ขยันถูกที่ 30 ปีจะรวย

0
926

โลกในมุมมองของ Value Investor       2 พฤศจิกายน 67

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

กรณีของดิไอคอนกรุ๊ปที่ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนจำนวนมากโดยการหลอกลวงให้คนเข้ามา “ลงทุน” ทำธุรกิจขายสินค้าแบบเครือข่ายที่จะสามารถทำเงินได้อย่างรวดเร็วจนร่ำรวยโดยมีคติพจน์ว่า  “ขยันผิดที่  10 ปี ก็ไม่รวย” นั้น  ผมคิดว่าเป็นคำพูดมาตรฐานที่ถูกใช้ตลอดมาที่จะชักชวนให้คนเข้ามาร่วมทำงานหรือธุรกิจหรือลงทุนในสิ่งที่มักจะทำให้คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจหรือคนคุมกิจกรรมรวยมาก  คนที่ตามมาก็อาจจะรวยบ้าง  แต่คนส่วนใหญ่ที่มาทีหลังสุดจะจน  และบางครั้งก็หมดตัว  เพราะสิ่งที่ทำนั้นจะมีลักษณะคล้าย “แชร์ลูกโซ่” ที่เอาเงินคนที่มาทีหลังมาจ่ายให้กับคนที่มาก่อน

ในฐานะของคนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความร่ำรวยระดับหนึ่งจากการที่เคยเป็นคนจนในวัยเด็กและคนชั้นกลางในช่วงวัยกลางคน  ผมคิดว่าวิธีสร้างความร่ำรวยได้จริง ๆ นั้นมีอยู่  แต่คน ๆ  นั้นจะต้องขยัน “ถูกที่” และก็ต้องใช้เวลาซัก 30 ปี ก่อนที่จะรวย  

คำว่าขยันถูกที่นั้น  ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย  อาจจะเป็นงานประจำที่เราทำอยู่ แต่ต้องเป็นงานที่ให้รายได้ค่อนข้างแน่นอนและดีพอสมควร  งานนั้น  ซึ่งอาจจะมีหลายอย่างรวมถึงงานพิเศษด้วย  สามารถทำรายได้ให้เราเพียงพอในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและมีเงินเหลือเก็บเฉลี่ยเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งเราจะนำมาลงทุนอย่างสม่ำเสมอในตลาดหุ้นที่จะกล่าวต่อไป

ในแต่ละปี  เราจะต้องขยันหาเงินเพิ่มขึ้น  อาจจะมาจากการทำงานหนักถ้าเราเป็นลูกจ้างบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ  ซึ่งจะทำให้เราได้เงินเดือนหรือรายได้เพิ่มขึ้นและทำให้เรามีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้นปีละ 10% ต่อเนื่องไปทุกปี  นั่นคือ  ปีที่ 2 เราต้องมีเงินเหลือเก็บและนำไปลงทุนในตลาดหุ้น 11,000 บาท ต่อเดือนโดยเฉลี่ย และปีที่ 3 ต้องเก็บเดือนละ12,100 บาท

ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  เป็นเวลา 30 ปี ที่เราทำงานอยู่  เช่นสมมุติว่าปีนี้เราอายุ 30 ปี  เราก็จะเก็บเงินและนำมาลงทุนจนอายุ 60 ปีที่อาจจะเป็นเวลาที่เกษียณ  ซึ่งคิดแล้วก็จะเท่ากับว่าเราเก็บเงินและนำไปลงทุนรวมกันประมาณเท่ากับ 20.7 ล้านบาท  โดยที่ปีสุดท้ายเราเก็บเงินได้ถึง 1.9 ล้านบาท  จากปีแรกที่เราเก็บได้เพียงปีละ 120,000 บาท

นั่นอาจจะฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ที่เราจะทำงานแล้วมีรายได้มากพอที่จะเก็บเงินได้ปีละถึงเกือบ 2 ล้านบาท  แต่ถ้าลองมาประเมินหรือคำนวณดูก็รู้ว่ามันเป็นไปได้โดยเฉพาะถ้าเรา  ขยันและตั้งใจทำงานพอต่อเนื่องไปอีก 30 ปี ซึ่งเวลานั้น  เงินเกือบ 2 ล้านบาทที่จะต้องเก็บอาจจะไม่มากอย่างที่คิด  ดังที่จะกล่าวต่อไป

