โลกในมุมมองของ Value Investor 28 ธ.ค. 67

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

พอถึงสิ้นปี  ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีการประเมินผลตอบแทนการลงทุนของตลาดหุ้นและปรากฎการณ์สำคัญต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นระหว่างปีเพื่อที่จะเก็บไว้เป็นบทเรียนของปีต่อไปและอนาคต

ปี 2024 หรือ 2567 ที่กำลังจะผ่านไปในอีกเพียง 1 วันทำการนั้น  ดัชนีตลาดหุ้นปิดที่ 1,402 จุด จากสิ้นปีที่แล้วที่ 1,416 จุด เท่ากับว่าติดลบประมาณ 1% หรือพูดง่าย ๆ  ว่า  “เสมอตัว” และเป็นอีกปีหนึ่งที่ “สูญหายไป” หลังจากที่ปี 2566 ตลาดหุ้นไทยก็ติดลบไปประมาณ 15%  และทั้งสองปีก็เป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเกือบจะ  “แย่ที่สุดในโลก” เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็ทำผลตอบแทนที่ดีกันทั่วหน้าในระดับ “เลขสองหลัก”

และนั่นก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็น  “Lost Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” คือเป็นตลาดหุ้นที่ไม่ให้ผลตอบแทนเลยในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา  “อย่างเป็นทางการ”  เพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อสิ้นปี 2014 อยู่ที่ 1,498 จุด สูงกว่าดัชนีในวันนี้ทั้งที่ผ่านมาแล้ว 10 ปีเต็ม

ปี 2024 นั้น  มองในภาพใหญ่ก็คือ  เศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวต่อจากปี 2023 ที่เป็นปีที่เศรษฐกิจฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19  อัตราการเติบโตของ GDP ต่ำกว่า 3% ต่อปีและดูเหมือนว่านี่จะเป็น “อัตราปกติใหม่” หรือ “New Normal” ของเศรษฐกิจไทย  คือปี 2025 และปีต่อ ๆ ไปเศรษฐกิจไทยก็อาจจะโตประมาณ 3% บวกลบ  และเป็นประเทศที่ “เศรษฐกิจโตช้า”  อย่าง  “ถาวร” คล้าย ๆ  กับประเทศพัฒนาแล้วทั้ง ๆ  ที่เราเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่เคยโตเร็วมากในระดับ 5-7% ในช่วง 20-30 ปีก่อน

ดัชนีตลาดหุ้นปี 2024 ที่ดูเหมือนว่า  “ทรงตัว” นั้น  มองลึกลงไปก็พบว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับหุ้นทุกตัวอย่างสม่ำเสมอ  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  มีหุ้นขนาดใหญ่มากเพียงไม่กี่ตัวที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากและส่งผลต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้เพิ่มขึ้นในระดับไม่น้อยกว่า 6-7% ขึ้นไป  โดยการขึ้นของราคาหุ้นนั้นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากพื้นฐานของกิจการ  แต่น่าจะเป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่าหุ้นถูก  “Corner” คือหุ้นที่มี Free Float ต่ำกว่าปกติ  ในขณะที่ความต้องการซื้อที่ไม่ได้อิงกับพื้นฐานทางธุรกิจของหุ้นมีมากกว่า  ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้น “มโหฬาร” ขนาดที่ทำให้ค่า PE สูงขึ้นในระดับเกือบ 100 เท่าแทนที่จะเป็น 10-20 เท่าอย่างที่ควรเป็น

ส่วนหุ้นตัวใหญ่อื่น ๆ  และตัวเล็ก ๆ  แทบทั้งหมดนั้น  ราคากลับตกลงมาแม้ว่าผลประกอบการก็อาจจะไม่ได้เลวร้าย  บางตัวก็โดดเด่นด้วยซ้ำแต่ก็อาจจะ “ไม่มีคนเล่น” เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งก็คือ  นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิตลอดทั้งปีในระดับกว่า 140,000 ล้านบาท หลังจากที่ขายต่อเนื่องมาแทบทุกปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในระดับปีละไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท  และนั่นทำให้มีคำกล่าวในแวดวงนักลงทุนว่าปี 2024 นั้น  “หุ้นขึ้นกระจุก-หุ้นลงกระจาย” ทำให้นักลงทุนส่วนมากขาดทุน  ในขณะที่มีน้อยคนมากที่ทำกำไรได้

ปี 2024 นั้น  ประเด็นเรื่องหุ้นตัวใหญ่ถูกคอร์เนอร์มีการพูดถึงกันพอสมควรเพราะมันทำให้ดัชนีตลาดผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงอย่างมีนัยสำคัญ  อย่างไรก็ตาม ประเด็นของหุ้นตัวกลางและเล็กหลาย ๆ  ตัวที่ถูกคอร์เนอร์มานานเริ่มทยอย “แตก” อย่างต่อเนื่องโดยที่อาจจะไม่ได้เป็นข่าวอะไรมากนัก  แต่สร้างความเจ็บปวดให้กับนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากและรายใหญ่ที่เป็นเจ้ามือหรือสปอนเซอร์หลักในการคอร์เนอร์หุ้นตัวนั้นด้วย

