VI ไม่ถือเงินสด

0
669

โลกในมุมมองของ Value Investor 12 ตุลาคม 2567

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ข่าวเกี่ยวกับการลงทุนของวอเร็น บัฟเฟตต์ในช่วงอย่างน้อย 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น  ดูเหมือนว่าไม่ใช่เป็นการซื้อหุ้นลงทุน   แต่เป็นการขายหุ้นที่ถือมายาวนานหลายตัว  ในจำนวนที่ค่อนข้างมากอย่างมีนัยสำคัญ  ล่าสุดก็คือขายหุ้นแบ้งค์อเมริกาบางส่วน  ได้เงินมาประมาณ 340,000 ล้านบาท  ในส่วนของการซื้อหุ้นลงทุนเองนั้น  ดูเหมือนว่าจะน้อยกว่าและตัวเล็กกว่าและก็เริ่มไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะในตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่หุ้นมีราคาถูกมากมานาน

ผลก็คือ  เงินสดของเบิร์กไชร์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ล่าสุดนั้นสูงถึงประมาณ 280 พันล้านเหรียญหรือ 9.4 ล้านล้านบาทแล้ว  ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ “สูงที่สุดในประวัติศาสตร์” ของบัฟเฟตต์  นั่นก็น่าจะมาจากมุมมองของบัฟเฟตต์ต่อตลาดหุ้นของอเมริกาว่า  ตลาดหุ้นกำลังเติบโตร้อนแรงเกินไปตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมาหลังวิกฤติโควิด-19  ซึ่งทำให้เขาหาหุ้นที่จะลงทุนยาก  เพราะหุ้นเหล่านั้น   “แพงเกินไป”  นอกจากนั้น  หุ้นที่ถืออยู่ก็  “แพงเกินไป” ซึ่งก็ทำให้เขาต้องขายบางตัวออกไป  และเก็บเป็นเงินสดที่เขาต้องเอาไปลงทุนซื้อพันธบัตรหรือเงินลงทุนระยะสั้นที่ให้ดอกเบี้ยหรือกำไรต่ำกว่าผลตอบแทนจากตลาดหุ้นมากเป็นเวลาหลายปี

พูดได้เลยว่าบัฟเฟตต์  “ตกรถ” ครั้งใหญ่ที่ไม่ได้ซื้อหุ้นที่วิ่งแรงต่อเนื่องมาหลายปีในตลาดหุ้นสหรัฐ  ผมเองไม่รู้ว่าบัฟเฟตต์คิดอย่างไร  บางทีเขาอาจจะรู้สึกเฉย ๆ  ก็ได้  เพราะคนอย่างบัฟเฟตต์นั้น  คิดลึกและรอบคอบเสมอ  ไม่ตามใครและแน่นอน  ไม่ตามตลาด  และไม่แคร์ว่าใครจะบอกว่าเขาพลาดไปแล้วและ “ตกรถ” เพราะเขาอาจจะไม่เข้าใจ “หุ้นในโลกยุคใหม่” ที่เป็นหุ้นดิจิทัลและ “AI” ที่กำลังโตขึ้น “คับโลก”

แน่นอนว่าผมไม่คิดอย่างนั้น  วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นมาน่าจะหลายรอบในชีวิตการลงทุนของเขา  ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือในช่วงปลายปี 1969 ที่เขาได้ผลตอบแทนการลงทุนสุดยอดปีหนึ่งเพราะหุ้นขึ้นไปมากนั้น  เขากลับตัดสินใจขายหุ้นทิ้งหมด  ปิดกองทุนที่เป็นห้างหุ้นส่วน และคืนเงินให้ผู้ลงทุนหมดเพราะเขาดูแล้วหุ้นมัน “แพงเกินไปมาก” ไม่รู้ว่าจะซื้อหุ้นอะไรที่จะไม่เสี่ยง  ซึ่งในครั้งนั้น  เขาคาดถูก  เพราะหลังจากปิดกองทุนสักพักหนึ่ง  ตลาดหุ้นที่ร้อนแรงมากก็ถล่มทะลายในปี 1973-74  และเขาก็กลับมาลงทุนอีกครั้งภายใต้บริษัทหนึ่งที่เขาไม่ได้ขายไปที่ชื่อว่า  เบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์ และกลายเป็น “ตำนาน” การลงทุนของบัฟเฟตต์มาจนถึงทุกวันนี้

