โลกในมุมมองของ Value Investor 10 กันยายน 2565
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะมีมากเป็นพิเศษเช่น ดอกเบี้ยอ้างอิงของอเมริกา ยุโรป และทั่วโลกกำลังปรับตัวขึ้น เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นแรงอย่างที่ไม่เคยประสบในรอบหลายสิบปี ราคาพลังงานเช่นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้นเพราะสงครามรัสเซีย-ยูเครน (แต่ช่วงนี้ก็กำลังปรับตัวลงนะครับโดยเฉพาะน้ำมัน) สงครามการค้าและสงครามเย็นอาจจะกำลังก่อตัวขึ้นระหว่างจีนและรัสเซียกับสหรัฐอเมริกาและยุโรป
ในส่วนของบริษัทจดทะเบียนเองก็มีข่าวน่าตื่นเต้นทุกวัน บางบริษัทมีข่าวแทบไม่เว้นวันว่าบริษัทจะโต โตและโตและผู้บริหารก็เข้าซื้อหุ้นตนเองเป็นระยะ ๆ ทั้งหมดนั้นก็มักจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นและหุ้นหลาย ๆ ตัวมีราคาปรับตัวขึ้นหรือลงคล้าย ๆ กับคลื่นในทะเล บางครั้งก็รุนแรง บางครั้งก็เบา แต่ทั้งหมดนี้มักจะไม่ได้เป็นสัญญาณที่จะบอกว่าวันรุ่งขึ้นมันจะลงหรือขึ้น และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ มันไม่ได้บอกว่าในระยะยาวซัก 3-4 ขึ้นไปหุ้นจะไปทางไหน
ถ้าข่าวหรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ออกมานั้น มีธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปได้เร็วหรือมีความผันผวนสูงซึ่งบ่อยครั้งก็สามารถดูได้จากประวัติศาสตร์ ผลกระทบต่อราคาดัชนีหรือหุ้นในระยะยาวหรือแม้แต่ระยะกลางเช่น 1-2 ปี ก็จะมีไม่มาก หุ้นขึ้นไปหรือตกลงมาไม่กี่วันก็หยุดและก็อาจจะกระเด้งกลับไปที่เดิม แบบนี้ในทางเศรษฐศาสตร์และการเงินเราเรียกว่า “Noise” หรือ “เสียงรบกวน”
คนที่ซื้อขายหรือลงทุนก็จะต้องรู้ว่า เวลาที่จะเทรดหรือซื้อขายก็จะต้องทำอย่างรวดเร็วและในเวลาอันสั้น อย่าไปลงทุนแบบ “VI” ที่เน้นถือยาวหรือปล่อยให้ “Profit Run” คือไม่ขายทั้ง ๆ ที่กำไรอยู่นานเกินไป เพราะหุ้นที่ขึ้นลงเพราะ Noise นั้น จะไม่ขึ้นหรือลงยาวแบบ Trend ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ “พื้นฐาน” ของตลาดหรือกิจการมากกว่า
คนที่เป็น VI แบบมุ่งมั่นและเน้นการลงทุนระยะยาวเป็นหลักนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่ทำอะไรกับหุ้นหรือการลงทุนเมื่อมีข่าวสารพัดที่น่าตื่นเต้นทุกวัน เหตุก็เพราะว่าข่าวสารเหล่านั้นส่วนมากแล้วก็เป็นข่าวที่ไม่ได้มีผลกระทบ “ระยะยาว” ต่อหุ้นหรือเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งก็เพราะว่าข่าวเหล่านั้นเป็นเรื่องที่มักจะเกิดขึ้นชั่วคราว “ตามสถานการณ์” ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น และเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ข่าวเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนไปตาม เช่นเดียวกับราคาหุ้นที่จะขึ้น-ลง ตามข่าวนั้น ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไปหรืออีกอย่างน้อย 3-4 ปีขึ้นไป ซึ่งจะกลายเป็นเทรนด์
ตัวอย่างเช่นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อนั้น ตามประวัติศาสตร์ก็บอกว่าส่วนมากที่สุดนั้นมันขึ้นลงภายในเวลาไม่เกิน 2-3 ปี ยกเว้นก็แต่ช่วงที่ผ่านมาน่าจะเป็น 10 ปีขึ้นไปที่มันตกต่ำมานานมากจนโลกแทบจะลืมไปว่าอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อมันอาจจะสูงขึ้นได้ แต่ถ้าเราเชื่อว่าเดี๋ยวมันก็จะกลับลงมาเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงของเดิม ปัจจัยเรื่องนี้ก็จะไม่มีผลต่อการลงทุนระยะยาวของเรา เช่นเดียวกับราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้นไปสูงมากในช่วงก่อนหน้านี้เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ถ้าเราเชื่อว่าโลกนั้นไม่ได้ขาดแคลนน้ำมัน เพียงแต่เกิดการสะดุดในเรื่องของการขนส่งหรือโลจิสติก เมื่อโลกสามารถแก้ปัญหานี้ได้แล้ว-ซึ่งก็ได้อย่างแน่นอน ราคาน้ำมันหรือพลังงานก็จะลดต่ำลงมาเป็นปกติ เรื่องของราคาน้ำมันสูงก็จะไม่ได้เป็นประเด็นในการลงทุนมากนัก
การวิเคราะห์เหตุผลหรือตรรกะของข่าวสารว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจ การเงินและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในระยะยาวนั้น เราเรียกว่าเป็น “Information” ซึ่งจะเป็นตัวชี้ว่าแนวโน้มหรือเทรนด์อย่างน้อยในระยะ 3-4 ปีขึ้นไปจะเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งถือว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศนั้น
