โกงกันมาก-แก้ยังไง

0
482

โลกในมุมมองของ Value Investor  30 พฤศจิกายน 67

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ช่วงเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนว่าจะมีกรณีการ “โกง” ครั้งใหญ่ ๆ  ระดับ “พันหรือหมื่นล้านบาท”เกิดขึ้นมากในสังคม  และคนที่โกงก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงและมีเงินมาก  บางคนในระดับ “ซุปตาร์” หรือ “มหาเศรษฐี” นอกจากนั้น  ก็เป็นทั้งคน “รุ่นใหม่” และ “รุ่นเก่า”   เกิดอะไรขึ้น?  และจะแก้ไขกันอย่างไร?

ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น  มาทบทวนกันว่าทำไมคนจึงโกงเสียก่อน  คำตอบของผมก็คือ  คนนั้นมี “ยีนโกง” กันทุกคน  เพราะคนที่ไม่โกงเลยตั้งแต่สมัยหมื่นปีแสนปีนั้น  ตายหรือสูญพันธุ์กันไปหมดแล้ว  มนุษย์ที่เหลือรอดอยู่นั้นจะต้องมี “ยีนโกง” กันทุกคนถึงจะเอาตัวรอดได้   และนี่ก็เหมือนกับยีนอื่น ๆ  ที่ติดอยู่กับตัวมนุษย์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เช่น  “ยีนโลภ” “ยีนโกรธ” “ยีนหลง” และที่สำคัญที่สุดก็คือ  “ยีนเห็นแก่ตัว” ที่เป็น “ยีนแม่ของทุกยีน”  ที่กล่าวถึง

แน่นอนว่าคนก็ยังมียีนที่  “ไม่เห็นแก่ตัว” อยู่ด้วย  แม้ว่ามันจะน้อยกว่า  เช่นเดียวกับยีนที่ “ไม่โกง” และอื่น ๆ  ที่จะกระตุ้นให้คนเราทำและแสดงออกให้เพื่อนมนุษย์เห็น  เพราะว่าเราเป็น “สัตว์สังคม” ที่ต้องอยู่กับคนอื่น ๆ  ถึงจะเอาตัวรอดได้   เราจะต้องแสดงตนว่าเป็น  “คนดี” ซึ่งต้อง “ไม่โกง” หรือถ้าโกงก็ต้องพยายามไม่ให้ถูกจับได้

ในเมื่อคนมียีนโกงอยู่ในตัวทุกคน  คนจะโกงเมื่อไร?  และโกงแค่ไหน?  หรือคนที่จะโกงนั้นจะต้องเป็นคนที่มี “สันดานโกง” หรือมี “ยีนโกง” มากกว่าหรือแรงกว่าคนอื่นหรือเปล่า?   มีไหมประเภทว่าเป็น “คนดี” จริง ๆ ที่ไม่โกงเลย  หรือคนที่เก่งหรือรวยมากอยู่แล้วที่จะไม่โกงเลย  คำตอบของผมจะเป็นเรื่องของ “หลักการ” ที่สามารถอธิบายหรือตอบคำถามเหล่านั้นได้

ข้อแรกก็คือ  คนจะโกงก็ต่อเมื่อเขาประเมินแล้วว่า “ผลตอบแทน” ที่จะได้รับหากโกงสำเร็จจะสูงมากพอเมื่อเปรียบเทียบกับความมั่งคั่งของตนเอง  ในขณะที่  “ความเสี่ยง” จากการ “ถูกจับได้” และ “โทษทัณฑ์” ที่จะได้รับมากน้อยแค่ไหน  นี่ก็คือ  “Risk- Reward Ratio”  หรือ “สัดส่วนผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง” ที่นักการเงินใช้ในการประเมินว่าจะลงทุนกับตราสารการเงินต่าง ๆ  เช่นหุ้นและพันธบัตรหรือไม่  พูดง่าย ๆ  เงินที่จะได้รับนั้นคุ้มค่าที่จะโกงหรือไม่   ถ้าเขาวิเคราะห์แล้วว่าโกงแล้วจะได้เงินน้อยเช่น  ได้แค่ 1-2 ล้านบาท  แต่ความเสี่ยงจะต้องติดคุกสูงและหนัก  เขาก็จะไม่โกง

ตรงกันข้าม  ถ้าโกงแล้วได้เงินมาก  เช่นในกรณีของการปั่นหุ้นหรือ ซื้อ-ขายหุ้น   หรือหลอกลวงคนเข้ามาเล่น “แชร์ลูกโซ่”  ที่อาจจะทำให้ได้กำไรเป็นร้อยหรือพันล้านบาท  แต่โอกาสถูกจับน้อย  หรือถึงจะถูกจับได้ก็อาจจะถูกลงโทษไม่แรง  แบบนี้คนก็จะทำ  อย่างไรก็ตาม  นี่ก็นำมาสู่เงื่อนไขข้อที่สองนั่นก็คือ

