โลกในมุมมองของ Value Investor 30 มี.ค. 68
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่น่าสนใจเกิดขึ้นในตลาดหุ้นที่กำลัง “เหี่ยวเฉา” ลงเรื่อย ๆ นั่นก็คือ หุ้นแบ้งค์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งประกาศจ่ายปันผลเพิ่มเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากปันผลปกติประจำปีจำนวน 2.5 บาทต่อหุ้น
หลังจากประกาศ ราคาหุ้นในตลาดก็ปรับตัวขึ้น 3.5 บาทในวันแรก และหลังจากวันนั้นหุ้นก็ยังปรับตัวขึ้นไปอีก 4 วันที่ 3.5 1.5 3 และ 3.5 บาท ตามลำดับ รวมแล้วหุ้นขึ้นไป 5 วัน คิดเป็นราคาที่เพิ่มขึ้น 15 บาท หรือขึ้นไปจากปันผลที่ประกาศถึง 6 เท่า โดยที่ดัชนีตลาดหุ้นไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติ
หุ้นอีกตัวหนึ่งที่เงียบเหงามานานมากและราคาก็ไหลลงไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่กิจการก็ดำเนินงานไปตามปกติ มีกำไรดีและมีความแข็งแกร่งช่วงหนึ่งอยู่ในระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” ของหุ้นขายสินค้าและอุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อาจจะอยู่ในช่วงตกต่ำยาวนาน รายได้และกำไรของบริษัทจึงเพิ่มขึ้นน้อย ราคาหุ้นจึงแทบจะนิ่งตามภาวะตลาด
แต่แล้วบริษัทก็ประกาศว่าจะซื้อหุ้นคืนคิดเป็นเงินประมาณ 7,000 ล้านบาท หรือประมาณ 6-7% ของหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาด และทันทีที่ประกาศ หุ้นก็ปรับตัวขึ้น 9% ในวันเดียว ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 4 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดให้คุณค่าแก่การซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้สูงมาก ทั้ง ๆ ที่การซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้ทำให้หุ้นขึ้น บ่อยครั้งคนคิดว่าประกาศไปอย่างนั้น ถึงเวลาก็ไม่ซื้อจริง ที่ทำไปก็เพื่อจะพยุงราคาหุ้นที่ไหลลงมาเรื่อย ๆ แต่พอหุ้นก็ยังลงต่อไป พวกเขากลับไม่ซื้อ
แต่กรณีนี้คนคิดว่าคงจะซื้อจริงถ้าหุ้นยังลงต่อ นักลงทุนคงจะเชื่อในตัวผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเหมือนกันที่มีประวัติในการจ่ายปันผลงดงามของบริษัทตนเอง การประกาศซื้อหุ้นคืนในกรณีนี้จะเป็นเหมือนการ “จ่ายเงินคืน” ให้กับ “ผู้ถือหุ้นบางคน” ที่ไม่ต้องการถือหุ้นต่อ คล้าย ๆ กับการจ่ายเงินปันผลปกติหรือ “จ่ายเงินคืน” ให้กับ “ผู้ถือหุ้นทุกคน”
การซื้อหุ้นคืนนั้นเป็นผลดีคือจะทำให้คนที่ถือหุ้นต่อ จะได้ปันผลสูงขึ้นอย่างน้อย 6% ในปีถัดไป เพราะจำนวนหุ้นของบริษัทจะน้อยลงเพราะถูกซื้อคืนไปประมาณ 6% ถ้ากำไรและอัตราการจ่ายปันผลยังเท่าเดิมที่ 60% หรือ 70% ของกำไรที่ทำได้
และทั้งสองกรณีนั้นทำให้ผมคิดว่า บางทีนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจจะกำลัง
เปลี่ยนแปลงแนวความคิดของการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไปจากเดิมที่เน้นการเก็งกำไรอย่างรวดเร็วผ่านการซื้อขายหรือการเทรดหุ้นที่มีราคาผันผวนในระยะสั้น ๆ อาจจะวันต่อวัน ไปเป็นการลงทุนในระยะยาวขึ้นที่เน้นการเติบโตของผลประกอบการที่ “มั่นคง” ของบริษัท และเน้นการรับปันผลที่งดงามปีละครั้งหรือสองครั้ง
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การเทรดหุ้นที่ผ่านมานั้น “มีแต่เจ๊ง” แต่ปันผลในบริษัทที่มั่นคงระดับที่เป็น “เสาหลักของประเทศ” นั้น “ได้รับทุกปี” บางบริษัทปีละ “เกิน 5%” ของเงินลงทุน
และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามีเหตุผล และการลงทุนโดยการซื้อหุ้นที่จะจ่ายปันผลงดงามมากนั้น เป็นกลยุทธ์ที่ดีในยามที่เศรษฐกิจของไทยโตช้าลงไปมาก เช่นเดียวกับบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในธุรกิจไฮเท็คหรือธุรกิจแห่งอนาคตอื่น ๆ ที่จะไม่โตได้เร็วกว่าเศรษฐกิจมากนัก
แต่ผมคงไม่พูดถ้าไม่ได้ดูข้อมูลหรือทำการศึกษาว่าสิ่งที่พูดนั้นมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน วิธีที่ทำก็คือ ดูว่าผลงานของ “หุ้นปันผลงดงาม” ที่ผ่านมากว่า 4 ปี เป็นอย่างไรบ้าง โดยที่ผมจะเลือกหุ้นที่มีปันผลดีสม่ำเสมอ โดยที่ผู้บริหารของบริษัทก็เน้นที่จะจ่ายเมื่อมีกำไรและมีเงินสดพอที่จะทำได้โดยไม่ได้กระทบกับการขยายงานหรือการเติบโตของบริษัทที่วางแผนไว้
เริ่มจากหุ้นแบ้งค์ใหญ่ที่กล่าวถึงในตอนต้นนั้น มองย้อนหลังไป 4 ปี 3 เดือนคือเมื่อสิ้นปี 2563 มีราคาหุ้นละ 118 บาท คนที่ถือไว้จะได้ปันผล 4 ปี เป็นเงินรวมกันประมาณ 15 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากปันผลประมาณ 3.2% ต่อปี ในขณะที่ราคาหุ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เท่ากับ 164 บาท ดังนั้น รวมแล้วเท่ากับว่าคนที่ถือหุ้นแบ้งค์นี้จะได้รับเงินเท่ากับ 179 บาท จากต้นทุนเดิม 118 บาทหรือกำไรประมาณ 52% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน ซึ่งถือว่าดีพอสมควร และดีมากเมื่อเทียบกับการลงทุนหุ้นในตลาดโดยรวม
เพราะผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงเดียวกันนั้นก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นเมื่อสิ้นปี 2563 เท่ากับ 1,499 จุด แต่เมื่อถึงวันที่ 28 มีนาคม 2568 ดัชนีเหลือเพียง 1,175 จุด หรือติดลบประมาณ 21.6% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน และถ้าปรับเรื่องของปันผลที่เราจะได้รับปีละประมาณ 3% ก็จะได้ผลว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงนี้ให้ผลตอบแทนเป็น -9%
หุ้นแบ้งค์ตัวที่ 2 เป็นแบ้งค์เล็กที่มีประวัติจ่ายปันผลงดงามมานานและนักลงทุนในตลาดต่างก็รู้จักกันดี ราคาล่าสุดคือ 100 บาทต่อหุ้น ถ้าลงทุนตั้งแต่สิ้นปี 2563 จะได้ปันผล 4 ปี รวมกันประมาณ 29 บาทหรือคิดเป็นผลตอบแทนจากปันผลเฉลี่ยปีละ 8.2% เมื่อนำมารวมกับราคาหุ้นปัจจุบันก็จะเท่ากับ 129 บาท คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 44.5% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน คร่าว ๆ ก็คือปีละ 10%
หุ้นที่เคยเป็นแบ้งค์เล็กคล้ายกับแบ้งค์ที่ 2 และปรับตัวเป็นโฮลดิ้ง และปัจจุบันมีราคา 50.75 บาท ก็จ่ายปันผลงดงามรวมกัน 4 ปีเท่ากับ 12.2 บาท หรือคิดเป็นปันผลตอบแทนปีละ 8.7% ก็ให้ผลตอบแทนรวมงดงามที่ประมาณ 80% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน เนื่องจากราคาหุ้นขึ้นไปมากนอกเหนือจากปันผลที่ได้รับ
หุ้นตัวที่ 4 คือหุ้นเทเลคอมขนาดใหญ่ที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 273 บาท โดยที่ 4 ปีที่ผ่านมาจ่ายปันผลรวมกันประมาณ 31 บาทหรือปีละ 4.3% ให้ผลตอบแทนรวมกำไรจากราคาเท่ากับ 70.7% งดงามเมื่อคำนึงถึงความมั่นคงของธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยราย
หุ้นตัวที่ 5 จะเป็นกลุ่มของหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกมองว่าเป็นธุรกิจที่กำลังตกต่ำและอาจจะต่อเนื่องยาวนาน แต่หุ้นตัวนี้เป็นผู้นำทางด้านอสังหาริมทรัพย์หรูที่สุด ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 1.56 บาทต่อหุ้น แต่เฉพาะปันผล 4 ปีที่ได้รับอยู่ที่ 0.45 บาท หรือเป็นปันผลตอบแทนเฉลี่ยปีละถึง 13.6% จากต้นทุนที่ซื้อเมื่อกว่า 4 ปีก่อน ผลตอบแทนรวมกำไรที่ได้รับจากราคาหุ้นก็คือ 142% กลายเป็นสุดยอดหุ้นปันผล อานิสงค์จากราคาหุ้นที่ต่ำมากเมื่อตอนสิ้นปี 2563