ข่าวสารว่าเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะสหรัฐและยุโรปนั้นน่าจะตกต่ำลงในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าและนั่นทำให้ตลาดหุ้นตกลงมาแรง แต่นี่สำหรับผมแล้ว มันเป็น Noise ที่ผมจะไม่สนใจมากนัก ถ้าใครจะถามว่าควรลงทุนในหุ้นอเมริกาหรือหุ้นไทยตอนนี้ไหมหรือควรขาย? ผมก็คงไม่อยากตอบ เพราะนี่คือคำถามสำหรับคนที่เทรดหุ้นระยะสั้น ถ้าจะลงทุนระยะยาวแล้ว เราคงต้องตอบให้ได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐหรือยุโรปในระยะยาวจะโตแค่ไหนอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องของ Information เช่น ปัจจัยในการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรวัยทำงาน ประสิทธิภาพของคนที่ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและระบบการปกครองของรัฐที่เอื้ออำนวยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งนาทีนี้อาจจะรวมไปถึงเรื่องของสงครามการค้าหรือสงครามเย็นที่อาจจะกำลังเกิดด้วย
ดังนั้น ดัชนีหรือราคาหุ้นที่ขึ้นลงในช่วงนี้สำหรับนักลงทุนระยะยาวอย่างผมนั้นจะ “ไม่มีความหมาย” เราต้องวิเคราะห์ข่าวสารแบบ Information ซึ่งถ้าออกมาว่าประเทศหรือหุ้นน่าลงทุนและหุ้นกำลังตก นี่ก็จะเป็นโอกาสที่ดี ได้ซื้อของถูก แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้า Noise ก็คือ หุ้นขึ้นเพราะเป็นหุ้นบริษัทขุดน้ำมันที่กำลังมีราคาสูงขึ้นมาก แต่เราเชื่อว่ามันจะขึ้นชั่วคราว เดี๋ยวก็ลง แบบนี้ก็คือ เทรนด์ระยะยาวของน้ำมันน่าจะลง เราก็ต้องขาย อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นก็ต้องดูราคาของหุ้นด้วยว่าเป็นอย่างไร เพราะเราเป็น VI ที่เน้นในเรื่องความถูกความแพงของหุ้นเหนือสิ่งใด
สำหรับคนที่เลือกหุ้นลงทุนเองนั้น “ข่าวสารรายวัน” ของหุ้นรายตัวส่วนใหญ่ ผมคิดว่าเป็น Noise ที่บ่อยครั้งถูก “สร้างขึ้น” เพื่อกระตุ้นราคาหุ้น ตัวอย่างในระยะหลัง ๆ ที่เศรษฐกิจไทยโตช้าลงมากซึ่งทำให้บริษัทโตช้าลงทำให้บริษัทจดทะเบียนที่เจ้าของหรือผู้บริหารต้องการ “ปั้น”หรือ “ปั่น” ราคาหุ้นบางคนมักจะพยายาม “สร้างการเติบโต” โดยการขยายไปทำ “ธุรกิจใหม่” ที่นักเศรษฐศาสตร์หรือนักวิเคราะห์มองว่าจะเติบโตไปเร็วมาก
หลังจากคำประกาศ ราคาหุ้นก็มักจะวิ่งขึ้นไปรุนแรง ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะมีคนเตรียมจะไล่ราคาอยู่แล้ว ราคาที่วิ่งขึ้นไปดึงดูด “นักเก็งกำไร” รายย่อยที่มีอยู่เต็มตลาดเข้ามาร่วมซื้อด้วย ราคาก็วิ่งต่อไปได้อีก หลายครั้งเกิดสถานการณ์ “Corner” หุ้น มีคนต้องการซื้อมากกว่าคนที่จะขายมาก หุ้นวิ่งขึ้นบางทีเป็นหลายเท่า คนที่ซื้อและถือหุ้นไว้ต่างก็เชื่อมั่นว่าพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนและจะโตไปจน “เหนือจินตนาการ” บางทีอาจจะใหญ่ที่สุดในประเทศ หุ้นเล็ก ๆ บางตัวที่ธุรกิจเดิมแทบไม่มีค่า แต่พอไปทำ “ธุรกิจแห่งอนาคต” เช่นที่เกี่ยวกับเหรียญคริปโตอาจจะมีค่าเป็น “หลักหมื่นหรือแสนล้านบาท” ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ “เซียนหุ้น” ระดับพระกาฬและ/หรือเจ้าของ ต่างก็เข้ามากระหน่ำซื้อรัว ๆ สร้างความมั่นใจว่าหุ้นต้องไปแน่นอน
แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ การเติบโตที่คาดหวังนั้น สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ข่าวสารเป็นแค่ Noise และแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงธุรกิจหลักเดิมเลย มันถูกทำหรือสร้างขึ้นเพื่อกระตุ้นราคาหุ้นเป็นหลัก และเมื่อมันไม่เป็นจริงหรือไม่สำเร็จ ราคาหุ้นก็ต้องกลับลงมาที่เดิม ว่าที่จริงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหุ้นแบบนี้เคยเกิดมาไม่นานแต่นักลงทุนก็ลืมไปแล้ว และจากประสบการณ์ยาวนาน ผมก็อยากจะบอกว่า นักลงทุนนั้น ความจำสั้นแต่ความโลภยาวนานและความเสียหายตลอดไป
🇻🇳 สนใจสมัครคอร์ส / สัมมนา / VVI Membership คลิ๊กดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://class.vietnamvi.com/