ความจริงที่โหดร้าย-ความรู้สึกที่สิ้นหวัง

0
1335

โลกในมุมมองของ Value Investor         1 มีนาคม 2568

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ครบ 2 เดือนของปี 2568 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1204 จุดหรือตกลงไปประมาณ 14% ซึ่งก็เป็นตลาดหุ้นที่ “แย่ที่สุดในโลก” นับจากต้นปี  ราคาของหุ้นจำนวนมาก  รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดของตลาดตกลงมาแรงมาก  บางตัวระดับหายนะแบบ  “คอร์เนอร์แตก”  

การตกลงมาของหุ้นนั้น  ดูเหมือนจะไม่เลือกว่าเป็นหุ้นแบบไหน  และบางทีก็ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุใดชัดเจน  ตัวอย่างเช่น  เรื่องของผลประกอบการซึ่งแน่นอนว่ามีผลต่อการขึ้นหรือลงของราคาหุ้น  หุ้นที่ผลประกอบการตกต่ำลงมากนั้น  ราคาก็มักจะ “ถล่ม” ทันที  แต่หุ้นบางตัวที่มีผลประกอบการที่ดี  บางทีดีมากจนน่าประทับใจ  แต่หุ้นก็ยังตกลงไปอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อมีการประกาศผลประกอบการ

นั่นเป็น “ความจริงที่โหดร้าย” สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานของกิจการรวมถึงเหล่า VI ที่ประเมินและคาดการณ์ผลการดำเนินการของบริษัท  และมักจะจดจ้องกับการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัททุกไตรมาศ  ถ้าประกาศออกมาดีตอนปิดตลาด  ปกติพวกเขาก็จะมีความสุขและนอนหลับสบายทั้งคืนและบางทีก็ฝันว่า  “พรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์หนอ?”  

แต่เมื่อตลาดเปิด  สิ่งที่พบกลับกลายเป็นว่าราคาหุ้นร่วงลงไปแรง  ทั้ง ๆ  ที่ 2 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นก็ทยอยตกลงมาเรื่อย ๆ  อยู่แล้ว  บางทีการประกาศผลประกอบการที่ดีอาจจะทำให้มีคนสนใจเข้ามาไล่ราคากันมาก   และนั่นอาจจะเป็นโอกาสที่คนที่ “จ้องขายหุ้น” ตัวนั้นมาอย่างต่อเนื่อง  ถือโอกาส “เทขาย” หุ้นจำนวนมากจนทำให้ราคาหุ้นตกลงไปทั้ง ๆ  ที่ผลประกอบการดูดีหรือดีมากก็ได้

อาการของการที่หุ้นมีข่าวดี  ไม่ว่าจะเป็นการประกาศผลประกอบการที่ดีหรือมีเรื่องราวดีดี  หรือแม้แต่ข่าวในภาพใหญ่เช่น  การประกาศลดดอกเบี้ยอ้างอิง  แล้วตลาดหุ้นโดยรวมกลับตกลงไปนั้น  ทำให้นักลงทุนจำนวนมากรู้สึก “เจ็บปวด” และ “สิ้นหวัง”  เพราะเขาไม่รู้ว่าอะไรจะทำให้หุ้นเขาขึ้นได้ถ้าไม่ใช่ผลประกอบการหรือข่าวดีของเศรษฐกิจที่จะทำให้บริษัทดีขึ้นไปในอนาคต  ในใจของเขานั้น  คงมีคำถามที่เขาตอบไม่ได้ว่า  “รออะไรอยู่?” หรือ “หวังอะไร?” จากการถือหุ้นลงทุน   ควรจะขายหุ้นหรือซื้อหุ้นในช่วงแห่งความโหดร้ายหรือสิ้นหวังนี้?

แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น  ผมอยากบรรยายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ  นี้ก่อนเพื่อให้เราเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและเราควรปฏิบัติหรือตอบสนองอย่างไรที่จะไม่ทำให้เราเสียหายจากสถานการของตลาดหุ้นที่กำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ –  จากการ “เก็งกำไร” อย่างรุนแรง  เป็นการลงทุนแบบที่เรียกว่า “VI” จริง ๆ  ที่เน้นการลงทุนระยะยาว  ที่ไม่ได้สนใจเรื่องราวสั้น ๆ  และแม้แต่ผลประกอบการสั้น ๆ  แค่รายไตรมาศหรือแม้แต่รายปี

ประเด็นแรกก็คือ  นโยบายรัฐที่มีการประกาศออกมาหรือที่คาดว่าจะมีมาตรการส่งเสริมตลาดหุ้นออกมานั้น  แทบจะไม่ได้มีผลต่อตลาดหุ้น  อุตสาหกรรมหรือตัวหุ้นเลย  บางทีหรือบ่อยครั้งตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นพอสมควร  เพราะนักลงทุน “มีความหวัง” ว่าโครงการจะแก้ปัญหาที่ทำให้หุ้นตกต่ำได้  แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันหรือแค่เดือนสองเดือน  ตลาดก็มักจะตกลงไปที่เดิมหรือต่ำกว่าเดิม  ยกตัวอย่างเช่น  การตั้งกองทุนวายุภักดิ์เพื่อให้เข้ามาซื้อหุ้นเพื่อพยุงราคา  เป็นต้น

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่นักธุรกิจและนักลงทุนเรียกร้องกันมากนั้น  เคยทำมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนและที่เพิ่งจะประกาศลดอีกครั้งเมื่อไม่กี่วันมานี้   ดูเหมือนว่าแทบไม่มีผลต่อราคาหรือดัชนีหุ้นเลย  จริงอยู่  หุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวอาจจะได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ซึ่งก็ทำให้หุ้นบางกลุ่มขึ้นและบางกลุ่มลง  โดยรวมแล้วก็อาจจะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปได้บ้าง  แต่ผ่านไปเพียง 2-3 วัน  ดัชนีก็กลับมาที่เก่า  แน่นอนว่าในภาคของเศรษฐกิจจริงก็คงมีผลอยู่บ้าง  แต่ในตลาดหุ้นของไทยวันนี้  อัตราดอกเบี้ยที่ลงมาแค่นี้  ไม่มีทางที่จะไปคัดง้างประเด็นอื่น ๆ  ที่ใหญ่กว่าได้

การประกาศกำไรรายไตรมาศหรือรายปีของบริษัทจดทะเบียนที่ดีหรือเลวร้ายนั้น  แน่นอนว่าต้องมีผลต่อราคาหุ้นในทางทฤษฎี  ว่าที่จริงคำว่า  “กำไรเป็นพ่อของทุกสถาบัน” หรือเป็น  “เจ้ามือตัวจริง” นั้น  ในอดีตที่การเก็งกำไรในตลาดหุ้นสูงมาก  และ/หรือมีการปั่นหุ้นโดยการคอร์เนอร์หุ้นจำนวนมาก  กำไรที่ประกาศออกมาดีนั้น  การันตีได้เลยว่าหุ้นจะต้อง “วิ่งระเบิด” โดยเฉพาะหุ้นที่เรียกว่าหุ้น Growth หรือหุ้นโตเร็วที่เป็นหุ้นยอดนิยมของนักลงทุนส่วนบุคคล

แต่ในช่วงแห่งการ “เปลี่ยนผ่าน” เมื่อเร็ว ๆ  นี้  ตัวเลขและอัตราการเติบโตของกำไรอาจจะไม่มีความหมาย  ต่อให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 30% แต่ถ้าค่า PE ของหุ้นยังสูงลิ่วระดับเกิน 50-60 เท่าขึ้นไป  หุ้นก็ตก  เพราะนักลงทุนอาจจะมองว่าอนาคตกำไรคงจะเติบโตช้าลง  อานิสงค์จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกหรือเศรษฐกิจของประเทศ  ดังนั้น  ค่า PE ที่สูงในระดับนั้นก็จะต้องลดลง  ซึ่งนั่นก็คือ  ราคาหุ้นจะต้องตกลงมา  กำไรที่เพิ่มขึ้น 30% ก็เอาไม่อยู่

ว่าที่จริง “หุ้นโตเร็ว” หลายตัวนั้น  กำไรยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย  อาจจะประมาณไม่เกิน 10% จากปีก่อน  แต่ราคาหุ้นกลับ “ทิ้งดิ่ง” แทบจะเป็นหายนะ  เพราะค่า PE ที่สูงลิ่ว 40-50 นั้น  นักลงทุนมองว่าอยู่ไม่ได้อีกต่อไป  บริษัทเปลี่ยนไปแล้ว  จากกิจการที่โตเร็ว  กลายเป็นกิจการที่โตช้าหรืออิ่มตัว  ค่า PE จะต้องปรับลงมาเหลือแค่อย่างมากก็ 20 เท่า  เป็นต้น

หุ้นของกิจการที่อิงกับเทคโนโลยี   หุ้นพลังงาน  หรือหุ้นเกี่ยวกับสุขภาพรวมถึงหุ้นที่เกี่ยวกับความสวยงาม  เป็นกลุ่มที่ได้รับความสนใจและได้คุณค่าสูงจากนักลงทุนที่ “ก้าวหน้า” มองไปถึงอนาคตที่สดใสของธุรกิจที่จะเติบโตเร็วขึ้น  และที่ผ่านมาราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นสะท้อนกับความสนใจนั้น  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผลประกอบการที่ผ่านมาก็เติบโตดีมาก  อย่างไรก็ตาม  หุ้นก็แพงขึ้นเรื่อย ๆ  จนมีค่า PE เทียบเท่ากับบริษัท “ระดับโลก” ทั้ง ๆ ที่กิจการก็เพียงแค่เป็นผู้ผลิตหรือนำความรู้หรืออุปกรณ์ไฮเท็คเข้ามาใช้

นาทีนี้เมื่อทุกอย่างเริ่ม “เย็นลง” หุ้นเท็คระดับโลกก็ปรับตัวลงโดยธรรมชาติเมื่อความกระตือรือร้นเริ่มจางลง  รวมถึงผลประกอบการที่ออกมาที่ไม่ได้โดดเด่นมากอย่างที่เคย  นักลงทุนต่างก็ลดความเสี่ยงโดยการขายหุ้นที่อาจจะมีกำไรสูงลิ่ว  พวกเขากลัวว่า “เดี๋ยวคอร์เนอร์จะแตก” จะขายไม่ทัน  และนั่นก็อาจจะทำให้คอร์เนอร์แตกทันทีเมื่อมีการประกาศผลประกอบการทั้ง ๆ  ที่กำไรก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายมาก  แต่ค่า PE ที่สูงถึง 50-60 เท่าขึ้นไปในยามนี้ราคาหุ้นจะอยู่ได้อย่างไร?

ประเด็นสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือ  เรื่องความหวังว่านักลงทุนต่างประเทศจะนำเงินกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังจากที่ขายสุทธิติดต่อกันมานับ 10 ปี เป็นเงินกว่าล้านล้านบาท  นักวิเคราะห์ไปพูดถึงประเด็นที่ว่านักลงทุนสถาบันใหญ่ ๆ  ของโลกหลังจากนี้ที่ได้กำไรจากตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะโยกเงินมาตลาดหุ้นเกิดใหม่รวมถึงไทย   ซึ่งก็จะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น  ว่าที่จริงในช่วงเร็ว ๆ  นี้ก็มีบางวันที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิจำนวนมาก  อย่างไรก็ตาม  พวกเขาเข้ามาวันสองวันแล้วก็มักจะออกไปสองสามสัปดาห์ในปริมาณที่มากกว่ามาก  ดังนั้นอย่าไปหวังอะไรจากนักลงทุนต่างชาติที่เขาน่าจะยังไม่เห็นว่าจะมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วยเหตุผลใด?

สำหรับประเด็นนี้ผมเองได้รับข้อมูลมาว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้มีการจัด “งานสัมมนาการลงทุนประจำปี” ที่เวียดนาม  มีคนเข้าร่วม 550 คน จาก 300 กว่ากองทุน  ในขณะที่งานแบบเดียวกันของไทยเมื่อเร็ว ๆ  นี้  มีคนมา 100 คนและมีกองทุนต่างประเทศเพียง 50 กอง  เพราะฉะนั้น  ปีนี้นักลงทุนต่างประเทศก็น่าจะยังคงขายหนักอีกเช่นเคย  อย่าไปหวังเลยว่าจะมา

มาถึงประเด็นสุดท้าย  แล้วตกลงเราจะเลือกลงทุนในหุ้นแบบไหนและตัวไหน?

คำตอบของผมคงจะใช้  “Rule of Thumb” หรือ “กฎหัวแม่มือ” มาตอบนั่นก็คือ เป็นเกณฑ์แบบคร่าว ๆ  ง่าย ๆ  ที่พอจะนำไปประเมินว่าหุ้นแต่ละตัวนั้นควรมีมูลค่าที่เหมาะสมไม่เกินกี่บาทโดนใช้สูตรความถูกความแพงที่อิงกับค่า PE ของหุ้นแต่ละตัว  โดยที่การประกาศงบหรือข่าวดีต่าง ๆ  ที่อาจจะเข้ามานั้น  เป็นประเด็นที่แทบไม่ถูกนำมาใช้  ยกเว้นแต่ว่ากำไรที่ประกาศออกมานั้นจะถูกนำมาคำนวณหาค่า PE เท่านั้น

สูตรของผมก็คือ  หุ้นที่มีคุณภาพปานกลาง  มีขนาดใหญ่พอและอยู่ในธุรกิจมานาน  ไม่ถูกดิสรัปท์ด้วยเทคโนโลยีใหม่  ตัวอย่างเช่น หุ้นแบ้งค์และสถาบันการเงินทั้งหลาย  ถ้ามีค่า PE ปกติไม่เกิน 10 เท่าเศษ ๆ  ก็อยู่ในเกณฑ์ลงทุนได้  ถ้าเกินไปในระดับ 15 เท่าต้องถือว่าแพงมากก็ขายทิ้ง  ไม่ต้องดูว่ากำไรล่าสุดเพิ่มขึ้นหรือลดลงด้วยซ้ำ

หุ้นที่ค่อนข้างดีในด้านของคุณภาพ  คือเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันเหนือกว่าคู่แข่งในระดับหนึ่งในช่วงเวลานี้  เช่น  เป็นหมายเลข 1 หรือ 2 ในอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยการตลาดในการแข่งขัน  ตัวอย่างเช่น  สินค้าอุปโภคและบริโภคที่ขายให้กับคนทั่วไป  แบบนี้ก็ให้ค่า PE ไม่เกิน 15 เท่า ถ้าจะซื้อลงทุน  และก็ต้องเป็นค่า PE “ปกติ” ซึ่งเราต้องประเมินและอาจจะคำนวณได้  เช่น  เอากำไร 5 ปีเฉลี่ยมาใช้  หรืออาจจะใช้ “กำไรต่อยอดขาย” ของอุตสาหกรรมมาคำนวณว่ากำไรควรจะเป็นเท่าไร  เป็นต้น

สุดท้ายคือ  หุ้นของกิจการที่โดดเด่นมาก  มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน  เป็นแนวซุปเปอร์สต็อกที่ชัดเจน  คู่แข่ง “แพ้ขาด” ไปแล้วและผู้เล่นใหม่ก็แทบจะเข้ามาแข่งไม่ได้  แบบนี้ก็ให้ค่า PE ไม่เกิน 20 เท่า

ทั้งหมดนั้นก็ต้องบอกว่าเป็นเกณฑ์ที่อนุรักษ์นิยม  เน้นความปลอดภัยสูงในยามที่โลกปั่นป่วนและวิกฤติอาจจะเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่นาน 


VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/

 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/