โลกในมุมมองของ Value Investor 15 กุมภาพันธ์ 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สัปดาห์ที่แล้ว “หุ้นยักษ์” ตัวหนึ่งซึ่งเคยเป็น “เสาหลัก” สำคัญของตลาดหุ้นมีราคาตกลงมาประมาณ 14% หลังจากประกาศงบรายไตรมาสที่แสดงว่าบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเลข 2 หลัก และกำไรก็เพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้และเป็นเลข 2 หลักเช่นเดียวกันเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขทั้งสองนั้นต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้พอสมควรและดูเหมือนว่า “อนาคต”ของบริษัทอาจจะเติบโตไม่ได้ดีเท่ากับที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนเคยประเมินหรือคาดการณ์ไว้
ราคาหุ้นที่ตกลงมานั้น ทำให้ค่า PE ที่ “สูงลิ่ว” ในระดับ 40 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่น่าจะสูงเกินไปอานิสงค์จากการที่หุ้นน่าจะ “ถูกคอร์เนอร์” มานานเพราะปริมาณหุ้น Free Float ที่อยู่ในมือของนักลงทุนมีน้อยมาก และทำให้หุ้นเคยมีค่า PE สูงถึงเกือบ 100 เท่า ตกลงมาเหลือประมาณ 34 เท่า ซึ่งก็ยังไม่ได้ต่ำนักเมื่อเทียบกับธุรกิจเดียวกันของบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศอื่น ๆ
การที่หุ้นตกลงมาสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวโดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้ ถ้าจะเรียกว่า “คอร์เนอร์แตก” ก็อาจจะยังไม่ชัดร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ถ้ามองย้อนหลังไป 3-4 ปี หุ้นก็ถือว่าลดลงมามากในระดับ 40% ขึ้นไป ตรงกับอาการคอร์เนอร์แตกได้ นั่นก็คือ นักลงทุนเลิกเชื่อในสตอรี่และผลประกอบการของบริษัทที่เคยเป็นตอนที่หุ้นถูกคอร์เนอร์ และก็เริ่มขายหุ้นออกมามากกว่าคนที่อยากจะถือหุ้นลงทุนตามพื้นฐานที่ควรเป็นหลังจากมีข้อมูลผลประกอบการล่าสุดที่ไม่โดดเด่นออกมา
เรื่องของหุ้น “คอร์เนอร์แตก” ในตลาดหุ้นไทยนั้น ดำเนินมานานอย่างน้อยน่าจะ 4-5 ปีแล้ว เริ่มต้นก็เป็นหุ้นขนาดเล็กที่มีการทำคอร์เนอร์โดยนักลงทุนรายใหญ่และ/หรือเจ้าของที่พบว่าทำได้ง่ายและสามารถเพิ่มราคาและมูลค่าของกิจการได้มากมายหลาย ๆ เท่า บางทีในวันเดียวโดยเฉพาะในวันที่หุ้นเข้าเทรดวันแรกหลังจาก IPO ผลก็คือ คนทำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจจะเป็นเศรษฐีพันล้านบาทได้ง่าย ๆ โดยที่แทบจะไม่มีความเสี่ยงอะไรเลย ตรงกันข้าม มีแต่คนชื่นชมว่าเป็นคนที่มีความสามารถสูง จากธุรกิจเล็ก ๆ หรือพอร์ตเล็ก ๆ ก็กลายเป็น “เสี่ย” หรือเป็น “เซียน” ในเวลาอันสั้น
ต่อมาหุ้นระดับกลางหลายตัวก็ถูกคอร์เนอร์ จากมูลค่าหุ้นระดับ “หมื่นล้านเศษ ๆ” ก็กลายเป็นหลายหมื่นล้านบาท และบางตัวก็กลายเป็น “แสนล้านบาท” คนทำคอร์เนอร์กลายเป็นมหาเศรษฐีหรือสุดยอดเซียน ผู้บริหารกลายเป็นเซเล็บนักธุรกิจระดับประเทศ “อาณาจักร” ถูกขยายออกไป “ระดับโลก” ไม่มีใครสนใจว่าหุ้นแพงผิดปกติหรือเปล่าที่ PE บางทีระดับ 70-80 เท่าขึ้นไป แม้แต่นักลงทุนสถาบันก็ต่างแย่งซื้อหุ้นล็อตใหญ่จากเจ้าของ พวกเขาต้องทำตัวเหมือน “เซียนหุ้นรายใหญ่” ที่ร่ำรวยจากหุ้น มิฉะนั้นจะดึงดูดคนที่เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนอย่างไร?