เหตุผลที่ “คอร์เนอร์แตก” นั้น  เป็นเพราะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ส่งผลให้รายได้บริษัทลดลงและที่แย่กว่านั้นก็คือกำไรหดหายหรือการเติบโตลดลงมาก  บริษัทที่หุ้นถูกคอร์เนอร์มานานนั้น  มักจะสร้าง “สตอรี่” ไว้มากว่าจะเติบโตเร็ว  มีความสามารถสูง  รวมถึงมีการขยายตัวทำธุรกิจเพิ่มสารพัดโดยเฉพาะการเทคโอเวอร์ธุรกิจที่ไม่มีศักยภาพจริง  มาถึงปีนี้ก็เริ่มแสดงให้เห็นว่าไม่มีผลงานและกลายเป็นภาระกับบริษัท  สิ่งเหล่านี้ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจและเริ่มขายหุ้น

สถาบันการเงินและคนที่ซื้อหุ้นกู้ของบริษัทเริ่มขาดความมั่นใจและปฎิเสธที่จะต่ออายุวงเงินกู้ให้  บริษัทเริ่มจะมีปัญหาทางการเงิน  หุ้นตกลงไปอีก  จนถึงจุดที่คอร์เนอร์แตกจริง ๆ  ก็คือหุ้นที่เจ้าของเองที่เคยกู้เงินเอามาคอร์เนอร์หุ้นตัวเองถูกฟอร์สเซลหรือบังคับขายหุ้นลงในตลาด  ทำให้หุ้นตกลงไปถึง “พื้น” บางทีติดต่อกันหลายวัน  คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นเสียหายหนักกันทุกคน  คนเลิกเข้าไปเล่นหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์  คนที่เล่นอยู่อยากจะออก  โดยเฉพาะรายใหญ่ที่เข้าไปตั้งแต่แรก

แต่จะ “ออกของ” หรือขายหุ้นจำนวนมากได้อย่างไรถ้า “ไม่มีคนรับหุ้น” ในระดับราคาที่เป็นไปได้?  และนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2024 ที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันลดลงอย่างต่อเนื่องอย่างที่ไม่เคยเห็นมานานเป็นสิบ ๆ  ปีแล้ว  ปริมาณการซื้อขายหุ้นไทยที่คึกคักที่สุดในอาเซียนและเคยสูงถึงแสนล้านบาทต่อวันในช่วงหนึ่งเมื่อ 5-6 ปีมาแล้วนั้น  ล่าสุดเมื่อ 3-4 วันก่อนเหลือไม่เกิน 30,000 ล้านบาทต่อวัน

นักลงทุนรายย่อยนั้น  ที่ผ่านมาก็มักจะเล่น “หุ้นปั่น” หรือหุ้นที่มีการคอร์เนอร์โดยรายใหญ่หรือเจ้าของ  หลังจากเจ็บตัวอย่างหนักมาต่อเนื่อง  พวกเขาก็เริ่มหยุด  จำนวนมากมีหุ้นที่ราคาลงมาหนักมาก  เช่น หุ้นลดลงไป 60-70% อย่างรวดเร็วและพวกเขารับไม่ได้ที่จะขายมันออกไป  และนี่ก็คือการ “ติดหุ้น” อย่างที่พูดกันในตลาดหุ้นไทย

นักลงทุนรายใหญ่รวมถึงเจ้าของหุ้นที่เข้าไปคอร์เนอร์หุ้นก็อาจจะไม่แพ้กันที่ขายหุ้นออกไม่ทันเพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก  สตอรี่หรือผลประกอบการที่เป็นหัวใจของการทำคอร์เนอร์ไม่รองรับที่จะชักชวนให้คนเชื่อว่าบริษัทยังดีเหมือนอย่างที่โฆษณาไว้  ทำให้สปอนเซอร์หลักไม่สามารถขายในปริมาณมากได้และต้องคอยซื้อประคองไม่ให้ราคาดิ่งลง  พวกเขาอาจจะต้องทำเพื่อรอให้ผลประกอบการดีขึ้นแต่มันก็ไม่มาเสียที  อาการแบบนี้ก็คือการ  “ติดหุ้น”  ไม่นับว่าบางรายที่คอร์เนอร์แตกไปแล้วแต่หุ้นก็ยังขายออกไปไม่ได้  เพราะความต้องการหุ้นหมดไปอย่างสิ้นเชิง

สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้นตัวใหญ่หรือตัวกลางที่เป็นหุ้นหลัก ๆ  ของตลาดและไม่มีการคอร์เนอร์หุ้นหรือทำไม่ได้  ปี 2024 ก็ไม่ได้ปราณีพวกเขาเท่าไรนัก

ผลประกอบการของบริษัทจำนวนมากก็ไม่ดีตามภาวะเศรษฐกิจของไทยทำให้หุ้นไม่ไปไหนแม้ว่าราคาหุ้นจะไม่แพง  แต่นักลงทุนหุ้นรายใหญ่ที่เป็นผู้ลงทุนหลัก  เช่นนักลงทุนสถาบันโดยเฉพาะกองทุนรวมในประเทศต่างก็ไม่มีเม็ดเงินลงทุนพอที่จะรองรับการขายจากนักลงทุนต่างประเทศที่ขายสุทธิมาตลอดทั้งปีที่กว่า 140,000 ล้านบาท  ดังนั้น  หุ้นจึงมีแต่ซึมหรือลดลง

หุ้นขนาดกลางและใหญ่กลุ่มเดียวกันที่มีผลประกอบการดี  บางรายน่าประทับใจ  และราคาไม่แพง  ซึ่งเมื่อประกาศผลประกอบการราคาหุ้นน่าจะพุ่งขึ้น  แต่ตรงกันข้าม  ราคากลับตกลงไป  บางทีหนักกว่าหุ้นที่ผลประกอบการธรรมดา ๆ  ด้วยซ้ำ  เหตุผลก็แบบเดียวกัน  โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศที่มักจะถือโอกาสขายหุ้นล็อตใหญ่ออกมาเนื่องจากเห็นว่ามีนักลงทุนอื่นสนใจเข้ามาซื้อหุ้นเพราะเห็นว่าผลประกอบการดีขึ้นมาก  ผลก็คือ  หุ้นดีราคาถูกก็ไม่ไปไหนเนื่องจากต่างชาติขาย  และการที่ต่างชาติขายก็อาจจะเป็นเพราะพวกเขามองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะโตช้าหรือไม่โต  ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทในอนาคตจะโตช้า  ดังนั้นพวกเขาก็จะขายในตอนนี้

นักลงทุนไทยที่ลงทุนในหุ้นพื้นฐานมองว่าราคาหุ้นเหล่านั้นตกลงมาต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นจึงไม่ยอมขายหุ้น  บางคนคิดว่าแค่ปันผลก็คุ้มที่จะถือแล้ว  เขาจึงอดทนรอและหวังว่าตลาดหุ้นจะดีขึ้น  และราคาหุ้นของเขาจะสูงขึ้น  แต่สิ่งนั้นก็ไม่มาซักที  พวกเขาจึง “ติดหุ้น”  ทำใจขายไม่ได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ภาวะตลาดที่การซื้อขายซบเซามากนั้น  พอเราขาย  แม้ว่าจำนวนจะไม่มาก  บางทีก็ทำให้ราคาลดลง  ทำให้ผลตอบแทนพอร์ตลดลงไปอีก

สรุปก็คือ  นักลงทุนแทบทุกกลุ่ม  “ติดหุ้น” ในระดับใดระดับหนึ่งในปี 2024 คือทำใจไม่ได้กับราคาที่จะขายได้  ทุกคนต่างก็ “รอ” ว่าทุกอย่าง  เฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจจะดีขึ้น  ตลาดหุ้นจะดีขึ้น  นักลงทุนจะเข้ามาซื้อหุ้นลงทุนในตลาดมากขึ้นโดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ  แต่ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นไหมและเมื่อไรไม่มีใครรู้  ได้แต่หวังว่ามันจะเกิดขึ้น  เพราะเราชินกับวัฏจักรเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่มีขึ้นต้องมีลงและต้องกลับมาขึ้นเสมอ

แต่สิ่งที่นักลงทุนอาจะไม่ตระหนักก็คือ  ประเทศไทยอาจจะเปลี่ยนไปแล้วอย่างถาวรก็ได้  นั่นก็คือ  เรากำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุและคนเกิดน้อยลงเรื่อย ๆ จนทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถเติบโตในอัตราเพิ่มสูงขึ้นได้  อย่างมากถ้าสามารถรักษาอัตราการเติบโตแบบนี้คือปีละ 2-3% ก็ดีมากแล้ว  และถ้าเป็นอย่างนั้น  โอกาสก็เป็นไปได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นก็ไม่ไปไหนหรือถอยหลังไปเรื่อย ๆ ต่อเนื่องยาวนาน  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เราก็เป็นอย่างนี้มาอย่างน้อย 10 ปีแล้ว

ผมเองก็หวังว่าตนเองจะคิดผิด  และเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยจะเปลี่ยนไปได้อย่างมหัศจรรย์ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป


VVI Membership แบบทั่วไป 1,990 บาท
https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/

VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/