โลกในมุมมองของ Value Investor         13 มกราคม 2567

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในระยะหลัง ๆ  ผมสนใจเรื่องของการ “เติบโต” หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ  การ “ถดถอย”หรือการ  “ลดลง” ของจำนวนประชากรของประเทศต่าง ๆ  เฉพาะอย่างยิ่งของประเทศไทย  เหตุผลก็เพราะผมพบว่า  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ  นั้น  ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะอิงกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นของประเทศ  จริงอยู่ว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น  นอกจากเรื่องของจำนวนประชากรแล้ว  ก็ยังขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของคนที่อาจจะสามารถผลิตได้มากขึ้นหรือการเพิ่ม “ผลิตภาพ” ของประชากรด้วย  แต่ประเด็นก็คือ  การเพิ่มผลิตภาพนั้น  เป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่าการเพิ่มคนมากในทางปฏิบัติ

ย้อนหลังไปประมาณ 55 ปี คือปี 2511 เมื่อตอนผมอายุ 15 ปีและกำลังเข้าเรียนมัธยมปลายและเริ่มจะเข้าใจโลกมากขึ้นแล้ว ประเทศไทยในช่วงเวลานั้นกำลัง “เจริญ” ขึ้นอย่างรวดเร็ว  ถนนหนทางเริ่มมีมากขึ้น  ถนนเพชรบุรีเพิ่งจะ “ตัดใหม่” และเป็นแหล่ง “อาบอบนวด” ที่คนหนุ่มที่เริ่มทำงานที่มีมากขึ้นและเริ่มจะมีเงินมาเที่ยวในยามค่ำคืน  ถนนสีลมเริ่มเป็นแหล่งที่มีธุรกิจมาสร้างอาคารสำนักงานเป็นย่านธุรกิจใหม่  “เซ็นทรัลสีลม” กลายเป็นห้างทันสมัยโดดเด่นและ “คนรวย” เริ่มมาซื้อของ  อย่างไรก็ตาม  ถนนสาธรก็ยังดูเป็นธรรมชาติ  มีคลองดินอยู่กลางสาธรเหนือและใต้  ข้างคลองเรียงรายด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น   เป็นเส้นทางที่ผม  “โหนรถเมล์” ที่ “แน่นเป็นปลากระป๋อง” ไปเรียนทุกวัน

ในวันนั้น  ประชากรคนไทยมีจำนวนประมาณ 33 ล้านคนและแต่ละปีน่าจะมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 1 ล้านคน  กรุงเทพเริ่มจะมีรถติดและหนักมากในเวลาต่อมา  ผมยังจำได้ว่า  “บ็อบโฮป” ศิลปินตลกชื่อก้องโลกชาวอเมริกันมา “เอนเทอร์เทน”  ทหารอเมริกันที่ตั้งฐานทัพใหญ่โตในไทยเพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในเวียตนาม  บ็อบโฮปยิงมุขที่เป็นอมตะมากว่า  ไม่ต้องกลัวว่าเวียตนามจะบุกยึดกรุงเทพ  เหตุผลก็เพราะรถมันติดมาก  รถถังเข้าไปไม่ได้

ยุคที่ผมเกิดและต่อมาจนถึงวัยรุ่นเป็นยุค “เบบี้บูม” แต่ละครอบครัวต่างก็มีลูกกันอย่างน้อย 5-6 คนขึ้นไป  บางครอบครัวมีลูกเกือบ 10 คน  การเลี้ยงดูเด็กไม่ได้มีต้นทุนสูงมาก  ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องอาหารที่ไม่แพงและทำกินเองทุกบ้าน  เลี้ยงแค่สิบกว่าปีก็ทำงานหาเงินได้แล้ว  ดูเหมือนว่าเป็น “การลงทุน” ที่คุ้มค่ามาก  คนที่ไม่มีลูกนั้นจะถูกมองว่าอนาคตจะกลายเป็นคน     “อนาถา” ไม่มีคนเลี้ยงดู  บ้านผมเองนั้นเนื่องจากยากจน  จึงลงทุนมีลูกได้แค่ 3 คน  อย่างไรก็ตาม  พอคนเกิดมากขึ้นเรื่อย ๆ  แต่ตำแหน่งงานเพิ่มไม่ทัน  คนว่างงานก็มากขึ้นกลายเป็นปัญหาสังคม  รัฐบาลก็ต้องชะลอการเกิดโดยเน้นการคุมกำเนิดและเริ่มรณรงค์ด้วยสโลแกน  “ลูกมากจะยากจน” และส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย “มีชัย”   อย่างไรก็ตาม คนก็ยังคงเกิดมากอยู่ดี