ในครั้งนี้  ที่พอร์ตของบัฟเฟตต์ใหญ่คับตลาดหุ้นและเบิร์กไชร์เป็นบริษัทมหาชน  สิ่งที่เขาทำได้ก็คงเป็นแค่ว่า  เขาขายหุ้นและถือเงินสดจำนวนมหาศาลเพื่อที่จะรอว่า  “วิกฤติ” อาจจะมาเมื่อไรหลังจากที่ตลาดหุ้นร้อนแรงมานาน  และในวันนั้น  เขาก็คงจะใช้เงินสดที่ “ไม่มีใครจะมีเท่า” เข้าไปกวาดซื้อหุ้นที่ตกลงมามากจนมีราคาถูกที่เขาสบายใจที่จะซื้อ  ที่ผ่านมา 2-3 ปี นั้น  หุ้นไม่ตกเลยและมีแต่จะขึ้น  เขา “ตกรถ” แต่เขาก็ยัง “รอต่อไป”  และก็ยังเพิ่มเติมเงินสดขึ้นไปอีก  ซึ่งก็เป็นสัญญาณว่าเขายังยึดมั่นกับความคิดที่ไม่เคยเปลี่ยนว่า  ถ้าหุ้นแพงต้องไม่ซื้อ  และถ้าแพงเกินพื้นฐานไปมากในระยะยาว  ก็ต้องขาย  เราคงต้องจับตาดูว่าบัฟเฟตต์จะคิดถูกอีกไหม

ประวัติศาสตร์บอกเราว่า  บัฟเฟตต์ค่อนข้างจะถูกต้องในการคาดการณ์  หลายครั้งเมื่อเกิดวิกฤติ  เบิร์กไชร์มีเงินสดเหลือล้นที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่มีปัญหาและราคาหุ้นตกลงมาแรงมากและทำให้เขาสามารถเข้าไปลงทุนและสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงาม  คุ้มค่ากับการถือเงินสดที่ได้ผลตอบแทนต่ำเป็นเวลาอาจจะหลายปี

กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย  ผมพบว่าแนวความคิดเรื่องของการลงทุนในสไตล์ของบัฟเฟตต์ดังกล่าวนั้น  แทบจะไม่มีเลยอย่างน้อยก็ในช่วงตั้งแต่กำเนิดขบวนการ “VI” ในปี 2542-43 จนถึงช่วงเร็ว ๆ นี้

จากการคลุกคลีอยู่ในแวดวงของนักลงทุนที่เรียกตัวว่าเป็น “VI” ในตลาดหุ้นไทยเป็นเวลากว่า 25 ปี  ผมพบว่าเหล่า VI ซึ่งรวมถึงผมในช่วงเวลาหนึ่งนั้น  มักจะไม่ถือเงินสดจำนวนมากและ/หรือเป็นเวลานาน  เหตุผลนั้นผมคิดว่ามีหลายประการ  ทั้งหมดมาจากการที่ VI ประสบความสำเร็จสูงมาก  ผลตอบแทนจากการลงทุนดีแบบแทบจะเรียกว่ามหัศจรรย์  อานิสงค์จากการที่ตลาดหุ้นและหุ้นที่เรียกว่าเป็น  “หุ้น VI” ให้ผลตอบแทนที่ดี “เหนือจริง” ทำให้คนที่เป็น  VI มักจะไม่ต้องการถือเงินสดเลย  จำนวนมากกู้เงินเพิ่มขึ้นอีกมาก  เพราะคิดว่าการถือหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินสดเสมอและไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์อะไรเลย

ประเด็นแรกก็คือ  VI สามารถหาหุ้นลงทุนในตลาดได้ตลอดเวลา   โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดบูม  ผมเองจำได้ว่าในช่วงแรก ๆ  ของการเป็น  VI  ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยหุ้นที่โตเร็วตัวเล็ก ๆ  และก็มี VI จำนวนมากเข้าไปรุมซื้อ  ทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปแรง  VI บางคนก็อาจจะขายหุ้นออกไปทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว  และแทบจะทันทีเมื่อได้รับเงินสดมาก็จะรีบเข้าไปซื้อหุ้นตัวใหม่  ที่ซักพักก็จะมีการเชียร์ให้ VI และนักลงทุนรายย่อยอื่นเข้าไปซื้อ  ทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปและก็จะถูกขายทำกำไรได้อีก  ซึ่งการ “หมุนหุ้น” แบบนี้  มักจะทำกำไรได้สูงกว่าการซื้อหุ้นแล้วเก็บยาวไม่ขายแบบบัฟเฟตต์

ประการที่สอง VI มักมองว่าเงินสดก็เป็นการลงทุนในตราสารอีกอย่างหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนอาจจะแค่ปีละ 1-2% ซึ่งนั่นเท่ากับการลงทุนในทรัพย์สินที่มีค่า PE 50-100 เท่า โดยที่เป็นหลักทรัพย์ที่ “ไม่โต” ดังนั้น  เงินสดถือว่าเป็นการลงทุนที่แย่มากในแนวของ VI ที่ชอบหุ้นที่โตเร็วและค่า PE ต่ำหรือเป็นหุ้นถูก

