ตลาดหุ้นเวียดนามมุ่งสู่ทศวรรษทอง?

0
972

โลกในมุมมองของ Value Investor   22 มี.ค. 68

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สัปดาห์ก่อนผมเขียนบทความเรื่อง  “ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?” ก็ได้รับคำถามจากนักลงทุนที่น่าจะลงทุนในตลาดเวียดนามว่า  “แล้วตลาดหุ้นเวียดนามจะเป็นอย่างไร”  เพราะเวียดนามอาจจะอยู่ในรายชื่อของประเทศที่จะถูกอเมริกาขี้นภาษีสินค้านำเข้า

เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐมาก  ตลาดหุ้นเวียดนามจะมีปัญหามากไหมหลังจากการประกาศรายชื่อรอบต่อมาของประเทศที่จะถูกขึ้น “บัญชีดำ” ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้?

คำตอบเบื้องต้นของผมก็คือ  ผมไม่รู้  ผมรู้แต่ว่าเมื่อจีนถูกปรับขึ้นภาษีรอบแรกที่ประมาณ 10%  ตลาดหุ้นจีนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตอบสนองอะไร  เพราะเรื่องนี้ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกเล่นงาน  ตลาดหุ้นรับรู้ข่าวนี้มาหลายเดือนแล้วเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะถูกปรับขึ้นขนาดไหน  ถ้าปรับขี้นไม่ได้มากกว่าที่คาด  ตลาดหุ้นก็จะไม่ตกลงมา  ดังนั้น  กรณีของเวียดนาม  เราก็คงจะต้องดูกันต่อไปว่าตลาดจะขึ้นหรือลงในช่วงเวลาสั้น ๆ  หลังการประกาศ

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมก็คือ  ในระยะยาว  การค้าขายระหว่างเวียดนามกับอเมริกาและประเทศอื่นจะดีขึ้นหรือแย่ลง  เหตุผลก็เพราะว่าเวียดนามนั้นอาศัยการส่งออกสินค้าเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของตนเองมาก  และที่ GDP ของเวียดนามโตเอา ๆ  ในช่วงอย่างน้อย 10 ปีที่ผ่านมานั้นก็เพราะเวียดนามมีความสามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการที่แข่งขันได้  มีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งในขณะที่คุณภาพไม่แพ้คนอื่น  และทั้งหมดนั้นเป็นเพราะศักยภาพของคนเวียดนามที่สูงและมีกำลังแรงงานที่เพิ่มขึ้นและจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอีกอย่างน้อย 10 ปีข้างหน้า

ความเห็นของผมก็คือ  ถ้าไม่นับเรื่องของสงครามการค้าและ  “ระเบียบโลกใหม่” ที่หลายคนพูดว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็น Globalized คือเปิดกว้างและไม่มีกำแพงขวางกั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ  กลายเป็นโลกที่ปิดตัวลงไปมากด้วยการตั้งกำแพงภาษีที่ทรัมป์กำลังทำ  เวียดนามก็จะต้องเจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็วแบบ “ไม่มีอะไรมาขวางได้”   อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศอุตสาหกรรมใหม่คือ ใต้หวัน  เกาหลี  ฮ่องกง และสิงคโปร์เมื่อซัก 5-60 ปีก่อน  และเกิดขึ้นกับมาเลเซีย  ไทย  และอีกหลายประเทศในอาเซียน เมื่อประมาณซัก 40 ปีก่อน

คำถามที่ต้องการคำตอบก็คือ  สงครามการค้ารอบนี้สุดท้ายจะเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของสินค้าในโลกนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญแค่ไหน?  ถ้าสินค้าก็ยังเคลื่อนไหวเหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนประเทศไป เช่น  จากเดิมสินค้า ก. ผลิตจากจีนและส่งไปอเมริกา  ต่อไปกลายเป็นผลิตจากเวียดนามและส่งไปอเมริกาแทน  ในกรณีแบบนี้  เศรษฐกิจของเวียดนามไม่ได้แย่ลงแต่อาจจะดีขึ้นด้วยซ้ำ

แต่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบที่ว่าสินค้านั้นแทนที่จะผลิตในจีนและส่งไปขายให้อเมริกา  กลายเป็นว่าอเมริกาผลิตเองและขายให้คนในประเทศ  แบบนี้การค้าระหว่างประเทศก็จะลดลง  เวียดนามเองก็จะส่งออกสินค้าได้น้อยลง  การเติบโตของเศรษฐกิจก็จะลดลง  แบบนี้เวียดนามเสียหายแน่

