โลกในมุมมองของ Value Investor        11 มกราคม 68

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สัปดาห์ที่แล้ว  หุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาถึง “ฟลอร์” ที่ 30% เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน  และวันที่ 4 ก็ยังตกต่อจนราคาลดลงถึงกว่า 70%  มูลค่าตลาดหรือ Market Cap.ของหุ้นลดลงจากระดับหมื่นล้านบาทเหลือเพียงประมาณ 3 พันล้านบาทในเวลาเพียง 3-4 วัน  อาการแบบนี้ผมอยากจะเรียกว่า  “Sudden Death” หรือ  “การตายที่เกิดขึ้นทันทีหรือภายในไม่กี่นาทีจากสาเหตุอะไรก็ตามที่ไม่ได้เกิดจากความรุนแรง”

เพราะบริษัทหรือหุ้นที่กล่าวถึงนั้น  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย  ไม่มีข่าวที่กระทบทางด้านลบกับการดำเนินงานโดยตรงแม้ว่าตลาดหุ้นในช่วงนั้นอาจจะตกลงมาประมาณ 2-3% จากความกังวลในระดับโลกที่เข้ามากระทบกับตลาดไทย  แต่ผลกระทบกับตัวบริษัทมีน้อยมาก  อย่างไรก็ตาม  คำชี้แจงของบริษัทหลังจากหุ้นตกลงมาแล้วก็คือ  ผู้บริหารถูกบังคับขายหุ้นที่นำไปจำนำไว้กับสถาบันการเงินจำนวนมาก  ดังนั้น  สาเหตุที่หุ้นตกลงมาหนักมากระดับ  “ตาย” ทันทีก็คือการที่หุ้นที่ถูกบังคับขายนั้น  “ไม่มีคนรับ”  ราคาหุ้นจึงตกลงมาแบบไม่มี “พื้น”

ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นในช่วงที่หุ้นตกลงมาถึงฟลอร์ 3 วันติดต่อกันนั้นมีเพียง 36 ล้านหุ้น  คิดเป็นเม็ดเงินเพียง 113 ล้านบาท  ในขณะที่เงินกู้ที่ใช้หุ้นจำนำและจะต้องขายหุ้นเพื่อเอาไปคืนเงินกู้นั้น  ว่ากันว่าอาจจะเป็นหลัก “พันล้านบาท” ดังนั้น  คนที่ “ขายหุ้นทัน” จึงมีน้อยมาก  คนที่ถือหรือเล่นหุ้นตัวนี้ส่วนใหญ่จึงขาดทุนแบบ “หายนะ” คือขาดทุนถึง 70% ในเวลาเพียง 4 วันทำการ  

ข้อสรุปของผมก็คือ  หุ้นตัวนั้น  ที่มีราคาหรือมูลค่าหุ้นสูงถึงหมื่นล้านบาท  และถ้ามองย้อนหลังกลับไป 2-3 ปี มีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท เป็นราคาที่ “ไม่อิงกับพื้นฐาน” ของกิจการ  แต่เป็นราคาของหุ้นที่  “ถูก Corner” มานานหลายปีแล้ว  เห็นได้จากราคาที่สูงมากจนทำให้ค่า PE สูงระดับเกิน 100 เท่าจากกำไรปกติของบริษัทต่อเนื่องมาหลายปี

การคอร์เนอร์หุ้น  โดยเฉพาะที่สามารถ  “ยันราคา” หุ้นไว้ได้นานหลายปีนั้น  จำเป็นต้องมี “Story” หรือเรื่องราวและความสามารถของบริษัทที่จะเติบโตต่อเนื่องยาวนานในธุรกิจแห่งอนาคตที่จะไม่ถูกทำลายโดยเทคโนโลยีสมัยใหม่  หรือไม่อย่างนั้นบริษัทก็จะต้องมีการขยายไปทำธุรกิจ “แห่งอนาคต” ผ่านการตั้งหรือซื้อกิจการต่าง ๆ  ซึ่งทั้งหมดนั้นมักจะต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก

แต่การที่จะเพิ่มทุนในส่วนของเจ้าของหรือการออกหุ้นใหม่นั้นก็มักจะทำให้นักลงทุนไม่ยอมรับและอาจจะต้อง “ถอย” ตั้งแต่แรก  ดังนั้น  บริษัทจึงมักจะต้องกู้เงินหรือออกหุ้นกู้เพื่อระดมเงินมาลงทุนทำธุรกิจเพิ่ม  ซึ่งการกู้เงินหรือออกหุ้นกู้นั้นมักจะมีเวลาต้องใช้คืนในเวลาเพียงไม่กี่ปี  ส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ที่ 3-5 ปี  

ประเด็นต่อมาของการทำคอร์เนอร์หุ้นก็คือ  การเข้าไปซื้อหุ้นหรือควรจะเรียกว่า  “ไล่ซื้อหุ้น” ที่เป็น  “Free Float” ที่เป็นของนักลงทุนในตลาดให้เหลือน้อยลงเรื่อย ๆ  จน “หมด” ซึ่งก็จะทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ  จนค่า PE อาจจะไปถึง  “100 เท่า” จากกำไรปกติ

แต่การที่จะซื้อหุ้นจำนวนมากระดับนั้นก็จะต้องใช้เงินมหาศาล  คนที่ทำคอร์เนอร์มักจะไม่ได้มีเงินสดระดับนั้นแม้ว่ามองจากภายนอกเขาอาจจะเป็นคนรวยระดับ  “มหาเศรษฐี” โดยเฉพาะหลังจากที่ราคาหุ้นขึ้นไปสูงลิ่วแล้ว  เขาจึงมักจะต้องกู้เงินโดยใช้หุ้นที่มูลค่าสูงขึ้นมามากมาวางจำนำเป็นหลักประกัน  ซึ่งในตลาดหุ้นไทยนั้น   มีสถาบันที่รับจำนำหุ้นจำนวนมาก  บางแห่งก็มาจากต่างประเทศ  และบางทีก็ใช้เครื่องมืออื่น เช่น บล็อกเทรด เป็นตัวช่วยระดมเงิน

สรุปก็คือ  ในกระบวนการคอร์เนอร์หุ้นนั้น  จะมีการกู้เงินมาใช้จำนวนมาก  ทั้งการกู้โดยบริษัทและการกู้เป็นการส่วนตัว  ทั้งหมดนั้นโดยมีหุ้นของบริษัทเป็นหลักประกัน  และการกู้เงินหรือการระดมเงินจากภายนอกนั้นก็มักจะได้รับการตอบรับจากผู้ให้กู้เป็นอย่างดี  เพราะในช่วงเวลาปล่อยกู้  ทุกอย่างยังดูสดใส  ภาพทางเศรษฐกิจและการเงินโดยทั่วไปยังดูดี  ตลาดหุ้นยังดูดีมีความหวังแม้ว่าจะไม่ได้สดใสนัก

ที่สำคัญก็คือ  ตัวบริษัทและผู้บริหารหรือเจ้าของหุ้นเองนั้น  ช่วงก่อนหรือระหว่างการคอร์เนอร์หุ้นนั้น  ต่างก็เป็น  “ดารา” กิจการ “กำลังโต”  กำไรดี  “มีวิชชั่น”  เป็นผู้นำในวงการธุรกิจและ “รวยเป็นบ้า” เป็นเศรษฐีหมื่นล้าน  บางคนแทบจะเป็นเศรษฐีระดับ “แสนล้านบาท”  เงินกู้ที่ปล่อยไปนั้นมี “ความเสี่ยงต่ำ”  โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับราคาหุ้นหลักประกันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  เช่นเดียวกับสภาพคล่องของหุ้นที่สูงมาก

แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป อาจจะซัก 3-4 ปี  ภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของไทยก็เริ่มแย่ลง  การเติบโตของบริษัทก็เริ่มถดถอยลง  บางแห่งกำไรลดลงด้วยเพราะกิจการหรือธุรกิจที่ขยายไปทำหรือซื้อมาไม่โตอย่างที่คิดและบางแห่งก็ขาดทุนด้วย  Story ที่สวยหรูไม่เป็นไปอย่างที่คิด  ผลประกอบการของบริษัทที่ทยอยออกมาน่าผิดหวังไตรมาศแล้วไตรมาศเล่า  นักลงทุนบางคนเริ่มขายหุ้นบ้าง  ราคาหุ้นไม่ขึ้นอีกต่อไปแต่ค่อย ๆ  ตกลงมาช้า ๆ  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าของและ/หรือ “สปอนเซอร์” ที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่ช่วยคอร์เนอร์หุ้นต่างก็ต้องเข้ามาช่วย “พยุง” ไม่ให้คอร์เนอร์ “แตก”  

แต่ถึงจุดหนึ่งเมื่อทุกอย่าง “สุกงอม”  ไม่ว่าจะเป็นที่ตัวบริษัทที่ผลประกอบการย่ำแย่จนทำให้คนภายนอก  ซึ่งรวมถึงนักลงทุนและสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ทุกคนขาดความมั่นใจ  หรือเจ้าของหรือสปอนเซอร์เองก็ไม่สามารถรับภาระในการจ่ายดอกเบี้ยหรือคืนเงินที่กู้มาจำนวนมากได้  วันนั้นก็จะเป็นวันประเภทที่เรียกในหนังสยองขวัญว่า  “นรกแตก” และในวงการหุ้นเรียกว่า  “คอร์เนอร์แตก” หุ้นตกลงมาจนแทบหมดค่า  ชีวิตของคนที่ร่ำรวยจากหุ้นหรือได้กำไรมากมายจากหุ้นอาจจะเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน

หุ้นบางตัวนั้น  เหตุการณ์อาจจะเริ่มจากการที่บริษัท “ไปไม่ไหว” ทั้ง ๆ ที่เคยเป็น “บริษัทดี” บางตัวแทบจะเป็น  “ดารา” แต่การลงทุนที่ผิดพลาดประกอบกับภาวะของอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลง   ประกอบกับการกู้เงินที่มากขึ้นมาก  ทำให้สถานะการเงินของบริษัทมีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้  ซึ่งนั่นทำให้ทุกอย่างของบริษัทเปลี่ยนแปลงไป  คนคิดว่าบริษัทคงใกล้จะล้มละลาย  ดังนั้น  ทุกคนก็เทขายหุ้น  คอร์เนอร์แตกทันที

หุ้นบางตัวนั้น  บริษัทก็ยังคงไปไหว  แต่เจ้าของและคนที่ทำคอร์เนอร์หุ้นไปไม่ไหว  ส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะว่าหุ้นมี Free Float มากเกินไป  ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากในการซื้อหุ้นจน “หมด” และอาจจะต้องคอยดูแลไม่ให้หุ้นตกลงมามากเกินไป  พูดง่าย ๆ  กำลังเงินไม่พอและอาจจะ “ประเมินผิด”  คิดว่าบริษัทมีสตอรี่พอและนักลงทุนยังสนใจที่จะเล่นหุ้นคอร์เนอร์อยู่

แต่สถานการณ์แวดล้อมกลับเปลี่ยนแปลงไป  ตลาดหุ้นเริ่มหงอยเหงาและนักลงทุนถอยออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว  ซึ่งทำให้คนเลิกสนใจเล่นหุ้นคอร์เนอร์อย่างกะทันหัน  ผลก็คือ  หุ้นตกและทำให้คนกู้เงินและเล่นหุ้นด้วยมาร์จินถูกบังคับขายจำนวนมาก  ทำให้หุ้นตกลงมาแบบถล่มทะลายกลายเป็น  “คอร์เนอร์แตก”  และเป็น  “Sudden Death” ของหลาย ๆ  ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง  รวมถึงตัวบริษัทเอง

ในหลาย ๆ  กรณี  และอาจจะเป็นส่วนมากด้วยซ้ำก็คือ  มีทั้งการกู้เงินจำนวนมากโดยบริษัทและการกู้เงินเป็นส่วนตัวเพื่อที่จะทำคอร์เนอร์หุ้นให้ประสบความสำเร็จ  ซึ่งในอดีตก็มักจะเป็นอย่างนั้น  คือถ้าประเมินดีแล้วและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเป็นใจ  และบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ดีและกำลังมีผลประกอบการที่น่าประทับใจ  โอกาสคอร์เนอร์หุ้นได้สำเร็จก็เป็นไปได้สูง

แต่การกู้เงินจำนวนมาก “เกินกำลัง” ก็มักจะเป็น  “ดาบสองคม” คือถ้าเกิดความผิดพลาด  ไม่ว่าจะเกิดจากสิ่งใดหรือฝ่ายใด  มันก็กลับมาทำร้ายตนเอง  “ถึงตาย” ในชั่ว “ข้ามคืน”

ผมเองยังจำบทเรียนสมัยต้มยำกุ้งได้ดี  ในตอนนั้น สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของไทยยังดีหรือคึกคักมาก  อุตสาหกรรมต่าง ๆ เกือบทุกอุตสาหกรรมกำลังเติบโต  แทบทุกบริษัทขยายธุรกิจโดยการกู้เงินมหาศาลเช่นเดียวกับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่กู้เงินมาลงทุนรวมถึงการเล่นหุ้น  โดยเฉพาะของตนเอง  แต่แล้ว  สภาพทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป  เริ่มต้นจากค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไปทันที “ชั่วข้ามคืน” จาก 25 บาทเป็น 50 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

ผลก็คือ  คนที่กู้เงินจำนวนมาก  ที่มักจะเป็นการกู้เงินดอลลาร์ล้มละลายเป็นใบไม้ร่วงในชั่วข้ามคืน  เป็น  “Sudden death” กันเกือบทั้งประเทศ  และเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจผมตลอดมา  และตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาผมก็แทบจะไม่กู้เงินเลย  มีเพียงครั้งเดียวที่ผมใช้เงินมาร์จินซื้อหุ้นตัวหนึ่งคิดเป็นไม่ถึง 10% ของพอร์ต  และรีบขายทำกำไรไปเล็กน้อย  หลังจากนั้นก็ไม่เคยกู้เงินเพื่อการลงทุนอีกเลย  เพราะกู้แล้วผมมีความกังวลไม่สบายใจเลยแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเล็กน้อยและไม่น่าจะเกิดปัญหา  ผมเชื่ออย่างที่บัฟเฟตต์พูด  “ถ้าคุณไม่เก่งจริง  คุณไม่ควรจะกู้เงินมาเล่นหุ้น  และถ้าคุณเก่งจริง  คุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงินมาลงทุน” (เพราะคุณรวยได้อยู่แล้วด้วยฝีมือ)   


VVI Membership แบบทั่วไป 1,990 บาท

https://class.vietnamvi.com/pro…/p1-membership-superstock/

VVI Membership + Class 1-3

ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)