ประการที่สาม แม้แต่ช่วงที่ตลาดหุ้นอาจจะไม่ดีนักและมองไปข้างหน้าก็อาจจะไม่สดใส  แต่ VI มักจะไม่ค่อยสนใจ  พวกเขาคิดว่าหุ้นที่ตนเองวิเคราะห์และเลือกแล้วนั้น  ดีกว่าตลาดมาก  ยังไงก็ทำได้เหนือกว่าตลาด  หลายคนตั้งเป้าหมายว่าจะ Outperform หรือทำผลงานได้ดีกว่าตลาดปีละประมาณ 10% อย่างต่อเนื่อง  ดังนั้น  ถึงตลาดจะตกลงมา 7-8%  เขาก็คิดว่าเขาอาจจะทำได้ 2-3% ต่อปี  ซึ่งก็ยังดีกว่าถือเงินสดที่ให้ผลตอบแทนไม่เกิน 1% อยู่ดี  ดังนั้น  จะถือเงินสดทำไม?

ประการสุดท้าย  VI โดยเฉพาะรุ่นใหม่ ๆ  นั้น  มักจะมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก  และพวกเขาต่างก็ตั้งเป้าที่จะมีอิสระภาพทางการเงินภายในเวลาไปกี่ปี  หลายคนหวังที่จะรวยเป็นเศรษฐีจากการลงทุน    แต่ด้วยการที่ยังมีอายุน้อยและไม่ได้มี “เงินต้น” ในการลงทุนมากนัก  พวกเขาจึงต้อง “เร่ง” โดยการถือหุ้นให้มากที่สุด  บ่อยครั้งมากก็ใช้การกู้หรือมาร์จินหรือเครื่องมือเพื่อเพิ่มจำนวนหุ้นให้มากขึ้น  ความคิดที่จะถือเงินสดนั้นจึงไม่มี

และไม่ต้องไปคิดว่าถ้าถือเงินสดแล้วเวลาเกิดวิกฤติหรือเจอหุ้นดีจะได้มีเงินซื้อนั้น  มันไม่มีความหมายเลย  เพราะพวกเขามักจะไม่ค่อยคิดถึง “วันที่เลวร้าย” แบบนั้น  เวลาลงทุนพวกเขามักจะมี  “Conviction” หรือความเชื่อที่เต็มเปี่ยมว่า  ดีแน่  “All In” หรือซื้อเต็มที่ไปเลย  เงินทุกบาทใส่ลงไปในหุ้น

โดยส่วนตัวผมเองนั้น  ช่วงแรก ๆ  ในชีวิตการเป็น VI ผมก็ลงทุน 100% ในหุ้นหลาย ๆ  ตัว  มีเงินสดบ่อยครั้งไม่ถึง 1% ของความมั่งคั่งเอาไว้ใช้จ่ายประจำวัน  ทุกครั้งที่ขายหุ้นหรือได้ปันผล  ภายในเวลาไม่กี่วันก็จะต้องไปซื้อหุ้นตัวใหม่ได้เสมอ  เพราะมีหุ้นถูกคุณภาพดีอยู่เต็มตลาด  อย่างไรก็ตาม  สภาวะทางเศรษฐกิจของไทยเปลี่ยนแปลงไป  จากที่เคยเจริญเติบโตสูงมาก  กลายเป็นเติบโตต่ำและต่อเนื่องอานิสงค์สำคัญจากประชากรที่แก่ตัวลง  และระบบการปกครองที่ถดถอยลงในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา  ซึ่งทำให้ไม่สามารถฟื้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้นมาได้

ผลก็คือ  ตลาดหุ้นและบริษัทจดทะเบียนโดยรวมแน่นิ่งมา 10 ปี  เป็น  “Loss Decade”  การลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนลดลงมาก  ความสามารถที่จะเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดเองก็ลดลง  เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งก็เพราะหุ้นดีแบบ VI ก็มักมีราคาแพงหรือเต็มมูลค่า  ดังนั้น  ผมก็เริ่มมีเงินสดพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ  และก็ต้อง “ย้ายตลาด” เอาเงินสดไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามบางส่วน  แต่ก็ยังเหลือเงินสดอยู่ดีในอัตราประมาณ 5-6% และก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ  

และก็คงต้องทำคล้าย ๆ  บัฟเฟตต์ที่อาจจะต้อง  “นอนรอบนกองเงินสด” จนกว่าโอกาสในการลงทุนจะเปิด  คือมีหุ้นดีราคาถูกทั้งตลาดหุ้นในและต่างประเทศ  


สัมมนาเจาะลึกหุ้นเวียดนาม – จีน (15 ธ.ค.นี้) ดูรายละเอียดได้ที่: https://www.vietnamvi.com/2024/10/06/vvi-2024/

VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/

👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/