอร์  หรือเห็นคนใช้เครื่องแต่งกายจากแบรนด์หรูระดับโลก  เป็นต้น

ผมวางแผนว่าภายในปี 2567 ผมน่าจะสามารถลงทุนเม็ดเงินจนครบในหุ้นโลกได้  โดยกลยุทธ์ที่ใช้นั้น  ผมจะซื้อหุ้นหรือกองทุนรวมหรือ  ETF ประมาณไม่เกิน 10 ตัว  ซึ่งตัวใหญ่ที่สุด 5-6 ตัวควรจะมีขนาดรวมกันมากกว่า 75% ของพอร์ตนี้เช่นเดียวกับพอร์ตหุ้นเวียดนามและพอร์ตหุ้นไทย  เพราะผมคิดว่าพอร์ตที่มีการกระจายความเสี่ยงในระดับนี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าปกติได้โดยที่จะมีความเสี่ยงที่พอรับได้

การเลือกหุ้นลงทุนแต่ละตัวหรือกองทุนที่เป็น ETF แต่ละกองนั้น  ผมจะทำผ่านการซื้อ DR หรือ DRx หรือกองทุนที่จดทะเบียนในประเทศไทย  เพราะนั่นจะทำให้ผมไม่ต้องเสียภาษี Capital Gain เมื่อขายหุ้นแล้วได้กำไรได้  แต่นั่นทำให้ผมมีหุ้นหรือหลักทรัพย์ให้เลือกจำกัด  เฉพาะหุ้นตัวใหญ่ ๆ  และมีชื่อเสียงระดับโลกที่บริษัทหลักทรัพย์หรือสถาบันการเงินในตลาดหุ้นไทยนำมาออกเป็น  DR หรือ DRx หรือทำเป็นกองทุนจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

อย่างไรก็ตาม  ผมดูแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร  เพราะจำนวน DR และ DRx  ที่มีอยู่ดูเหมือนจะมีมากพอและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลกำลังจะเก็บภาษีกำไรจากการลงทุนหุ้นต่างประเทศแม้ว่าจะไม่นำกลับมายังประเทศไทยอย่างที่เคยเป็น  ซึ่งน่าจะทำให้คนที่คิดจะไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศทั้งหมดต้องมาลงทุนผ่าน DR ในอนาคต

ตั้งแต่ต้นปี  ผมจึงต้องเริ่มวิเคราะห์ว่าหุ้นหรือ ETF ต่างประเทศตัวไหนน่าสนใจที่จะซื้อลงทุน  และก็พบว่าน่าจะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ  คือ  กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งส่วนใหญ่ก็คือหุ้นในตลาดหุ้นอเมริกาและยุโรปตะวันตก  และกลุ่มหุ้นของจีน  นอกจากนั้นก็อาจจะมีหุ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่โดดเด่น  เช่น  หุ้นอินเดียและหุ้นเวียดนามที่มีการทำ DR ในตลาดหุ้นไทยด้วย

ในความเห็นของผม  หุ้นอเมริกานั้นมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยม  มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน  และก็ยังเติบโตได้แม้ว่าจะไม่สูงมากนักอานิสงค์จากการที่เศรษฐกิจอเมริกาและโลกกำลังชะลอตัวลงจากช่วงที่เติบโตเร็วในหลายปีที่ผ่านมา  อย่างไรก็ตาม  ราคาหุ้นของหุ้นเหล่านั้นก็สูงขึ้นมาก  อยู่ในระดับ “All Time High”  แม้ว่าจะมีการปรับตัวลงมาบ้างในช่วงเร็ว ๆ  นี้  ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกว่าการเข้าไปลงทุนมีความเสี่ยงไม่น้อย  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  สำหรับ  “VI พันธุ์แท้” อย่างผม  ที่ลงทุนระยะยาว  ผมเกลียดที่จะซื้อหุ้นที่ “กำลังร้อนแรง” ใน  “ตลาดกระทิง”  

ผมกลัวว่า  ถ้าซื้อเข้าไปแล้ว  ตลาดปรับตัวลงแรง  ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไร  และหุ้นร้อนแรงตกลงมาหนักมาก  อาจจะ “หลายสิบเปอร์เซ็นต์”  การลงทุนนั้นก็จะ “เจ็บปวดมาก” เพราะเข้าไป “ผิดเวลา”  ต้นทุนของความผิดพลาดก็คือ  อาจจะต้องรอไปหลายปีกว่าหุ้นจะกลับมาที่เดิม

หุ้นจีนนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง   เป็นช่วงเวลาที่หุ้นตกต่ำต่อเนื่องยาวนาน  อานิสงค์จากเศรษฐกิจที่มีปัญหาและตกต่ำมานาน  ประกอบกับการที่รัฐบาลปรับเปลี่ยนนโยบายที่ลดความเป็นทุนนิยมลงและหันกลับไปเป็นสังคมนิยมมากขึ้น  นอกจากนั้น  สงครามการค้ากับอเมริกาและประเทศโลกเสรีที่พัฒนาแล้ว  ได้ทำให้มีการถอนทุนจากประเทศจีนและตลาดหุ้นจีน  ส่งผลให้หุ้นจีนตกลงมาต่อเนื่อง  ราคาหุ้นชั้นดีรวมถึงหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีราคาถูก “เป็นประวัติการณ์”