คนจะโกงจะต้องมีความสามารถหรือมีกำลังหรือพลังที่จะทำได้  และต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวย  ซึ่งในปัจจุบันผมคิดว่ามีอยู่  2 ประเด็นก็คือ  1) เทคโนโลยีดิจิทัลที่เกี่ยวกับการโอนเงินและสื่อสังคมที่ก้าวหน้ามาก  ที่สามารถโกงเงินจากคนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว  และ 2) คือเรื่องของกฎหมายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ  รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ  และตามไม่ทันความก้าวหน้าของการโกง

ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นทำให้ผลตอบแทนของการโกงสูงขึ้นมากในขณะที่ความเสี่ยงของการถูกจับและโทษที่ได้รับอยู่ในระดับเท่าเดิมหรือลดลง  ผลก็คือ  ธุรกิจของการโกง “โตระเบิด” อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน

ลองมาดูตัวอย่างของการโกงซัก 2-3 เรื่องที่เป็นการโกง “ยอดฮิต” ที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ  นี้  เรื่องแรกก็คือ  การปั่นหุ้นด้วยการ  “Corner หุ้น”  ที่คนทำ “กวาด” ซื้อหุ้นที่มี “Free Float” หรือมี  “หุ้นหมุนเวียน” ในตลาดน้อย  เช่น  มีแค่ 25-30% ของหุ้นทั้งบริษัท  จนเกือบหมดตลาด  ส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปแรงมากขนาดหลายเท่าตัวในเวลาแค่ไม่กี่เดือนหรือแค่ปีหรือสองปีและเป็นราคาที่แพงผิดปกติมาก

ผลตอบแทนที่ได้รับจากการคอร์เนอร์หุ้นมักจะสูงมาก  การทำกำไรระดับพันล้านบาทในระยะหลัง ๆ  เป็นไปได้มากขึ้นเรื่อย ๆ  เพราะระดับมูลค่าหุ้นทั้งบริษัทเพิ่มขึ้นมาก  บางตัวที่ใหญ่จริง ๆ  อาจจะขึ้นไปถึง  “ล้านล้านบาท”  ตัวที่รอง  ๆ  ลงมาบางทีก็มี Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นสูงขึ้นไประดับหมื่นหรือแสนล้านบาท

แต่ความเสี่ยงที่จะถูกจับได้และถูกลงโทษตามกฎหมายกลับไม่มีเพราะไม่มีกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่บอกว่าการ Corner เป็นสิ่งที่ผิดหรือห้ามทำ  ความเสี่ยงเดียวที่มีดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องของการที่  “Corner แตก” คือราคาหุ้นถล่มทลายก่อนที่คนทำจะขายหุ้นหมด  อย่างไรก็ตาม  โอกาสที่เขาจะขาดทุนก็มักจะน้อยมาก  เพราะเขามักจะขายทำกำไรได้ก่อนที่จะเกิด “หายนะ” ของหุ้น

ดังนั้น  การโกงด้วยการปั่นหุ้นด้วยการทำคอร์เนอร์จึงเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ  เมื่อมีโอกาสหรือมีตัวหุ้นที่เข้าข่ายสามารถทำได้  อย่างไรก็ตาม  ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้  คนที่จะทำได้ต้องเป็นคนที่มีพอร์ตขนาดใหญ่  และบางทีก็ต้องมีฝีมือและบารมีพอที่จะทำ  ต้องมีคนที่เกี่ยวข้องเช่นนักวิเคราะห์และสื่อช่วยสนับสนุน  เป็นต้น

ตัวอย่างการโกงเรื่องที่สองก็คือการหลอกลวงให้ลงทุนซื้อ-ขาย หุ้น  เหรียญดิจิทัล  และตราสารการลงทุนต่าง ๆ  ผ่านการโฆษณาทางสื่อสังคมเช่น ไลน์หรือเฟซบุคสำหรับคนที่ต้องการลงทุนแต่ยังไม่มีความรู้เพียงพอ  วิธีการก็คือการชักชวนโดยการแอบอ้างบุคคลหรือนักลงทุนที่มีชื่อเสียงหรือแม้แต่หน่วยงานเช่นตลาดหลักทรัพย์ว่าเป็นคนที่จะให้ความรู้และแนะนำการลงทุนที่สามารถทำกำไรได้อย่างสูงและแน่นอน  พอ “เหยื่อ” หลงกลเข้าไปติดต่อก็จะถูกหลอกให้โอนเงินเพื่อเข้าไปลงทุนในแพลทฟอร์มของคนโกงซึ่งจะถูกโกงเงินไปจนหมด

ความเสี่ยงของคนโกงด้วยวิธีนี้ค่อนข้างจะต่ำ  เพราะส่วนใหญ่แล้วจะมี “ฐาน” ที่เป็นเว็บไซ้ต์อยู่ในต่างประเทศ  เจ้าของบัญชีที่ใช้รับเงินจากเหยื่อเองนั้นก็มักจะเป็น “บัญชีม้า” ที่คนโกงจ้างคนที่อาจจะไม่รู้เรื่องราวอะไรไปเปิดไว้เพื่อให้คนโกงรับและโอนเงินออกไปอย่างรวดเร็วและทางการจับไม่ได้