และสุดท้าย แม้แต่หุ้นขนาดใหญ่หรือกลางใหญ่บางตัวก็ถูกคอร์เนอร์ จากบริษัทระดับกลางในแง่ของตัวธุรกิจและ Market Cap. ก็กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่หรือขนาดยักษ์ระดับ “Top Ten” ของตลาด และแน่นอน ด้วยสตอรี่ใหญ่ระดับ “เปลี่ยนโลก” บางบริษัทที่อยู่ในธุรกิจพลังงานก็ท้าทายบริษัทระดับ “เทสลา” ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดนางฟ้าของหุ้นโลก บางบริษัทก็ประมาณว่าจะคล้าย ๆ กับ “เอ็นวิเดีย” ซึ่งก็เป็นนางฟ้าแนวหุ้นเท็คอีกบริษัทหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเทสลาด้วยซ้ำ
ถึงวันนี้ หุ้นที่อยู่ในคอร์เนอร์ทั้งเล็ก กลาง และใหญ่ ต่างก็ทยอย “แตก” เป็นระยะมาหลายปีแล้ว โดยที่หุ้นตัวเล็กนั้นแตกไปน่าจะใกล้หมดแล้ว หุ้นระดับกลางเองก็แตกไปมากมายและทำให้คนเจ็บหนักกันทั่วหน้า ส่วนหุ้นตัวใหญ่นั้น เนื่องจากมีจำนวนน้อยกว่าและการคอร์เนอร์เองนั้นย่อมจะแข็งแรงกว่าหุ้นที่มีขนาดเล็กหรือกลาง การแตกจึงยากกว่าและช้ากว่า
สิ่งที่ทำให้หุ้นคอร์เนอร์แตกนั้น ที่มากที่สุดก็คือ การประกาศผลประกอบการที่ “น่าผิดหวัง” ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มว่าอนาคตก็จะยังไม่สดใสต่อ หรือในกรณีที่เลวร้ายก็คือ ผลประกอบการจะแย่ลง “อย่างถาวร” หรืออย่างน้อยอีก 2-3 ปี ข้างหน้า
สถานะของเศรษฐกิจและตลาดหลักทรัพย์เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คอร์เนอร์แตก เพราะในสภาวะแบบนั้น นักเก็งกำไรที่เข้ามาเล่นหุ้นจะน้อยลง เช่นเดียวกับธุรกิจที่ซบเซาลงซึ่งทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทด้อยหรือถดถอยลง ทั้งหมดนั้นมีส่วนทำให้แม้แต่หุ้นยักษ์ที่อยู่ในคอร์เนอร์ก็ประสบกับภาวะหุ้นคอร์เนอร์แตกได้
และหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์ไว้ ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหน ถึงวันก็จะต้อง “คอร์เนอร์แตก” เป็น “Moment of Truth” ที่จะต้องเผชิญสำหรับคนที่ถือหุ้นตัวนั้นไว้
ถ้าให้ผมทำนาย ผมคิดว่าภายในปีนี้ หรือบางทีก็อาจจะเร็ว ๆ นี้ หุ้นตัวใหญ่ระดับยักษ์จะประสบกับการ “คอร์เนอร์แตก” เกือบหมด และนั่นน่าจะกระทบกับดัชนีตลาดหุ้นไม่น้อย ซึ่งก็จะทำให้ตลาดหุ้นซบเซาลงมาก แต่ตลาดก็คงจะ “ไม่วาย” และถ้าโชคดีก็จะเป็นโอกาสที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะดีและยั่งยืนขึ้น เข้าทำนอง “ฟ้าหลังฝน” ชีวิต “เริ่มต้นใหม่” หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาเป็นระลอก ๆ
เหตุผลก็เพราะว่า “สิ่งดี ๆ เล็ก ๆ” กำลังกลับมาที่เราอาจจะยังไม่ตระหนัก เริ่มตั้งแต่บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะยังไม่มาก แต่ก็ค่อนข้างมั่นคง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ไปทำอะไรใหม่มากมายที่ต้อง “เสียเงิน” พวกเขาน่าจะเรียนรู้แล้วว่า การมีสตอรี่มาก ๆ นั้น สุดท้ายมักจะ “พัง” การ “สร้างอาณาจักร” นั้น นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่ต้องการ การสร้างกำไรคือสิ่งที่จะดีต่อหุ้นมากที่สุดในยุคนี้
หน่วยงานที่ดูแลกำกับตลาดหุ้นนั้น ในช่วงเวลานี้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสูงสุดเกือบทั้งหมด จากคนที่ “ไม่สนับสนุนตลาดหุ้น” หรือมองว่า “ตลาดหุ้นเป็นของคนรวยที่มีเงินและเห็นแก่ได้” และ “ตลาดหุ้นไม่ได้มีความสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ” เป็นคนที่น่าจะเข้าใจตลาดหุ้นได้ดีกว่า และที่สำคัญ พร้อมที่จะพัฒนาตลาดหุ้นให้เป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญแทนที่จะพยายามดูดเงินนักลงทุนผ่านระบบภาษีที่อาจจะทำลายตลาดหุ้นได้
เรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นก็คือ การเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาดหุ้น จากการเป็น “นักเก็งกำไร” เป็นหลัก ที่เน้นการเทรดหุ้นเพื่อทำกำไรอย่างรวดเร็ว กลายเป็น นักลงทุนที่เน้นผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งมีปันผลเป็นผลตอบแทนที่สำคัญมากหรือมากที่สุดในการเลือกหุ้นลงทุน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ หุ้นที่สามารถจ่ายปันผลในระดับ 5% ต่อปีและไม่ลดลงในอนาคตที่เห็นได้นั้นผมคิดว่ามีจำนวนไม่น้อยและมากพอที่จะถือเป็นกองทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้หวังผลเลิศได้
พูดง่าย ๆ นักลงทุนยุคหลังหุ้นยักษ์คอร์เนอร์แตกนั้น จะเป็นการลงทุนในยุคที่ตลาดหุ้นตกต่ำลงไปมากจนมีราคาไม่แพงหรือถูก และมีหุ้นที่มีคุณภาพดีพอใช้ที่มีผลประกอบการค่อนข้างยั่งยืน มีกำไรที่ดีและโตไปช้า ๆ ในระดับอาจจะแค่ 5-6% ต่อปี บริหารโดยผู้บริหารที่ดีมีบรรษัท ภิบาลสูงและรักษาผลประโยชน์ผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะรายย่อยทุกคนเท่าเทียมกัน โดยที่ความคาดหวังก็คือ สร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นหรือคนที่ลงทุนในหน่วยลงทุนได้ปีละประมาณ 7-8% โดยเฉลี่ย โดยมีปีที่ขาดทุนน้อยมาก
การกำกับดูแลตลาดหุ้นนั้น ผมคิดว่าจะต้อง “มีเหตุผล” และ “พอสมควร” ที่จะเป็นที่ยอมรับของนักลงทุน เช่น เรื่องของภาษีทุกชนิดที่เกี่ยวกับหุ้น เช่นเดียวกัน การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเองนั้น ผมคิดว่าจะต้อง “เปิดกว้าง” การห้ามหรือสร้างอุปสรรคไม่ให้ลงทุนนั้น ไม่มีประโยชน์
ต้องทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็น “ทางเลือก” ที่สำคัญของคนไทยทุกคน และผมเองในฐานะนักลงทุนขอตอบเลยว่า เราไม่มีทางทิ้งตลาดหุ้นไทยได้ และเราอยากเลือกลงทุนในตลาดหุ้นไทยถ้าโอกาสได้ผลตอบแทนมีพอสมควรด้วยความเสี่ยงโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการโกงต่ำ
หุ้นที่มีราคาร้อนแรงเกินไปและปรับตัวขึ้นลงแรงในลักษณะของการ “คอร์เนอร์หุ้น” ควรที่จะต้องถูกต่อต้านตั้งแต่เริ่มต้น เพราะนั่นไม่ส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศที่ว่าตลาดหุ้นไทยมีประสิทธิภาพที่ดีในการกำหนดราคาหุ้นทุกตัวให้มีความเหมาะสม การมี “หุ้นปั่น” เต็มไปหมดนั้นอาจจะดึงดูดให้คนเข้ามา “เล่นหุ้น” ในตลาดมาก ๆ แต่มันไม่ยั่งยืน เพราะในที่สุดคนที่เข้าไปเล่นจะเสียหายหนักและจะถอยหนีจากตลาดโดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการลงทุนในทรัพย์สินที่เติบโตและปลอดภัยพอสมควรเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเกษียณ
ข้อสรุปทั้งหมดก็คือ เตรียมตัวรับกับการที่หุ้นขนาดยักษ์คอร์เนอร์แตกที่จะทำให้ดัชนีตลาดตกลงมาแรง แต่ไม่ต้องหนีออกจากตลาดเพราะหุ้นขนาดใหญ่จำนวนมากราคาไม่แพงและสามารถลงทุนได้ โดยหุ้นที่ปันผลดีระดับ 5% ต่อปีและยั่งยืนจะช่วยให้หุ้นลงทุนของเราโดยเฉพาะถ้ามีการกระจายความเสี่ยงดีพอคือถือไว้หลายตัว จะเป็นพอร์ตลงทุนในระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนได้ปีละอาจจะ 6-7% แบบทบต้น โดยแต่ละปีพอร์ตจะไม่ค่อยขาดทุน
พฤติกรรมในตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้น โดยภาพใหญ่ก็คือ การเก็งกำไรจะน้อยลงและการลงทุนจะมากขึ้น หุ้นปั่น โดยเฉพาะการคอร์เนอร์หุ้นน่าจะลดน้อยลงถ้าหน่วยงานควบคุมสามารถป้องกันก่อนที่ฟองสบู่จะเกิดขึ้น
VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/
👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/