และนั่นคือสิ่งที่ “VI พันธุ์แท้” อย่างผมสนใจและคิดอยากจะเป็นจุดเริ่มของการลงทุนในกลุ่ม “หุ้นโลก”

ประเด็นต่อมาคือเรื่องของ “Timing” หรือเวลาที่จะเข้าลงทุน  ซึ่งก็มีสองเรื่องที่หน่วงผมไว้ทำให้ไม่ได้เริ่มจนถึงวันนี้ก็คือ  เรื่องแรก  เม็ดเงินที่จะใช้  ยังมีไม่พอเพราะผมขายหุ้นไทยไปน้อยมาก  ผมรอ “ก๊อกสุดท้าย” คือวันที่หุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปสูงพอที่ผมจะขายหุ้นจำนวนมากได้  และถึงแม้ว่าดัชนีและราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาบ้างนับจากต้นปี  ผมก็ยังคิดว่าผมอยากได้ราคามากกว่านั้น  อย่างไรก็ตาม  ผมมีเงินพอที่จะ “เริ่ม” ลงทุนในหุ้นโลกได้ แต่ก็ยังไม่ได้ทำเพราะ

เรื่องที่สองก็คือ  ถึงวันนี้  อีกประมาณ 40 วัน  ก็จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ผมคิดว่าไหน ๆ  ก็รอมาตั้งนานแล้ว  ผมก็อยากจะรอต่อไปอีกซักเล็กน้อยเพื่อที่จะดูว่าความเสี่ยงของตลาดหุ้นหลังจากวันนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป  มีโอกาสเหมือนกันว่าถ้าคนที่เป็นประธานาธิบดีเป็นคนหนึ่ง  โลกอาจจะวุ่นวายมากขึ้นได้จากสงครามการค้าและอื่น ๆ  ซึ่งจะกระทบต่อตลาดหุ้นโลก–  และตลาดหุ้นจีน

ในระหว่างที่รอนั้น  แค่เพียงประมาณ 1 สัปดาห์ก่อน  ทางการจีนก็ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่  รวมถึงการผ่อนคลายทางการเงินหลาย ๆ  มาตรการรวมถึงการลดดอกเบี้ยเพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทั้งในทรัพย์สินที่จับต้องได้และในตลาดหุ้น  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่หงอยเหงามานานก็วิ่งขึ้นแบบ  “ระเบิด”  ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว  ดัชนีหลัก ๆ  ของทุกตลาดในจีนและฮ่องกงปรับตัวขึ้นไปกว่า 10% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมาเป็นเวลากว่า 10 ปี

ความรู้สึกของผมก็คือ  ผมคง “ตกรถ” หรืออาจจะไม่ได้ซื้อหุ้นจีนเพื่อลงทุนรอบนี้ถ้าหุ้นที่ขึ้นไปแล้วไม่ถอยลงมา  แม้ว่าหลายคนรวมถึงตัวผมเองก็มีความคิดว่า  ราคาหุ้นจีนตอนนี้ก็  “ยังไม่แพง”  ถ้ามองจากค่า PE ที่ยังไม่สูงอยู่ดีแม้หุ้นจะขึ้นไปมาก  แต่จะทำใจได้ยังไงที่จะต้องซื้อแพงขึ้นไปอีกประมาณเกือบ 20%  และก็เช่นเดียวกับหุ้นอเมริกาและหุ้นยุโรปที่ก็ดูยังไม่แพงมากแม้ว่าหุ้นจะขึ้นมาเรื่อย ๆ  และราคาอยู่ในช่วง  “All Time High”

ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งก็คือ  เสียดายที่ไม่ได้คิดหรือทำเรื่องการลงทุนในหุ้นโลกเร็วกว่านี้  เงินสดประมาณ 5-6% ที่ถือมานานและควรจะเริ่มเข้าไปลงทุนในหุ้นจีนและหุ้นที่ถูกกระทบจากปัญหาทางเศรษฐกิจของจีนเช่น หุ้นหลุยส์วิตตองที่ราคาตกต่ำมาช่วงหนึ่ง  กลับไม่ได้ทำ  เพราะกลัวว่าหลังจากเลือกตั้งในอเมริกาจะมีปัญหาหนักและหุ้นจะตกลงไปอีก

พอถึงจุดนี้  คืออาจจะเป็นจุดที่ไม่สามารถซื้อหุ้นโลกที่จะปลอดภัยได้เลย  สิ่งที่คิดก็คือ  ผมอาจจะต้อง “รอต่อไป” รอจนกว่ามีหุ้นโลกที่เหมาะสมที่จะซื้อ  และก็รอต่อไป  รอจนกว่าจะสามารถขายหุ้นไทยให้ลดลงจนเหลือประมาณ 1 ใน 3 ของทั้งหมด  และถ้าจะมีเงินสดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ก็ “ช่างมัน”  และก็คิดเสียว่าในช่วงนี้  วอเร็น บัฟเฟตต์ เองก็ถือเงินสด “มหาศาล” มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเบิร์กไชร์  เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก  และก็ไม่เสียดายอะไรเลยที่ไม่ได้ลงทุนในช่วงที่คนอเมริกันบอกว่าควรจะลงทุนมากที่สุด  ตราบที่เขาไม่เห็นว่าหุ้นถูกและคุ้มค่าที่จะลงทุน


สมัคร
VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/

👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/