และเนื่องจากการโกงด้วยวิธีนี้ทำได้ง่ายและไม่ต้องอาศัย “ทุน” ในการทำมากนัก  จึงมีคนทำกันมากมายนับเป็นร้อย ๆ  ราย  อย่างไรก็ตาม  ผลตอบแทนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการหลอกลวงผู้คนว่าคนทำเก่งแค่ไหน  และเงินที่ได้รับส่วนใหญ่ก็อาจจะอยู่ในหลักร้อยล้านบาทเท่านั้น

ตัวอย่างที่สามที่เป็นการโกงที่  “High Profile” หรือดังมากในช่วงเร็ว ๆ  นี้  เพราะเกี่ยวข้องกับดาราและเหล่าเซเล็บทั้งหลายก็คือการโกงที่เป็นแนว  “แชร์ลูกโซ่” หรือการชักชวนให้ลงทุนในสิ่งของที่ “ไม่มีตัวตน” หรือ “ไม่มีค่า” แต่ได้ผลตอบแทนที่ดีมาก  แต่ผลตอบแทนนั้นมาจากการดึงเงินลงทุนจาก  “นักลงทุนคนใหม่” มาจ่ายให้นักลงทุนคนเก่าเป็นทอด ๆ  คล้าย ๆ  กับ “ลูกโซ่” ที่คล้องต่อกันมาเป็นพรวน

การโกงด้วยวิธีแชร์ลูกโซ่นั้น  มักจะได้ผลตอบแทนที่สูงและเร็วมากเนื่องจาก “เหยื่อ” จะดึงดูด “เหยื่อ” รายใหม่ให้เข้ามาลงทุนเพราะตนเองจะได้ผลตอบแทนจากเหยื่อรายนั้นด้วย  และด้วยประสิทธิภาพของสื่อสังคมในปัจจุบัน  การดึงดูดหรือชักจูงคนโดยเฉพาะจากดาราและคนที่มีชื่อเสียงก็ทำได้ง่าย

ความเสี่ยงของการถูกจับและโดนลงโทษในกรณีของแชร์ลูกโซ่นั้น  ดูเหมือนว่าจะสูง  อย่างไรก็ตาม  วิธีการของแชร์ลูกโซ่  “ยุคใหม่” กับวิธีการค้าขายแบบ “การตลาดหลายชั้น”  ที่ไม่ผิดกฎหมายนั้น  ใกล้เคียงกันมาก  สิ่งที่ต่างกันก็อาจจะเป็นแค่ว่าสินค้าที่ขายนั้น  “มีค่า” หรือไม่  ถ้าเป็นสินค้าที่มีค่ามีความต้องการจริงจากผู้ใช้  ก็ถือว่าไม่ใช่แชร์ลูกโซ่และไม่ผิดกฎหมาย

ประเด็นก็คือ  คนที่ทำก็อาจจะตีความว่าสินค้าของตนนั้น  “มีค่า” สามารถรักษาหรือให้ประโยชน์แก่ผู้ใช้จริง  อย่างน้อยก็ทางด้านจิตใจ  ซึ่งก็อาจจะไม่ได้แตกต่างกับสินค้าของบริษัทอื่นที่ก็ทำมาช้านานโดยที่ไม่มีความผิด  และดังนั้น  จึงไม่เสี่ยงที่จะถูกจับ

วิธีที่จะแก้ไขไม่ให้มีการโกงกันมากในสังคมนั้น  ผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือการปรับ  กฎหมายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ  ที่จะทำให้การโกงทำได้ยากขึ้น  ตัวอย่างก็เช่น  การปั่นหุ้นด้วยวิธีการทำคอร์เนอร์นั้น  ก็ต้องไม่ให้ทำได้ง่าย  เกณฑ์เรื่องแชร์ลูกโซ่ก็ควรที่จะชัดเจน  เป็นต้น  ส่วนเรื่องการโกงผ่านสื่อดิจิทัลนั้น  รัฐก็ควรจะต้องมีหน่วยงานที่คอยตรวจสอบตั้งแต่แรกว่าเว็บหรือสื่อไหนโกง  ก็ต้องรีบจัดการทันที เป็นต้น

ประเด็นที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ  จะต้องปรับ “Risk-Reward Ratio” ของการโกงทุกเรื่อง  นั่นก็คือ  ทำให้ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการโกงต่ำลง  และเพิ่มความเสี่ยงจากการถูกจับและการลงโทษจากการโกงสูงขึ้น  ซึ่งนั่นก็จะทำให้การโกงและการคอร์รับชั่นของไทยลดลงอย่างถาวรด้วย

พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงการโกงครั้งมโหฬาร “หลายแสนล้านบาท” ของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนามที่กำลังถูกตัดสินให้ประหารชีวิตว่า  อนาคตคงไม่มีใครกล้าทำอีก  เพราะความเสี่ยงของการโกงในตลาดหุ้นเวียดนามนั้น  สูงลิ่วถึงชีวิต  ได้เงินเท่าไรก็ไม่คุ้ม


สัมมนา Online เจาะลึกหุ้นเวียดนาม – จีน 🇻🇳🇨🇳https://www.vietnamvi.com/2024/11/09/online-15-dec/