โปสเตอร์ 2 ใบกับข้อคิดในวิกฤติหุ้น

0
563

โลกในมุมมองของ Value Investor       26 เมษายน 68

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผมเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวที่ลอนดอนและจังหวัดใกล้เคียง  ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่ผมไปมาหลายครั้ง  ส่วนใหญ่ก็ไปที่เดิม ๆ  ซึ่งก็มักจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง  อังกฤษเองนั้นก็เป็นประเทศและสังคมที่เปลี่ยนแปลงน้อยเพราะเศรษฐกิจของอังกฤษค่อนข้างอิ่มตัวมานานแล้ว  สิ่งที่น่าสนใจในอังกฤษก็คือ  “ประวัติศาสตร์” ซึ่งบังเอิญเป็นสิ่งที่ผมชอบ  ดังนั้นผมก็มักจะไปดูพิพิธภัณฑ์และของเก่า  รวมถึงตลาดขายของเก่า  และคราวนี้ผมก็ได้เห็นและซื้อโปสเตอร์ “เก่า” ที่เขาเอามาทำเป็นของที่ระลึก 2 ใบ  เพราะข้อความในโปสเตอร์นั้นให้ข้อคิดเตือนใจที่ผมคิดว่าตรงกับสถานการณ์ของตลาดหุ้นในช่วงนี้

โปสเตอร์ใบแรกก็คือ  โปสเตอร์เก่าที่ “ดังที่สุดตลอดกาล” ในอังกฤษ  และก็น่าจะดังมากในอเมริกาโดยเฉพาะในช่วงวิกฤติซับไพร์มปี 2009 ในตลาดหุ้นวอลสตรีท  ที่มีการพูดถึงข้อความที่เขียนอยู่ในโปสเตอร์ว่า  “Keep Calm  and  Carry On” ซึ่งมีความหมายว่า  “ใจเย็น ๆ   และ สู้ต่อไป”

หรือพูดง่าย ๆ  เวลาเกิดปัญหาใหญ่ระดับ “วิกฤติ”  จะต้องใจเย็น  มีสติ  และก็สู้ต่อไป  อย่าตกใจและยอมแพ้  แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น  เฉกเช่นที่อังกฤษในช่วงปี 1939 ที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติ  เกิดสงครามกับเยอรมันในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2  ซึ่งอังกฤษต้องปลุกขวัญกำลังใจให้คนทั้งประเทศเตรียมตัวรับสงคราม  และวิธีปลุกใจคนในสมัยนั้นที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการทำโปสเตอร์ไปติดทั่วอังกฤษ

โปสเตอร์ “Keep Calm and Carry on” เป็น 1 ใน โปสเตอร์ 3-4 แบบ จำนวน กว่า 2.4 ล้านแผ่นที่ถูกทำขึ้น  แต่สุดท้ายก็ไม่ได้นำไปใช้  อาจจะเพราะว่ามันฟังดูไม่ค่อยจะเข้ากับสถานการณ์ในตอนนั้น  เพราะการรบยังไม่เกิดขึ้นจริง  เป็นช่วง “สงครามเก๊”  เมื่อเทียบกับโปสเตอร์แบบอื่น  เช่น  ที่เขียนว่า  “เสรีภาพอยู่ในอันตราย  ปกป้องมันสุดกำลัง”  หรือ  “ความกล้าหาญ ความคึกคัก และ ความเด็ดขาด จะนำเราสู่ชัยชนะ” เป็นต้น 

และในเวลาต่อมาเมื่อการรบเกิดขึ้นจริง  โปสเตอร์ Keep Calm ก็ไม่ได้ถูกใช้และถูกนำไปรีไซเคิลเพราะกระดาษในช่วงสงครามจริงขาดแคลน  จนเวลาผ่านไปประมาณ 60 ปี คือปี 2000 เจ้าของร้านหนังสือเก่าแห่งหนึ่งไปพบโปสเตอร์นี้เข้า  และคงเห็นว่าดี  จึงนำไปทำกรอบและแขวนโชว์ที่ร้าน  ซึ่งก็ทำให้ลูกค้าจำนวนมากสนใจอยากได้บ้าง  เจ้าของร้านจึงไปทำก็อปปี้ขาย และคนก็นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  และแค่ในปี 2009 ปีเดียวก็ขายไป 40,000 ใบ  อานิสงค์ส่วนหนึ่งจากภาวะวิกฤติตลาดหุ้น

สัญลักษณ์ คำพูด  Keep Calm and Carry On บูมมาก และถูกนำไปใช้ในสินค้าและของที่ระลึกอื่น ๆ  ตั้งแต่เสื้อยืด  ถ้วยกาแฟ  หมวก  พรมเช็ดเท้าและอื่น ๆ  รวมถึงการโฆษณาขายเค๊กและกาแฟ    เช่น  “Keep Calm and Have a Cup Cake”  หรือ “Keep Calm and Have a Cup of Coffee”  

