โลกในมุมมองของ Value Investor 15 มี.ค. 68
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง การเมือง เศรษฐกิจและตลาดหุ้นอเมริกาดูเหมือนว่าจะปั่นป่วนไม่น้อย ทิศทางของอเมริกานั้น ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นอเมริกาในระยะยาวจะไปทางไหน หุ้นจะขึ้นหรือลง น่าลงทุนหรือไม่ ผมลองศึกษาข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์โดยอิงกับเหตุการณ์สำคัญและดัชนี S&P 500 ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนที่ดีที่สุด โดยการมองย้อนหลังไปประมาณ 75 ปีซึ่งเป็นยุคที่อเมริกา “เปิดประเทศ” และกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นของโลกในทุกด้าน ทั้งการทหาร เศรษฐกิจ การค้าและการเงินของโลก
เริ่มในปี 1949 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงโดยที่อเมริกาซึ่งเป็นฝ่ายผู้ชนะสงครามได้กลายเป็นผู้นำของประเทศ “โลกเสรี” อย่างเด็ดขาดและมีพละกำลังทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรง อเมริกาได้เข้าไปช่วยประเทศโดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกให้ฟื้นตัวจากสงครามโดยโครงการ “Marshall Plan” ที่ใช้เงินมหาศาล
ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าไม่ช่วย ประเทศเหล่านั้นก็จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรง ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนและโกรธแค้นและในที่สุดอาจจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามอย่างโซเวียต สรุปก็คือ อเมริกาที่เคย “อยู่เฉย ๆ และไม่ยุ่งกับใคร” ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นอเมริกาที่เข้าไป “ยุ่ง” หรือช่วยประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะในฝ่ายของโลกเสรี เหตุผลก็เพื่อที่จะต่อต้านคอมมิวนิสต์ โลกเข้าสู่ช่วง “สงครามเย็น” ที่ไม่รบกันด้วยอาวุธ แต่รบกันด้วยเศรษฐกิจ การค้าและอุดมการณ์ของแต่ละฝ่าย
“โลกเสรี” เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก เยอรมันตะวันตกเติบโตมากในยุโรป ญี่ปุ่นเติบโตมหาศาลในเอเชีย กลายเป็นเศรษฐกิจอันดับ 3 และ 2 ของโลกอย่างรวดเร็ว การค้าและเศรษฐกิจในกลุ่มโลกเสรีซึ่งรวมถึงประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในฝ่ายโลกเสรีเพิ่มขึ้นมหาศาลอานิสงค์สำคัญจากการช่วยเหลือของอเมริกา และนั่นก็ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเติบโตตามไปด้วยอย่างยาวนาน ซึ่งสะท้อนออกมาจากดัชนี S&P 500
ในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 1949 ที่ดัชนีอยู่ในช่วง “ต่ำสุด” ที่ประมาณ 190 จุด มันปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ และมีช่วงปรับตัวลงน้อยมากจนถึงเดือนพฤศจิกายน 1968 เป็นเวลาถึง 19.5 ปี ดัชนีขึ้นไปถึง 977 จุดหรือเป็นการเพิ่มขึ้นปีละ 8.8% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น และนี่ก็คือยุคของความมั่งคั่งหลังสงครามโลกของอเมริกา ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องยาวนานที่สุด
หลังจากปี 1968 สงครามเย็นก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เฉพาะอย่างยิ่งเกิดสงครามเวียตนามที่อเมริกาเข้าไปร่วมรบ “เต็มสตรีม” ซึ่งต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ในตะวันออกกลางก็มีสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มประเทศอาหรับซึ่งทำให้เกิดวิกฤติน้ำมันเพราะโอเปค องค์กรผู้ผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลกของฝ่ายอาหรับงดส่งน้ำมันให้อเมริกาเพื่อเป็นการประท้วง