ธุรกิจที่เฟื่องฟูมากที่สุดในยุคนั้นก็คือ  “บ้านจัดสรร” ซึ่งเป็นวิวัฒนาการใหม่ในช่วงนั้น  และทุกรายต่างก็จะเน้นโฆษณา  “น้ำไหล  ไฟสว่าง  ทางดี  มีตลาด” ทำเลที่มีโครงการมากที่สุดจุดหนึ่งก็คือ  “ซอยอ่อนนุช” และอีกจุดหนึ่งก็คือ  ถนนลาดพร้าว ที่มีการตัดถนนใหม่และมีพื้นที่ว่างจำนวนมาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  กรุงเทพในยุคนั้น  “ยังเล็กมาก”  ถนนหลัก ๆ  มีไม่กี่สาย  อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก็ยัง “ว่าง ๆ”  “สะพานควาย” เมื่อ 60 ปีก่อนยังแทบจะเป็น  “นอกเมือง” แต่ก็ไม่มีควายให้เห็นแล้ว

ตัดภาพอย่างรวดเร็วมาถึงปัจจุบันที่คนไทยเพิ่มขึ้นมาจนเกือบถึง 70 ล้านคน  และก็น่าจะกำลังเป็นจุดสูงสุด คนยุคเบบี้บูมก็เริ่มตายมากขึ้นเพราะส่วนใหญ่แล้วก็อายุประมาณ 60 ปี ขึ้นไปแล้ว  บางคนใกล้ 80 ปีแล้ว  ปี 2566 คนตายมากกว่าคนเกิดเป็นหมื่นคนแล้ว  เหตุผลสำคัญก็คือ  จำนวนคนเกิดแต่ละปีในช่วงหลังนั้นเหลือแค่ประมาณครึ่งหนึ่งคือประมาณ 5 แสนคนและดูเหมือนว่าจะลดลงเรื่อย ๆ  เพราะ  การเลี้ยงเด็กมีต้นทุนที่สูงมากและกลายเป็น “การลงทุนที่ไม่คุ้มค่า” สำหรับพ่อแม่  การมีลูกกลายเป็น  “การบริโภคที่ฟุ่มเฟือย”  และแม้แต่คนชั้นกลางจำนวนมากก็  “รับไม่ไหว”

การศึกษาที่เผยแพร่ออกมาเมื่อ 2-3 วันก่อนนำโดยอาจารย์เกื้อ วงศ์บุญสิน ศาสตราจารย์

ทางด้านประชากรศาสตร์ เพื่อนร่วมรุ่นของผมที่จุฬาให้ข้อมูลที่น่าตกใจมากว่า  ภายใน 60 ปี คือปี 2083 ซึ่งหลานผมจะมีอายุประมาณ 66 ปี  คนไทยจะเหลือเพียง 33 ล้านคนเท่ากับสมัยที่ผมเป็นวัยรุ่น  และในจำนวนนั้นจะมีคนที่อยู่ในวัยทำงานเพียง 14 ล้านคน  จากที่ไทยมีประมาณ 46 ล้านคนในวันนี้ หรือเหลือแค่ 30%

ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ  คนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจาก 8 ล้านคนในวันนี้เป็น 18 ล้านคน หรือเกินกว่า 50% ของคนไทยทั้งหมด  ซึ่งถ้ามองว่าคนที่อายุเกิน 65 ปีนั้นจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ 100% ต้องมีคนช่วยทำมาหาเลี้ยงชีพ  นั่นก็แปลว่าคนไทยที่ทำงาน 1 คนจะต้องดูแลเลี้ยงดูคนสูงอายุ 1.3 คน  “ผ่านระบบภาษี”  นั่นก็คือ  รัฐบาลเก็บภาษีคนทำงาน  อาจจะในอัตราอย่างน้อย 50% เพื่อนำเงินมาเป็นสวัสดิการเลี้ยงดูคนสูงอายุที่ทำงานไม่ไหวแล้ว

และนั่นก็ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่ารัฐไทยไม่ได้ทำอะไรที่จะแก้ไขก่อนจะถึงวันนั้น  เช่น ให้มีการลงทุนในประเทศอื่นจำนวนมากอย่างที่ทำในประเทศสแกนดิเนเวียหลายประเทศที่นำเงินทั้งของรัฐและประชาชนไปลงทุนในต่างประเทศจำนวนมหาศาล  ซึ่งก็จะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  และอาจจะเพียงพอที่จะนำผลตอบแทนกลับมาให้ประชาชนของตนเองมีกินมีใช้เพียงพอโดยไม่ต้องทำงานเมื่อเกษียณแล้ว  เป็นต้น

ผมคงไม่พูดมากนักกับเรื่องว่าจะทำอย่างไรที่แก้ปัญหาที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ในอีก 60 ปี  นั่นควรเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะต้องมองการณ์ไกลและอาจจะต้องเริ่มแก้ไขก่อน  เพราะวิธีแก้ไขนั้นต้องใช้ระยะเวลายาวพอ ๆ กับปัญหา  แต่ผมอยากจะมองหรือจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจและธุรกิจในระยะยาว  แต่เป็นเรื่องที่เราจะต้องตระหนัก  เพราะระยะยาวก็คือ  ระยะสั้นหลาย ๆ  ช่วงที่ต่อกันไปเรื่อย ๆ  ถ้าเราไม่มองระยะยาวเราจะไม่เข้าใจว่าทำไมระยะสั้นแต่ละช่วงเวลาหรือแต่ละปีจึงเกิดสิ่งที่เราเห็น