หุ้นตัวที่ 6 ยังเป็นอสังหาริมทรัพย์แต่ถือหุ้นของกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาที่ใหญ่กว่าตัวเอง ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 1.56 บาท ปันผลที่ได้รับรวมกันเท่ากับ 0.51 บาทหรือได้ผลตอบแทนปันผลปีละ 5.4% ดังนั้น มูลค่ารวมปัจจุบันคือ 2.07 บาท ในขณะที่ราคาเมื่อวันสิ้นปี 2563 เท่ากับ 2.35 บาท ทำให้ผลตอบแทนติดลบ 11.9% ในช่วงเวลา 4 ปี 3 เดือน และพอ ๆ กับผลตอบแทนของตลาด
หุ้นตัวที่ 7 คือหุ้นที่คนตั้งชื่อเล่นว่าเป็น “น้ำมันตราเต่า” เพราะเป็นหุ้นที่ “ไม่ค่อยวิ่ง” เหมือนคนอื่น ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 37.75 บาท แต่ในช่วง 4 ปีรับปันผลรวมประมาณ 6.6 บาทหรือเท่ากับปันผลตอบแทนปีละ 6.9% อานิสงค์จากราคาหุ้นต้นทุนที่ต่ำในช่วงเริ่มต้น ทำให้ผลตอบแทนของหุ้นตัวนี้อยู่ที่ 85% หรือเฉลี่ยปีละกว่า 20% ถ้าเป็นเต่าก็คงเป็น “เต่าทะเล”
หุ้นตัวที่ 8 เป็นหุ้นขนาดเล็กที่เป็นผู้นำด้านของเสื้อผ้าแฟชั่น ราคาหุ้นอยู่ที่ 9.95 บาท แต่ปันผลที่จ่ายในช่วง 4 ปีรวมกันประมาณ 2.85 บาทหรือเป็นปันผลตอบแทนปีละ 7.2% เมื่อรวมกับราคาหุ้นที่แทบไม่ขึ้นเลยในช่วง 4 ปี 3 เดือน ให้ผลตอบแทนรวม 29.3% หรือปีละ 7.3% ก็อาจจะพูดได้ว่าไม่เสียหายอะไรกับการถือหุ้นตัวนี้เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหรือลงทุนแบบอื่น
หุ้นตัวที่ 9 เป็นหุ้นที่ผมรู้จักตั้งแต่สมัยลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ ๆ เพราะเป็นหุ้นที่ผลิตถังเหล็ก 200 ลิตรใช้บรรจุพวกสารเคมีอะไรทำนองนั้น ดูน่าเบื่อสุด ๆ แม้จะย้อนหลังไปเกือบ 30 ปี แต่ถึงวันนี้มันก็ยังคงอยู่และก็ทำกำไรและจ่ายปันผลได้ “เหมือนเดิม” เพราะคงไม่มีใครอยากเข้ามาแข่งทำถังในสมัยนี้ หุ้นที่มีการเทรดน้อยมากตัวนี้ ราคาหุ้นอยู่ที่ 24.5 บาท แต่ปันผลที่จ่าย 4 ปี รวมกันเท่ากับ 6.4 บาท หรือเท่ากับให้ปันผลปีละ 7% ผลตอบแทนรวม 4 ปี 3 เดือนเท่ากับ 34.9%
สุดท้ายคือหุ้นผู้นำทางด้านกระเบื้องปูพื้นต่าง ๆ ที่ดูเหมือนว่ากำลังอิ่มตัวตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นี่ก็เป็นหุ้นที่ไม่โต แต่ยังมีผลประกอบการที่ดีและจ่ายปันผลดี ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาจ่ายปันผลรวมกัน 0.52 บาทคิดเป็นปันผลตอบแทน 5.9% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปัจจุบันเท่ากับ 1.44 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่ตกลงมาแรงเนื่องจากรายได้และกำไรในช่วง 2 ปีหลังลดลงมากอานิสงค์จากอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลง และอาจจะมาจากการแข่งขันโดยเฉพาะจากต่างประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ผลตอบแทนรวม 4 ปี 3 เดือนติดลบประมาณ 11% พอ ๆ กับผลตอบแทนตลาด
ข้อสรุปทั้งหมดก็คือ หุ้นที่จ่ายปันผลดีเทียบกับราคาหุ้น เช่น ในระดับ 5% ต่อปีโดยเฉลี่ยในระยะ 3-4 ปีขึ้นไป และไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลงแม้ว่าจะอิ่มตัว และบริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม หรือเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่มีผู้นำแต่บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันพอ ๆ กับคู่แข่งเช่นสถาบันการเงิน จะเป็นหุ้นปันผลที่ลงทุนได้และให้ผลตอบแทนที่ดีโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจไม่ดีนักอย่างเช่นในปัจจุบัน
VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/
👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/