ผลก็คือน้ำมันแพงขึ้นมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน และสิ่งที่ตามมาก็คือ เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมากเป็นประวัติการณ์เป็นตัวเลขสองหลักในปี 1974-75 และกลายเป็น “Stagflation” คือเงินเฟ้อแต่คนตกงานเศรษฐกิจตกต่ำซึ่งทำให้คนเดือดร้อนกันมาก เกิดการประท้วงใหญ่ในอเมริกา คนต่อต้านสงครามและเกิดปรากฏการณ์ของคนที่ต่อต้านสังคมที่เรียกว่าพวก “ฮิปปี้” ที่ไว้ผมยาว ไม่ทำงาน ทำตัวสกปรกและเสพกัญชาและยาเสพติดอื่นๆ
ดัชนี S&P 500 ตกจาก 977 จุดในปี 1968 เป็นประมาณ 350 จุดในเดือนกรกฎาคม 1982 หรือตกลงมา 7.24% แบบทบต้น ในช่วงเวลา 13.7 ปี กลายเป็นช่วง “ทศวรรษที่หายไป” และในช่วงปี 1973-1974 ตลาดหุ้นก็เกิด “วิกฤติ” ด้วย คือตกจาก 886 เหลือเพียง 400 จุด หรือเป็นการตกลงมา 55% ในเวลา 2 ปี
นับจากปี 1982 “ยุคใหม่” ก็เริ่มขึ้น สหรัฐได้ประธานาธิบดีคือโรนัลด์ เรแกน ที่ใช้
นโยบายเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “เรแกนโนมิคส์” ที่เน้นลดภาษี ส่งเสริมการค้าเสรี ลดบทบาทของรัฐในด้านเศรษฐกิจ เพิ่มงบประมาณทหารเพื่อต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ และก็เริ่มชนะ จีนเริ่มปรับตัวเป็น “ทุนนิยม” หลังจากที่เศรษฐกิจไปไม่ไหวภายใต้การนำของเติ้งเสี่ยวผิงที่เริ่มเข้ามามีอำนาจแทนเหมาเจ๋อต๋งที่เสียชีวิตไป เติ้งประกาศว่า “แมวขาวหรือแมวดำก็ไม่สำคัญถ้ามันจับหนูได้”
ที่สำคัญก็คือ คอมมิวนิสต์โซเวียตเองก็ล่มสลายลงในปี 1991 โลกกำลังเป็น “Globalized” หรือเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลกโดยมีอเมริกาเป็น “ผู้นำหนึ่งเดียว” ทุกประเทศเลิกทำสงครามแต่ทำการค้ากับทุกประเทศ และทำผ่านการสื่อสารและการจัดการยุคใหม่ที่มีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเป็นตัวนำ
ดัชนี S&P พุ่งขึ้นแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จาก 350 จุดในปี 1982 กลายเป็นจุดสูงสุด 2,803 จุด ในเดือนสิงหาคมปี 2000 คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มปีละ 12.2% แบบทบต้น เป็นเวลายาวนานถึง 18.1 ปี โดยที่แทบไม่มีช่วงเวลาสะดุด ถือว่าเป็นยุคทองของตลาดหุ้นอเมริกา
แต่เวลาดีสุดยอดก็ดับลงในชั่ว “ข้ามคืน” อาจจะเพราะมันร้อนแรงเกินไปโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม “ไฮเท็ค” หรือเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกลุ่ม “Dot-com” ที่ “กำลังเปลี่ยนโลก” ที่ราคาหุ้น “ร้อนแรงเป็นไฟ” ดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้น 800% ในเวลาเพียง 5 ปี ซึ่งในที่สุดฟองสบู่ก็แตก และนั่นทำให้ดัชนี S&P หลังเดือนสิงหาคม ปี 2000 ตกลงมาแบบวิกฤติเหลือ 1,437 จุด หรือลดลงมาประมาณ 49% ในเวลา 2 ปี และก็เกิดวิกฤติอีกครั้งในปี 2007 ที่ดัชนีตกลงมาจาก 2,366 จุดเหลือเพียง 1,107 จุดในเดือนมีนาคม 2009 หรือลดลง 53% จากวิกฤติซับไพร์ม
โดยรวมแล้ว ช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2000 ถึงกุมภาพันธ์ 2009 เป็นเวลา 8.5 ปี ดัชนี S&P 500 ตกจาก 2,803 เหลือ 1,107 จุด หรือลดลงปีละ 10.37% ต่อปีแบบทบต้น โดยที่ในระหว่างนั้น เกิดวิกฤติที่ทำให้ดัชนีตกลงมาประมาณ 50% ถึง 2 ครั้ง และนับเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายสำหรับนักลงทุนมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และเหตุผลส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะดัชนีหุ้นอยู่ในระดับที่สูงเกินไปหลังจากที่ดัชนีดีต่อเนื่องมานานมาก