ผมเองคิดว่าฉากทัศน์น่าจะเป็นแบบแรก  เพราะอเมริกาคงไม่สามารถสร้างโรงงานเพื่อที่จะผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลเพื่อป้อนให้กับคนอเมริกันได้ทัน  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  นักธุรกิจและนักลงทุนเองก็ไม่อยากสร้าง  เพราะผลตอบแทนของการผลิตและขายสินค้าที่ไม่ได้เป็นไฮเท็คนั้นค่อนข้างต่ำในขณะที่ต้นทุนการผลิตเองก็สูงเนื่องจากค่าแรงของคนอเมริกันสูงมาก  ต่อให้ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ  ต้นทุนก็สู้ประเทศอย่างจีนหรือเวียดนามไม่ได้  ว่าที่จริงปัจจุบันนี้โรงงานในประเทศอย่างเวียดนามก็น่าจะใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติแพร่หลายอยู่แล้ว

หน้าที่ของเวียดนามตอนนี้ก็คือ  การพยายามทำตัวให้เป็นคนที่ “ไม่เอาเปรียบอเมริกา” เพื่อที่ว่าอเมริกาจะนำเข้าสินค้าจากเวียดนามแทนจีนและ/หรือประเทศอื่นที่ถูกอเมริกาขึ้นภาษีศุลกากรอย่างหนัก

เวียดนามไม่รอให้อเมริกาประกาศขึ้นภาษีตนเอง  แต่ประกาศจะซื้อเครื่องบินพาณิชย์จากโบอิงหลายร้อยลำ  ก๊าซธรรมชาติและพลังงานอื่น ๆ  รวมถึงการซื้ออาวุธบางส่วน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะลดการได้เปรียบดุลการค้ากับอเมริกาโดยไม่ต้องให้อเมริกามาเจรจา เป็นการ “เอาใจสุด ๆ” ที่ไม่มีประเทศไหนทำ

เวียดนามยังพยายามเชิญชวนนักธุรกิจอเมริกันให้มาลงทุนและทำธุรกิจกับเวียดนามซึ่งก็ประสบความสำเร็จมาก  เมื่อไม่กี่วันมานี้  นักธุรกิจชั้นนำของอเมริกาจำนวนหลายสิบคนมาเยี่ยมเยือนเวียดนาม  พวกเขาเห็นศักยภาพของเวียดนามและเห็นโอกาสที่จะทำธุรกิจหลากหลายซึ่งรวมถึงธุรกิจที่สามารถส่งกลับไปที่อเมริกาได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ทรัมป์เองก็มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในเวียดนาม  นี่ก็เป็นภาพที่ไม่เห็นในประเทศอื่นเช่นกัน

เวียดนามยังพยายามทำให้เป็นตัวเลือกของอเมริกาในด้านของการเป็นเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการสนับสนุนหรือเป็น  Supplier ของสินค้า ไฮเท็คให้อเมริกาแทนจีน  เห็นได้จากการที่เจนเซ่น หวง CEO ของ NVIDIA ได้ไปเยี่ยมเยืยนและทำธุรกิจกับเวียดนามโดยการขายชิพ AI ที่หาได้ยากในท้องตลาดให้กับ FPT บริษัทไฮเท็คยักษ์ใหญ่ของเวียดนาม  ภาพของเจนเซ่นหวงนั่งกินอาหารสตรีทฟู้ดกับนายกรัฐมนตรีเวียดนามนั้นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเวียดนามนั้น  น่าจะเป็นคนที่ได้รับมากกว่าที่จะเสียประโยชน์จากสงครามการค้า

เวียดนามยังทำมากกว่านั้น  จริงอยู่ว่านี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของสงครามการค้าที่จะกระทบกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศ  พวกเขากำลังพยายามปฏิรูปประเทศในทุกด้านตั้งแต่เรื่องคอร์รัปชั่นที่มีการปราบปรามอย่างเต็มที่จนคะแนนสูงกว่าไทยไปแล้ว  ไม่ต้องพูดถึงการศึกษาที่พยายามเน้นการเรียนทางด้าน  STEM หรือสาย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่จำเป็นสำหรับการผลิตและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ 