ว่าที่จริงมีการใช้คำนี้แบบดัดแปลงในการโฆษณาเป็นร้อย ๆ  รายการ  ตัวอย่างที่ผมเห็นในตลาดของเก่านั้นก็เช่น  “Keep Calm  and Drink Coca Cola”  “Keep Calm and Listen To the Beatles”  “Keep Calm and I Love Arsenal”  เป็นต้น  ว่าที่จริงผมเองก็เคยเขียนในบทความนี้เมื่อ 3-4 ปีก่อน  ซึ่งผมดัดแปลงให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดหุ้นที่กำลังลงแรงแต่ผมไม่แนะนำให้ขายหุ้นหนีตายว่า  “Stay Calm Stay Invested” หรือ “ใจเย็น ๆ  ถือหุ้นต่อไป”

ผมคิดว่าเหตุผลที่ทำให้คำ ๆ  นี้ถูกใช้มากมายส่วนหนึ่งก็เพราะมันสั้นและเสียงมันคล้องจอง  คำพูดติดปาก  มีความหมายที่ดี  และสามารถนำไปใช้กับอะไรก็ได้โดยดัดแปลงเพียงเล็กน้อย  ถ้าจะพูดเกี่ยวกับตลาดหุ้นก็อาจจะคล้าย ๆ กับ  “Sell In May and Go Away” ที่คนพูดจนติดปากว่า “ขายหุ้นในเดือนพฤษภาคมแล้วก็หนีไปเลย” (เพราะเดือนพฤษภาคมนั้นหุ้นจะไม่ดี–ซึ่งอาจจะไม่จริง)

สำหรับวิกฤติหุ้นช่วงนี้  ถ้าคิดว่าเดี๋ยวมันก็จะดี  เราก็อาจจะใช้คำนี้  คือ  “Keep Calm and Carry On”  คือให้ทำใจเย็น  อย่าตกใจขายหุ้นทิ้ง  ถือหุ้นต่อไปหรือ “สู้ต่อไป”  อย่างไรก็ตาม  สำหรับผมเอง  คราวนี้ผมไม่มั่นใจเท่าไรนัก  ถ้าถามผมว่าควรจะทำอย่างไร ผมก็จะบอกว่า  “Keep Calm,  Keep Cash”  คือ  “ใจเย็น ๆ  มีสติ  เก็บเงินสด”  นั่นก็คือ  ผมไม่ได้ขายหุ้นอย่างตกใจ  ผมถือเงินสดที่มีและอาจจะขายหุ้นเพิ่มบ้าง  และรอว่าเมื่อหุ้นตกลงไปอีก  ผมถึงจะนำเงินสดออกมาเก็บหุ้นที่มีราคาถูกหรือสมเหตุผลในกรณีของหุ้นที่ดีสุดยอดแบบซุปเปอร์สต็อกที่ราคาลงมามาก

โปสเตอร์ใบที่ 2 ที่ผมซื้อเป็นแผ่นโลหะติดแม่เหล็กที่ผมเห็นเมื่อผมไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ “ไททานิค” ที่เมืองเซ้าแทมป์ตัน  เมืองท่าสำคัญใกล้กรุงลอนดอนซึ่งเป็นท่าเรือที่เรือไททานิคออกเดินทางไปสู่เมืองนิวยอร์คของอเมริกาของสายการเดินเรือ White Star Line ในปี  2455

โปสเตอร์โฆษณาก่อนการเดินทางเที่ยวแรกที่ประกาศชักชวนให้คนร่วมเดินทาง  “ครั้งประวัติศาสตร์” มีภาพเรือไททานิคที่ใหญ่โตพร้อมกับข้อความเขียนว่า  “ไททานิค  ขนาด  45,000  ตัน  เรือกลไฟขนาดใหญ่ที่สุด  และปลอดภัยที่สุดในโลก”  แถบล่างของโปสเตอร์เขียนว่า  ออกเดินทางเที่ยวแรกวันที่ 10 เมษายน 1912 สู่มหานครนิวยอร์ค  จากเมืองเซ้าแทมป์ตัน 

และ  ก็อย่างที่เรารู้กัน  ไททานิคจมลงหลังจากออกเดินทางได้เพียง 4-5 วัน  ในวันที่ 14-15 เมษายน เมื่อเรือชนภูเขาน้ำแข็งกลางทะเลพร้อมกับผู้โดยสารที่เสียชีวิตประมาณ 1,500 คน

“ข้อเตือนใจ” สำหรับผมก็คือ  “หายนะ” นั้น  เกิดขึ้นได้เสมอแม้จะคิดว่าเราอยู่ในที่ที่ “ปลอดภัยที่สุด”  ใครจะไปคิดว่าเรือที่ออกแบบมาอย่างดีสุดยอด  ใหญ่ที่สุดในโลก  โดยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของอังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเรือ “อันดับหนึ่ง” ของโลกในช่วงนั้น  พร้อม ๆ  กับกัปตันเรือ “หมายเลข 1” ในยุคนั้น  ซึ่งคงจะทำให้คนเชื่อว่านี่คือเรือที่ “ไม่มีวันจม”  จะจมลงตั้งแต่การเตินทางเที่ยวแรก!  

