ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?

0
633

โลกในมุมมองของ Value Investor  15 มี.ค. 68

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง  การเมือง  เศรษฐกิจและตลาดหุ้นอเมริกาดูเหมือนว่าจะปั่นป่วนไม่น้อย  ทิศทางของอเมริกานั้น  ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาก  ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นอเมริกาในระยะยาวจะไปทางไหน  หุ้นจะขึ้นหรือลง  น่าลงทุนหรือไม่  ผมลองศึกษาข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์โดยอิงกับเหตุการณ์สำคัญและดัชนี S&P 500 ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนที่ดีที่สุด  โดยการมองย้อนหลังไปประมาณ 75 ปีซึ่งเป็นยุคที่อเมริกา “เปิดประเทศ” และกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นของโลกในทุกด้าน  ทั้งการทหาร  เศรษฐกิจ  การค้าและการเงินของโลก

เริ่มในปี 1949 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงโดยที่อเมริกาซึ่งเป็นฝ่ายผู้ชนะสงครามได้กลายเป็นผู้นำของประเทศ “โลกเสรี” อย่างเด็ดขาดและมีพละกำลังทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรง  อเมริกาได้เข้าไปช่วยประเทศโดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกให้ฟื้นตัวจากสงครามโดยโครงการ  “Marshall Plan” ที่ใช้เงินมหาศาล

ด้วยความคิดที่ว่า  ถ้าไม่ช่วย  ประเทศเหล่านั้นก็จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรง  ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนและโกรธแค้นและในที่สุดอาจจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามอย่างโซเวียต  สรุปก็คือ  อเมริกาที่เคย “อยู่เฉย ๆ  และไม่ยุ่งกับใคร” ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   กลายเป็นอเมริกาที่เข้าไป “ยุ่ง” หรือช่วยประเทศอื่น ๆ  ทั่วโลกโดยเฉพาะในฝ่ายของโลกเสรี  เหตุผลก็เพื่อที่จะต่อต้านคอมมิวนิสต์  โลกเข้าสู่ช่วง “สงครามเย็น” ที่ไม่รบกันด้วยอาวุธ  แต่รบกันด้วยเศรษฐกิจ  การค้าและอุดมการณ์ของแต่ละฝ่าย

“โลกเสรี” เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก  เยอรมันตะวันตกเติบโตมากในยุโรป  ญี่ปุ่นเติบโตมหาศาลในเอเชีย  กลายเป็นเศรษฐกิจอันดับ 3 และ 2 ของโลกอย่างรวดเร็ว  การค้าและเศรษฐกิจในกลุ่มโลกเสรีซึ่งรวมถึงประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในฝ่ายโลกเสรีเพิ่มขึ้นมหาศาลอานิสงค์สำคัญจากการช่วยเหลือของอเมริกา  และนั่นก็ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเติบโตตามไปด้วยอย่างยาวนาน  ซึ่งสะท้อนออกมาจากดัชนี S&P 500 

ในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 1949 ที่ดัชนีอยู่ในช่วง “ต่ำสุด” ที่ประมาณ 190 จุด มันปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ  และมีช่วงปรับตัวลงน้อยมากจนถึงเดือนพฤศจิกายน 1968 เป็นเวลาถึง 19.5 ปี ดัชนีขึ้นไปถึง 977 จุดหรือเป็นการเพิ่มขึ้นปีละ 8.8% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น  และนี่ก็คือยุคของความมั่งคั่งหลังสงครามโลกของอเมริกา  ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องยาวนานที่สุด

หลังจากปี 1968 สงครามเย็นก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ  เฉพาะอย่างยิ่งเกิดสงครามเวียตนามที่อเมริกาเข้าไปร่วมรบ “เต็มสตรีม” ซึ่งต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก  ในตะวันออกกลางก็มีสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มประเทศอาหรับซึ่งทำให้เกิดวิกฤติน้ำมันเพราะโอเปค องค์กรผู้ผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลกของฝ่ายอาหรับงดส่งน้ำมันให้อเมริกาเพื่อเป็นการประท้วง

ผลก็คือน้ำมันแพงขึ้นมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน  และสิ่งที่ตามมาก็คือ  เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมากเป็นประวัติการณ์เป็นตัวเลขสองหลักในปี 1974-75 และกลายเป็น  “Stagflation” คือเงินเฟ้อแต่คนตกงานเศรษฐกิจตกต่ำซึ่งทำให้คนเดือดร้อนกันมาก  เกิดการประท้วงใหญ่ในอเมริกา  คนต่อต้านสงครามและเกิดปรากฏการณ์ของคนที่ต่อต้านสังคมที่เรียกว่าพวก  “ฮิปปี้” ที่ไว้ผมยาว  ไม่ทำงาน  ทำตัวสกปรกและเสพกัญชาและยาเสพติดอื่นๆ 

ดัชนี S&P 500 ตกจาก 977 จุดในปี 1968 เป็นประมาณ 350 จุดในเดือนกรกฎาคม 1982 หรือตกลงมา 7.24% แบบทบต้น  ในช่วงเวลา 13.7 ปี กลายเป็นช่วง “ทศวรรษที่หายไป”  และในช่วงปี 1973-1974 ตลาดหุ้นก็เกิด “วิกฤติ” ด้วย  คือตกจาก 886 เหลือเพียง 400 จุด  หรือเป็นการตกลงมา 55% ในเวลา 2 ปี

นับจากปี 1982  “ยุคใหม่” ก็เริ่มขึ้น  สหรัฐได้ประธานาธิบดีคือโรนัลด์ เรแกน ที่ใช้

นโยบายเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า  “เรแกนโนมิคส์” ที่เน้นลดภาษี  ส่งเสริมการค้าเสรี  ลดบทบาทของรัฐในด้านเศรษฐกิจ  เพิ่มงบประมาณทหารเพื่อต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์  และก็เริ่มชนะ  จีนเริ่มปรับตัวเป็น “ทุนนิยม” หลังจากที่เศรษฐกิจไปไม่ไหวภายใต้การนำของเติ้งเสี่ยวผิงที่เริ่มเข้ามามีอำนาจแทนเหมาเจ๋อต๋งที่เสียชีวิตไป  เติ้งประกาศว่า “แมวขาวหรือแมวดำก็ไม่สำคัญถ้ามันจับหนูได้” 

ที่สำคัญก็คือ  คอมมิวนิสต์โซเวียตเองก็ล่มสลายลงในปี 1991 โลกกำลังเป็น  “Globalized” หรือเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลกโดยมีอเมริกาเป็น “ผู้นำหนึ่งเดียว” ทุกประเทศเลิกทำสงครามแต่ทำการค้ากับทุกประเทศ  และทำผ่านการสื่อสารและการจัดการยุคใหม่ที่มีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเป็นตัวนำ

ดัชนี S&P พุ่งขึ้นแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน  จาก 350 จุดในปี 1982 กลายเป็นจุดสูงสุด 2,803 จุด ในเดือนสิงหาคมปี 2000 คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มปีละ 12.2% แบบทบต้น เป็นเวลายาวนานถึง 18.1 ปี โดยที่แทบไม่มีช่วงเวลาสะดุด  ถือว่าเป็นยุคทองของตลาดหุ้นอเมริกา

แต่เวลาดีสุดยอดก็ดับลงในชั่ว “ข้ามคืน” อาจจะเพราะมันร้อนแรงเกินไปโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม “ไฮเท็ค” หรือเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกลุ่ม  “Dot-com” ที่ “กำลังเปลี่ยนโลก” ที่ราคาหุ้น “ร้อนแรงเป็นไฟ”  ดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้น 800% ในเวลาเพียง 5 ปี ซึ่งในที่สุดฟองสบู่ก็แตก และนั่นทำให้ดัชนี S&P หลังเดือนสิงหาคม ปี 2000 ตกลงมาแบบวิกฤติเหลือ 1,437 จุด หรือลดลงมาประมาณ 49% ในเวลา 2 ปี  และก็เกิดวิกฤติอีกครั้งในปี 2007 ที่ดัชนีตกลงมาจาก 2,366 จุดเหลือเพียง 1,107 จุดในเดือนมีนาคม 2009 หรือลดลง 53% จากวิกฤติซับไพร์ม

โดยรวมแล้ว  ช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2000 ถึงกุมภาพันธ์ 2009 เป็นเวลา 8.5 ปี ดัชนี S&P 500 ตกจาก 2,803 เหลือ 1,107 จุด หรือลดลงปีละ 10.37% ต่อปีแบบทบต้น  โดยที่ในระหว่างนั้น  เกิดวิกฤติที่ทำให้ดัชนีตกลงมาประมาณ 50% ถึง 2 ครั้ง  และนับเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายสำหรับนักลงทุนมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์  และเหตุผลส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะดัชนีหุ้นอยู่ในระดับที่สูงเกินไปหลังจากที่ดัชนีดีต่อเนื่องมานานมาก