สมมุติว่าวันนี้เรามีรายได้เดือนละ 30,000 บาท  และเราเก็บเดือนละ 10,000 บาท  ตามโมเดลที่เรากำหนด ซึ่งจะทำให้เรามีเงินเก็บเพื่อลงทุนปีละ 120,000 บาท

เนื่องจากเราขยันถูกที่  เราสามารถสร้างรายได้หรือเงินเดือนเพิ่มปีละ 10%  ไปเรื่อย ๆ  เป็นเวลา 30 ปี  เงินเดือนเดือนสุดท้ายหรือปีสุดท้าย  เราก็จะมีเงินเดือนเดือนละ 523,482 บาท หรือปีละ 6.3 ล้านบาท ซึ่งการเก็บออมเพียง 1.9 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง

หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าจะทำได้ที่เงินเดือนหรือรายได้จะเพิ่มขึ้นมาได้ขนาดนั้น  แต่ถ้าดูตัวเลขก็จะพบว่าเงินเดือนหรือรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 17.4 เท่าในเวลา 30 ปี  แต่ผมลองนึกถึงตัวเองที่เริ่มทำงานเมื่ออายุ 22 ปี  ด้วยเงินเดือน 3,000 บาท  แต่ในวันที่ผมเกษียณจากการทำงานเมื่อายุ 52 ปีในปี 2548 เป็นเวลาประมาณ 30 ปี  เงินเดือนเดือนสุดท้ายของผมนั้นมากกว่า 100,000 บาทต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 33 เท่า  ดังนั้น  ตัวเลขที่เห็นรายได้เดือนละกว่า 5 แสนบาทในอีก 30 ปีข้างหน้านั้น   จึงเป็นไปได้ไม่ยากโดยเฉพาะถ้าเราขยันทำงานถูกที่

ว่าที่จริงเรื่องรายได้นั้นผมเองคิดว่าโอกาสที่เราจะทำเงินได้แบบนั้นจริง ๆ  กลับไม่ยากเท่ากับการออมเงินให้ได้ตามที่กำหนด  คือเริ่มจากเดือนละ 10,000 บาท หรือปีละ 120,000 บาท และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นปีละ 10% แบบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ  เป็นเวลา 30 ปี   ดังนั้น  ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ  ต้องขยันและ “อดออม” ถ้าอยากจะรวย  แต่แค่นั้นก็ยังไม่พอ  เราต้องรู้จักการลงทุนให้ “ถูกที่” ด้วย

การลงทุนที่ถูกที่ก็คือการลงทุนในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แบบพื้นฐานที่สุด  ไม่ลงทุนในทรัพย์สินอื่นที่ไม่มีพื้นฐานทางธุรกิจรองรับเช่น  พวกเหรียญดิจิทัลต่าง ๆ  นาฬิกา  งานศิลปะหรือพระเครื่อง  นอกจากนั้น  ก็ควรจะหลีกเลี่ยงหลักทรัพย์อนุพันธ์ที่ซับซ้อนต่าง ๆ  เช่น วอแรนต์และเครื่องมือทางการเงินที่เพิ่มความเสี่ยงโดยการกู้เงินมาลงทุนเพิ่ม เช่นการใช้มาร์จินซื้อขายหุ้น  การทำบล็อกเทรด  และการเทรดตราสารการเงินอย่างฟิวเจอร์และอ็อปชั่นต่าง ๆ  เป็นต้น

ในกรณีที่เราไม่ได้มีความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นเพียงพอ  การลงทุนในกองทุนรวมที่มีการกระจายความเสี่ยงเพียงพอ  เช่นกองทุนตลาดโดยรวม  คือทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ  ลงทุนให้  “ถูกตลาด”  นั่นก็คือ  ต้องลงทุนในตลาดหุ้นที่ยังเติบโต  เช่นในตลาดหุ้นของประเทศที่เศรษฐกิจยังเติบโตไปอีกอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป  อย่างเช่นประเทศในอาเซียนเช่น  เวียตนาม  อินโดนีเซีย  หรือประเทศอย่างอินเดีย เป็นต้น