ประเด็นแรกก็คือการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะถดถอยหรือลดลงไปเรื่อย ๆ  อย่างยาวนาน  สุดท้ายเมื่อครบ 60 ปี  ขนาดของเศรษฐกิจอาจจะลดลงจากปัจจุบันเหลือเพียงครึ่งเดียวหรือต่ำกว่านั้นขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถเพิ่มผลิตภาพได้มากน้อยแค่ไหน  เพราะว่าคนทำงานของเราอาจจะเหลือเพียง 1 ใน 3 หรือต่ำกว่านั้น  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ  ปีต่อปีนั้น  บางปีเศรษฐกิจก็อาจจะดีกว่าปกติได้  แต่ก็จะไม่ยั่งยืน  ปีต่อไปก็อาจจะลดลงต่อ  ดังนั้น  การลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นที่จะให้ได้ผลตอบแทนที่ดีก็ทำได้ยาก

ธุรกิจที่ค่อนข้างที่จะอิงกับจำนวนคนโดยเฉพาะที่เป็นหนุ่มสาวหรือคนทำงานจะค่อย ๆ  ถดถอยลงในระยะยาว  โอกาสที่จะเติบโตน้อยมาก  ตัวสำคัญก็คือ  ที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคารสำนักงานและห้างร้านค้าปลีกเกือบทุกประเภท

บ้านจัดสรรและคอนโดนั้นจะมียอดขายโดยรวมต่อปีลดลงไปเรื่อย  ๆ  และถึงจุดหนึ่งก็จะมีบ้านร้างแบบเดียวกับญี่ปุ่นที่ไม่มีคนอยู่และเจ้าของต้องยกให้คนอื่นเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีอสังหาริมทรัพย์  อาคารสำนักงานก็เช่นเดียวกันโดยเฉพาะเมื่อธุรกิจลดขนาดลงเพราะเศรษฐกิจไม่โตหรือลดลง  ความต้องการพื้นที่สำนักงานก็จะลดลง  และนี่ก็เช่นเดียวกัน  บางปีก็อาจจะดีบ้างแต่ในระยะยาวก็จะกลับมาลดลงต่อ

ช็อปปิงมอลที่กำลังมีการเปิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ก็น่าห่วงมากว่าเปิดแล้วจะมีคนเข้าไปใช้บริการเพียงพอหรือไม่  เพราะคนจะเริ่มน้อยลง  แน่นอนว่าอาจจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น  แต่ในระยะยาวก็ไม่พอที่จะเติมเต็มห้างที่อาจจะมากเกินไปแล้วตั้งแต่วันนี้

รถไฟฟ้าสาธารณะที่เพิ่งเปิดหลายสายรวมถึงที่กำลังสร้างและที่อยู่ในแผน  ถนนหนทางต่าง ๆ  ที่สร้างเพิ่มขึ้นมาตลอดทั้งในเมืองและต่างจังหวัด  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้ผมไม่แน่ใจว่ารัฐเคยคำนึงถึงแนวโน้มด้านประชากรศาสตร์ของไทยที่กำลังลดลงหรือไม่  แผนและงบประมาณอาจจะล้าสมัยหมดแล้ว  สร้างเสร็จแล้วผมก็ห่วงว่าอนาคตอาจจะไม่ค่อยมีคนใช้และกลายเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองก็ได้

ระบบโรงเรียนที่ทำไว้เพื่อรองรับจำนวนเด็กเป็นล้านคนต่อปี  ถึงวันนี้ผมไม่รู้ว่ามีคนคิดหรือไม่ว่าจะต้องเริ่มทำอะไรที่จะรับกับจำนวนนักเรียนที่เหลือเพียงครึ่งเดียว  งบประมาณที่มีจำนวนสูงแทบจะที่สุดนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ที่จะทำให้คนไทยมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจไม่ถดถอยลงและคนไทยมีรายได้สูงกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้

สุดท้ายก็คือ  คนสูงอายุที่ทำงานไม่ได้และจำนวนมากไม่ได้มีเงินออมและเงินลงทุนเพียงพอที่จะใช้ชีวิตอย่างเพียงพอตามอัตภาพจะทำอย่างไร  และนี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นที่สุด  อาจจะแค่ภายใน 10 ปีนี้เท่านั้น

ยังมีประเด็นปัญหาอื่น ๆ  อีกมากที่กำลังจะเกิดขึ้นตามการแก่ตัวของคนที่ยังไม่มีใครคิดไม่ต้องพูดถึงการแก้ไข  ถ้าจะมีผมคิดว่าก็อาจจะเป็นนักลงทุนแบบ VI รวมถึงตัวผมเองที่เริ่มไปลงทุนในตลาดของประเทศที่ยังไม่แก่ตัวแล้ว  เหตุเพราะเราเป็นนักลงทุนระยะยาวที่จะต้องตัดสินใจวันนี้


VVI Membership 🇻🇳

ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://class.vietnamvi.com

หรือ ติดตามเราได้ที่
– Line :@vietnamvi คลิก https://lin.ee/Jy9n680
– website: www.vietnamvi.com
– facebook: https://www.facebook.com/vvinvestor
– Youtube: youtube.com/c/vietnamvi
– E-mail: info@vietnamvi.com