หุ้นก็เช่นเดียวกัน  ไม่ว่าเราจะเชื่อมั่นแค่ไหนว่าพอร์ตของเรา  “ปลอดภัย”  หรือด้วยการออกแบบที่ลดความเสี่ยงโดยการกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดี  ถือหุ้นกระจายไปทั่วทุกตลาดหรือทั่วโลก  หุ้นที่ถือก็เป็นหุ้นที่ดีมีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง  ไม่มีการใช้มาร์จินในการลงทุน  และเราคิดว่า ยังไงเสีย  การขาดทุนก็ไม่น่าจะเกิน 20-30% ในกรณีเลวร้ายที่สุด

เราก็ยังจะต้องระมัดระวังอยู่ดีว่า  ยังมีโอกาสที่พอร์ตจะเกิด  “หายนะ”  ระดับ “ไททานิค”  ได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การ  “กระจายความเสี่ยง” โดยการถือหุ้นหลาย ๆ ตัวนั้น   จริง ๆ  สามารถลดความเสี่ยงได้เฉพาะความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากหุ้นแต่ละตัวเท่านั้นกรณีที่เราเลือกหุ้นผิด  แต่มันจะไม่สามารถลดความเสี่ยงได้ถ้า “ทั้งตลาดล่มสลาย” ซึ่งกรณีแบบนั้น  “ไม่มีหุ้นตัวไหนหรือใครรอด”

สำหรับคนที่ลงทุนแบบ Focus หรือทั้งพอร์ตและเงินแทบทั้งหมดนั้น  อยู่ในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว  หรือเพียงตัวเดียวอย่างเช่น  เจ้าของธุรกิจที่มีหุ้นจดทะเบียนในตลาดส่วนใหญ่  ความเสี่ยงของเงินลงทุนก็จะสูงมาก  และในความเห็นของผมก็คือ  “รับไม่ไหว” โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงนี้ที่เกิดสงครามการระหว่างมหาอำนาจสองขั้วระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน  ที่อาจจะเปลี่ยนเกมการค้าของโลกไปอย่างสิ้นเชิง  และธุรกิจที่น่าเป็นห่วงที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ  คนที่ขายสินค้าส่งออกเป็นหลัก

กล่าวโดยสรุปก็คือ  “วิกฤติ” รอบนี้  ถ้าเกิดขึ้นเต็มรูปแบบจริง  ซึ่งก็อาจจะในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า  ผมยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วหุ้นจะตกลงมาแค่ไหน  และเมื่อตกลงมาแล้ว  ราคาหุ้นจะฟื้นกลับคืนมาเมื่อไรในเวลากี่ปีหรือกี่เดือน  เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤติรอบก่อน ๆ  ที่เราพบว่าหุ้น  เมื่อวัดจากดัชนีจะตกลงมาประมาณ 50% และใช้เวลา  อาจจะซัก 2-3 ปีที่จะกลับมาที่เดิม

ดังนั้น  สิ่งที่ผมทำก็คือ  ใจเย็น  ตั้งสติ  เก็บเงินสดไว้ระดับหนึ่งและทยอยเก็บเพิ่มโดยการขายหุ้นที่ยังไม่ได้ตกลงมามากนักในช่วงนี้  เพื่อเตรียมตัวซื้อหุ้นดีที่ตกลงมามากเกินไปเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลงเนื่องจากสงครามการค้า  อย่างไรก็ตาม  ผมไม่คิดและไม่หวังว่าผมจะได้กำไรงดงามในยามวิกฤติครั้งนี้  เพราะผมกลัวว่า  วิกฤติอาจจะไม่ฟื้นง่ายและอาจจะลากยาวเป็นหลาย ๆ  ปีมากโดยเฉพาะถ้าโลกเปลี่ยนจากการค้าเสรีเป็นการค้าแบบปิดกั้นซึ่งจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งโลกเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง  ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น  หุ้นก็อาจจะมีแต่ดำดิ่งคล้ายเรือไททานิค  ในกรณีแบบนั้น  กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป   


VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/

👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/