จากปี 2009 เป็นต้นมาจนถึงเดือนพฤจิกายนปี 2024  เป็นเวลาถึง 15.8 ปี เศรษฐกิจของสหรัฐเติบโตได้ดีและมั่นคงมาก  การเติบโตนั้นนำโดยหุ้นไฮเทคและดิจิทัลที่ปฎิวัติการใช้ชีวิตและการทำงานของผู้คนทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน  เทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่เริ่มปรากฏตัวขึ้นมานั้น  พัฒนาขึ้นถึงจุดที่ถูกนำมาใช้งานได้จริง  เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองก็เริ่มออกสู่ท้องถนน  ไม่ต้องพูดถึงพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้นแพร่หลายและจะเปลี่ยนโลกในอนาคตไปสู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืน  ในขณะที่ดอกเบี้ยอยู่ในอัตราที่ต่ำเป็นประวัติการณ์อย่างยาวนาน

ทั้งหมดนั้นทำให้ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งมาตลอดจาก 1,107 จุด เป็น 6,093 จุดที่เป็นจุดสูงสุดและให้ผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 11.44% ต่อปีติดต่อกันถึง 15.8 ปี โดยที่มีช่วงหุ้นตกน้อยมาก  ยกเว้นก็เฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ดัชนีตกลงมาสั้น ๆ  เพียงไม่กี่เดือนและช่วงหลังโควิดจบที่มีการปรับตัวลงบ้าง  แต่โดยรวมแล้วช่วงเวลาถึงเกือบ 16 ปีหลังนี้ต้องถือว่าเป็นยุคทองของหุ้นจริง ๆ 

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้  ดัชนี S&P ตกลงมาแล้วประมาณ 7-8% ในขณะที่ดัชนี NASDAQ ลดลงมาประมาณ 11-12% ในเวลาแค่ 2-3 เดือน  หลายคนอาจจะบอกว่ามันน่าจะเป็นการปรับตัวปกติหรือ  “Correction” แต่ผมเองมองว่านี่อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับ “ภาพใหญ่” ที่ดัชนีจะเปลี่ยนทิศเป็นการตกลงมาระยะยาวอาจจะเป็น 10 ปี

เพราะประเด็นก็คือ  อเมริกาต่อจากนี้อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นสู่ตำแหน่งในวาระที่สองที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญที่ดูเหมือนว่าจะคำนึงถึงอเมริกาก่อน  โดยการประกาศ “สงครามการค้า” กับแทบจะทุกประเทศทั่วโลก  ซึ่งนั่นก็จะทำให้อเมริกาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2  ซึ่งอาจจะกระทบกับเศรษฐกิจและการเมืองของอเมริกามาก

การเจริญเติบโตจะช้าลง  เช่นเดียวกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจจะพ่ายแพ้แก่จีน  การเป็นผู้นำที่สร้างผลดีและอำนาจให้แก่อเมริกามายาวนานอาจจะถดถอยลง  แทนที่จะยิ่งใหญ่อย่างที่คิดก็กลายเป็นการด้อยลงเพราะไม่มีประเทศอื่นเป็น  “ผู้ตาม” อย่างที่เคย

นั่นก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องยาวนานและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติเริ่มปรับตัวลดลงและจะลดลงเรื่อย ๆ  คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต  และอาจจะยาวเป็น 10 ปีจนกลายเป็น “Lost Decade” หรือเป็นทศวรรษที่หายไปของการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา

แน่นอนว่าผมมีโอกาสผิดสูง  โดยเฉพาะในเรื่องของเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น  แต่ถ้ามองจากสถิติที่ผมกล่าว  โอกาสที่จะเกิดก็มีไม่น้อย  อย่างไรก็ตาม  เราคงไม่รู้จนกว่าจะถึงปี 2034 ว่าดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ไหน  ในระหว่างนี้ก็ควรจะต้องระวังบ้างเหมือนกัน  เพราะสตอรี่ที่จะเกิด Lost Decade นั้นมีน้ำหนักพอสมควร   


VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/

👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/