จากปี 2009 เป็นต้นมาจนถึงเดือนพฤจิกายนปี 2024 เป็นเวลาถึง 15.8 ปี เศรษฐกิจของสหรัฐเติบโตได้ดีและมั่นคงมาก การเติบโตนั้นนำโดยหุ้นไฮเทคและดิจิทัลที่ปฎิวัติการใช้ชีวิตและการทำงานของผู้คนทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน เทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่เริ่มปรากฏตัวขึ้นมานั้น พัฒนาขึ้นถึงจุดที่ถูกนำมาใช้งานได้จริง เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองก็เริ่มออกสู่ท้องถนน ไม่ต้องพูดถึงพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้นแพร่หลายและจะเปลี่ยนโลกในอนาคตไปสู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืน ในขณะที่ดอกเบี้ยอยู่ในอัตราที่ต่ำเป็นประวัติการณ์อย่างยาวนาน
ทั้งหมดนั้นทำให้ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งมาตลอดจาก 1,107 จุด เป็น 6,093 จุดที่เป็นจุดสูงสุดและให้ผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 11.44% ต่อปีติดต่อกันถึง 15.8 ปี โดยที่มีช่วงหุ้นตกน้อยมาก ยกเว้นก็เฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ดัชนีตกลงมาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือนและช่วงหลังโควิดจบที่มีการปรับตัวลงบ้าง แต่โดยรวมแล้วช่วงเวลาถึงเกือบ 16 ปีหลังนี้ต้องถือว่าเป็นยุคทองของหุ้นจริง ๆ
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ ดัชนี S&P ตกลงมาแล้วประมาณ 7-8% ในขณะที่ดัชนี NASDAQ ลดลงมาประมาณ 11-12% ในเวลาแค่ 2-3 เดือน หลายคนอาจจะบอกว่ามันน่าจะเป็นการปรับตัวปกติหรือ “Correction” แต่ผมเองมองว่านี่อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับ “ภาพใหญ่” ที่ดัชนีจะเปลี่ยนทิศเป็นการตกลงมาระยะยาวอาจจะเป็น 10 ปี
เพราะประเด็นก็คือ อเมริกาต่อจากนี้อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นสู่ตำแหน่งในวาระที่สองที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญที่ดูเหมือนว่าจะคำนึงถึงอเมริกาก่อน โดยการประกาศ “สงครามการค้า” กับแทบจะทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งนั่นก็จะทำให้อเมริกาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอาจจะกระทบกับเศรษฐกิจและการเมืองของอเมริกามาก
การเจริญเติบโตจะช้าลง เช่นเดียวกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจจะพ่ายแพ้แก่จีน การเป็นผู้นำที่สร้างผลดีและอำนาจให้แก่อเมริกามายาวนานอาจจะถดถอยลง แทนที่จะยิ่งใหญ่อย่างที่คิดก็กลายเป็นการด้อยลงเพราะไม่มีประเทศอื่นเป็น “ผู้ตาม” อย่างที่เคย
นั่นก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องยาวนานและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติเริ่มปรับตัวลดลงและจะลดลงเรื่อย ๆ คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และอาจจะยาวเป็น 10 ปีจนกลายเป็น “Lost Decade” หรือเป็นทศวรรษที่หายไปของการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา
แน่นอนว่าผมมีโอกาสผิดสูง โดยเฉพาะในเรื่องของเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น แต่ถ้ามองจากสถิติที่ผมกล่าว โอกาสที่จะเกิดก็มีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม เราคงไม่รู้จนกว่าจะถึงปี 2034 ว่าดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ไหน ในระหว่างนี้ก็ควรจะต้องระวังบ้างเหมือนกัน เพราะสตอรี่ที่จะเกิด Lost Decade นั้นมีน้ำหนักพอสมควร
VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/
👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/