หรือไม่ก็ลงทุนในตลาดหุ้นที่มีบริษัทระดับโลกจำนวนมากอย่างในตลาดหุ้นอเมริกา  ซึ่งก็มักจะโตต่อไปได้อีกนานเพราะโลกก็น่าจะยังเติบโตต่อไปได้อีกนาน

ผลตอบแทนการลงทุนที่เราพอจะคาดหวังได้จากการลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นที่ยังเติบโตตามเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วระดับ 6-7% ต่อปีก็คือประมาณ 10% ต่อปีแบบทบต้น

แต่ถ้าเรามีความสามารถในการวิเคราะห์และเลือกหุ้นลงทุนเอง  กลยุทธแบบหนึ่งที่อาจจะทำให้เราสร้างผลตอบแทนได้เกินปีละ 10% แบบทบต้นต่อเนื่องยาวนานก็คือการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีลักษณะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่เป็นบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการที่ดีเยี่ยมเป็นที่ต้องการและมีคู่แข่งน้อยมาก  และความต้องการสินค้านั้นยังเติบโตไปอีกนาน  โดยที่เราจะถือหุ้นของบริษัทเหล่านั้นประมาณ 6 ตัวตลอดเวลา

กล่าวโดยสรุปก็คือ  เราต้องลงทุนให้ถูกที่  พยายามสร้างผลตอบแทนแบบทบต้นโดยเฉลี่ยปีละ 10% เป็นเวลา 30 ปีจากเม็ดเงินที่เราออมและนำมาลงทุนต่อเนื่องทุกปี  และไม่มีการถอนเงินมาใช้  เงินปันผลที่ได้รับและเงินที่ได้จากการขายหุ้นจะต้องนำกลับไปลงทุนในหุ้นเสมอ

ถ้าเราปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าวทั้งหมดได้  พอถึงสิ้นปีที่ 30 และอาจจะเป็นวันที่เราเกษียณ  เราจะมีเงินประมาณ 62.7 ล้านบาท  จากเงินที่เราเก็บมาตลอดจำนวนประมาณ  20.7 ล้านบาท  หรือมีเงินเพิ่มขึ้น 42 ล้านบาทจากการลงทุน  และนั่นก็คือความร่ำรวยที่โอกาสเป็นไปได้สูงเกิน 50%  และถ้าพลาดก็ไม่เสียหายรุนแรง  ความร่ำรวยอาจจะเหลือแค่ 40-50 ล้านบาท  ซึ่งก็ยังเพียงพอที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีความสุขตลอดไป  เพราะเงิน 62.7 ล้านบาทในวันนั้น  จะมีค่าประมาณ 34.6 ล้านบาทในวันนี้ถ้าคิดว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยจะเพิ่มปีละ 2% ในอีก 30 ปีข้างหน้า 

แน่นอนว่าหลายคนอาจจะทำไม่ได้ที่จะเก็บเงินได้ถึงเดือนละ 10,000 บาท  ในขณะเดียวกันก็มีคนอีกไม่น้อยที่สามารถเก็บได้มากกว่านั้น  เช่นเดียวกัน  การเพิ่มการออมปีละ 10% ไปทุกปีก็เป็นเรื่องที่อาจจะยากสำหรับหลายคน  แต่สำหรับบางคนก็อาจจะง่าย  เหตุผลคงเป็นเรื่องของความสามารถส่วนตัว  แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันอาจจะอยู่ที่ความขยันและวินัยในการใช้จ่ายเงินด้วย

เช่นเดียวกับเรื่องของเงินเก็บที่อาจไม่เป็นไปตามแผน  ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้  อาจจะเพราะตลาดหุ้นที่เราเลือกเปลี่ยนแปลงไปในทางลบอย่างถาวร  หรือหุ้นที่เราเลือกมีความผิดพลาดหรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง  สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ  ประเมินสถานะและความเป็นไปของตลาดและหุ้นที่ลงทุนเสมอ  แต่อย่าตื่นเต้นตกใจกับความผันผวนที่เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลา  เกมการลงทุนระยะยาวนั้น  เราต้องเน้น “ภาพใหญ่” ซึ่งมักจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ   สิ่งสำคัญที่เราจะต้องทุ่มเทมากกว่าก็คือ การทำงานและเก็บออมที่จะเป็นจุดตั้งต้นที่จะทำให้เรารวย