และที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่วันมานี้ที่ “น่าทึ่ง” ก็คือการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินแนวเดียวกับที่ทรัมป์และอีลอนมัสก์ทำนั่นก็คือ  ลดความซ้ำซ้อนและความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานโดยการลดจำนวนกระทรวงต่าง ๆ  ลง  ลดจำนวนจังหวัดลงประมาณครึ่งหนึ่ง  ลดหน่วยงานระดับท้องถิ่น 60-70%  ลดหน่วยงานในภาครัฐลง 1 ใน 3 และตำแหน่งงานในภาครัฐ 1 ใน 5 จะถูกปลดออกภายใน 5 ปี  เป็นต้น  ทั้งหมดนี้ผมเองไม่เคยเห็นเลยในประเทศคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมที่มีแต่จะเพิ่มจำนวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อควบคุมหรือสอดส่องประชาชนเป็นหลัก

มาถึงเรื่องตลาดหุ้นก็มีพัฒนาการที่น่าจะกำลังเกิดขึ้นเร็ว ๆ  นี้นั่นก็คือ  การมาของระบบซื้อ-ขายหุ้นที่ทันสมัยสามารถรองรับการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง  และการที่ตลาดหุ้นจะถูกยกระดับขึ้นเป็นตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับการรับรองจากฟุตซี่และ MSCI ที่จะทำให้กองทุนขนาดใหญ่ของโลกสามารถเข้ามาลงทุนได้  นอกจากนั้น  นักลงทุนส่วนบุคคลในประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและถึงนาทีนี้ก็น่าจะสูงกว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปแล้ว

รัฐบาลเองนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงโดยการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศโดยการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนโดยเฉพาะแนวไฮเท็คเต็มที่  เป้าหมายการส่งออกและการเจริญเติบโตของ GDP สำหรับปีนี้และปีต่อไปสูงลิ่วที่ประมาณ 6-7% ขึ้นไปและนับถึงวันนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้แม้ว่าโลกของการค้ากำลังปั่นป่วนด้วยสงครามการค้า

และที่แปลกไปกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นหลาย ๆ  แห่งก็คือ  เวียดนามไม่พูดถึงเรื่องการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยการแจกเงินหรือทำโครงการเร่งด่วนที่จะช่วยให้เศรษฐกิจโตเร็วขึ้นหรือป้องกันไม่ให้ถดถอยลงไปมาก  พวกเขามีโครงการใหญ่มหึมาที่จะช่วยยกระดับสาธารณูปโภค  เช่น  รถไฟความเร็วสูง  สนามบินและอื่น ๆ ที่ต้องใช้เวลาหลายปี  และพวกเขาก็จะทำได้เพราะหนี้ของประชาชนและหนี้ของประเทศยังต่ำมาก

ข้อสรุปของผมก็คือ  เวียดนามวันนี้มีความแข็งแรงและแข็งแกร่งมาก  และอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ที่ดีมากเพราะไม่ได้เป็นฝ่ายไหนเลยแต่สนิทกับทั้งอเมริกาและจีนที่ต่างก็ต้องการเวียดนามเป็นพวก

ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามนั้น  เติบโตดีอย่างมั่นคงมา 2 ปีแล้วโดยปี 2023 ปรับตัวขึ้นประมาณ  13% และปี  2024 ขึ้นอีก 12%  ไม่รวมปันผล  จากต้นปี 2025 ถึงวันที่ 21 มีนาคม  ดัชนีขึ้นมาแล้วประมาณ 4% และอยู่ที่ 1,322 จุด และสูงกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2518 หรือ 50 ปีแล้ว  ในขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามเปิดมาแค่ 25 ปี

ถ้าถามผมว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะเป็นอย่างไรในระยะยาว  เช่น 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร  คำตอบของผมก็คือ  ตลาดหุ้นเวียดนามนั้น  น่าจะกำลังมุ่งเข้าสู่  “ทศวรรษทอง” คือเติบโตต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 8 ปี  โดยที่สงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้นนั้นอาจจะทำให้ดัชนีตกลงไปบ้าง  แต่หลังจากนั้นมันก็จะขึ้นต่อไปตามศักยภาพของประเทศและบริษัทจดทะเบียนที่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ  อย่างไรก็ตาม  นี่คือการคาดการณ์ที่มีโอกาสผิดพลาดสูงพอสมควรโดยเฉพาะในช่วงที่โลกอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน