โลกในมุมมองของ Value Investor 2 สิงหาคม 2567
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
บทความวันนี้ของผมจะอ้างอิงบทความที่ผมเคยเขียน 3 บทความเกี่ยวกับการลงทุนและการเลือกหุ้นลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามคือ
บทความแรกชื่อ Super Stock ในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม2565 หรือประมาณ 2 ปี 7 เดือน มาแล้ว ในบทความนั้น ผมเขียนว่า หุ้นที่อาจจะกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” และได้แสดงศักยภาพออกมาบ้างแล้ว น่าจะรวมถึง “หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น MWG …หุ้น VRE ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งของการเป็นช็อปปิ้งมอลของเวียดนาม …หุ้น ACV ซึ่งเป็นผู้บริหารท่าอากาศยานของเวียดนาม …. หุ้น FPT ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งในด้านของการเป็นบริษัทรับงานเอาต์ซอร์ซงานเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทไฮเทคทั่วโลก..”
บทความที่สองที่เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2566 เรื่อง “ลงทุนในหุ้นท็อป 10 แห่งอนาคต” ซึ่งผมพูดถึงกลยุทธการลงทุนระยะยาวแบบ “กึ่ง Passive” ในตลาดหุ้นเวียดนามและผมเลือกหุ้น 10 ตัวจากหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 20 ตัว ในวันนั้น ที่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า
หุ้น 10 ตัวที่ผมเลือกก็คือ 1) หุ้น VCB หรือเวียตคอมแบ้งค์ซึ่งเป็นแบ้งค์และเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นเวียดนาม 2) หุ้น VHM หรือหุ้นวินโฮมที่เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม 3) หุ้น GAS หรือเปโตรเวียดนามที่คล้ายกับหุ้น ปตท. ของไทย 4) หุ้น VNM หรือวีนามิ้ลค์ บริษัทขายนมและผลิตภัณฑ์นมที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม 5) หุ้น FPT 6) หุ้น MSN หรือหุ้นมาซันกรุ๊ปผู้นำทางด้านการผลิตอาหารเช่นบะหมี่สำเร็จรูปและเนื้อสัตว์ 7) หุ้น SAB หรือซาเบโก้ บริษัทผลิตเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม 8) MWG 9) หุ้น VRE และ 10) หุ้น ACV
ที่น่าสังเกตก็คือ หุ้น 10 ตัวที่ผมเลือกนั้น มี 4 ตัวที่ซ้ำกับหุ้นที่ผมคิดว่ามีโอกาสที่จะเป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ซึ่งในความหมายของผมก็คือ หุ้นที่มีโอกาสจะเติบโตมหาศาลขนาดที่ Market Cap. โตเป็น 10 เท่าในเวลา 10 ปีได้ นั่นก็คือ หุ้น FPT MWG VRE และ ACV
บทความที่สามก็คือบทความที่ผมเพิ่งเขียนเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 เรื่อง “หุ้นหมายเลข 1 เวียดนาม” ซึ่งผมทำนายว่าหุ้น FPT มีโอกาสที่จะเป็นหุ้นที่โดดเด่นและใหญ่ที่สุดในแง่ของ Market Cap. ของเวียดนามในอีก 10 ปีข้างหน้า เหตุผลก็เพราะว่าเศรษฐกิจของเวียดนามจะเติบโตเร็วและแข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีระดับโลกซึ่งก็จะนำโดยบริษัท FPT ซึ่งเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเหนือกว่าบริษัทเทคโนโลยีเวียดนามอื่น ๆ มากอยู่แล้วในปัจจุบัน
เวลาที่ผ่านมาเกือบ 3 ปี ผมคิดว่าเราควรมา “ทบทวนความคิด” เพื่อที่ว่าจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดถูกต้องและสิ่งใดผิดพลาด เพื่อที่ว่าจะได้สามารถปรับเปลี่ยนแนวทางและกลยุทธ์ในการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามให้เหมาะสมขึ้นในช่วงเวลาต่อจากนี้ไปอีกอย่างน้อย 7 ปี ที่เป็นเป้าหมายการลงทุนระยะยาวของเรา
สิ่งที่จะต้องดูอันดับแรกก็คือ ผลงานของหุ้นแต่ละตัวตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2565 จนถึงล่าสุดวันที่ 2 สิงหาคม 2567 ของหุ้นที่ถูกคิดว่าจะเป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” 4 ตัว นั่นก็คือ ผลตอบแทนราคาของหุ้น MWG ที่ติดลบประมาณ 6.1% ในช่วงเวลา 2 ปี 7 เดือน หุ้น VRE ติดลบ 47.8% ในขณะที่หุ้น FPT บวกถึง 114.3% และหุ้น ACV บวก 52.5% เฉลี่ยแล้วหุ้นซุปเปอร์สต็อกให้ผลตอบแทน 28.2% ในช่วงเวลา 2 ปี 7 เดือน เทียบกับดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามที่ติดลบถึง 17.3% ดังนั้น ภาพโดยรวมแล้ว หุ้นซุปเปอร์สต็อกทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเหนือกว่าดัชนีถึง 45.5% ในช่วงเวลา 2 ปี 7 เดือน
อย่างไรก็ตาม หุ้น MWG มีผลตอบแทนติดลบเล็กน้อยซึ่งทำให้มีข้อกังวลว่าในอีกกว่า 7 ปีข้างหน้าจะต้องทำผลงานที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เพื่อที่จะสามารถเป็นซุปเปอร์สต็อกที่แท้จริง ในส่วนของหุ้น VRE นั้น ต้องถือว่าน่าผิดหวังมาก เพราะหุ้นตกลงไปถึงเกือบ 50% เหตุผลสำคัญน่าจะมาจากการที่เป็นบริษัทในกลุ่มวินกรุ๊ปซึ่งกำลังประสบกับปัญหาเรื่องธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นที่จะเข้าลงทุนในหุ้น VRE ที่มีรายการเกี่ยวพันกับหุ้นวินกรุ๊ปค่อนข้างมาก
ประเด็นที่สองก็คือ ผลงานของ “หุ้นท็อป 10 ในอนาคต” หลังจากที่ผ่านมาประมาณ 9 เดือน นับจากวันที่ 27 ตุลาคม 2566 ถึง วันที่ 2 สิงหาคม 2567 หุ้นที่มีผลตอบแทนไม่ดีมากที่สุดและเป็นกลุ่มที่ติดลบหรือขาดทุนก็คือหุ้น VRE ที่ลบ 21.6% เนื่องจากปัญหาบรรษัทภิบาล หุ้น SAB ลบ 12.7% เนื่องจากปัญหาการควบคุมแอลกอฮอจากรัฐบาลที่เข้มงวดมาก ส่วนหุ้น VHM ลบ 8.2% ที่มีทั้งปัญหาจากบริษัทแม่คือวินกรุ๊ปและปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำในช่วงนี้
หุ้น VNM ที่ดูเหมือนว่าธุรกิจค่อนข้างอิ่มตัวแต่ก็ยังบวก 5.1% และสุดท้ายคือหุ้น GAS ที่ติดลบ 1.7% ซึ่งก็คงเป็นเพราะเรื่องของอุตสาหกรรมน้ำมันที่อาจจะกำลังถูกดิสรัปท์จากกระแสรถไฟฟ้าระดับโลก นอกเหนือจากการเป็นสินค้าโภคภัณฑ์
หุ้นกลุ่มท็อป 10 ที่มีผลงานดีประกอบไปด้วยหุ้นที่ “ดีที่สุด” คือหุ้น FPT ที่ให้ผลตอบแทนทางด้านราคาถึง 62.7% ในเวลาแค่ 9 เดือน อาจจะตาม “กระแสหุ้นเทคโลก” กลุ่ม Magnificent 7 ที่เติบโตขึ้นแรงมากในช่วงเวลาเดียวกัน
หุ้นที่ดีรองลงมาก็คือ ACV ที่บวกไปถึง 49.2% อานิสงค์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและกำไรที่เพิ่มขึ้นมาก หุ้น MWG บวก 49.8% อานิสงค์จากการฟื้นตัวของธุรกิจหลังจากที่ซบเซาลงมากหลังโควิด-19 ที่คนลดการซื้อโทรศัพท์มือถือลง รวมถึงธุรกิจร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตมีผลงานที่ดีขึ้นมาก
หุ้น MSN ทำผลงานเป็นบวก 24.9% ด้วยเหตุผลว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวและการบริโภคดีขึ้นอย่างชัดเจน และสุดท้ายก็คือหุ้นแบ้งค์ VCB ที่ยังบวกได้ที่ 4.9% แม้ว่าสภาวะเกี่ยวกับตลาดหนี้โดยเฉพาะหุ้นกู้จะไม่ดีนักอานิสงค์จากการล้มละลายของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง
โดยเฉลี่ยแล้ว หุ้น Top-Ten แห่งอนาคตให้ผลตอบแทน 15.5% ในช่วงเวลาประมาณ 9 เดือน และพอ ๆ กับดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามที่ให้ผลตอบแทน 14.9%ในช่วงเวลาเดียวกัน
บทเรียนจากผลงานการลงทุนในหุ้นท็อปเทนแห่งอนาคตนับถึงจุดนี้ก็คือ มันเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีพอสมควร แต่ถ้าจะว่าไปก็อาจจะไม่คุ้มมากนักสำหรับคนที่ลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มากนัก เทียบกับการลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีตลาดที่ทำได้ง่ายกว่าและไม่ต้องดูแลอะไรเลยเพียงแต่ต้องเสียค่าบริหารกองทุนจำนวนไม่มากนัก
บทเรียนที่สำคัญจากผลงานของหุ้นกลุ่มซุปเปอร์สต็อก 4 ตัวก็คือ ถ้านักลงทุน หวังจะรวยหรือ “เปลี่ยนชีวิต” จากการลงทุนได้จริง ๆ จากคนชั้นกลางที่ “ไม่ได้มีต้นทุนจากทางบ้าน” กลายเป็นเศรษฐีโดยไม่ต้องเสี่ยงและทำงานหนักมากเกินไปหรือต้อง “โกง” โดยการ “กินเงินคนอื่น” เช่นการปั่นหุ้นและ/หรือการทำผิดกฎหมาย หนทางหนึ่งที่ทำได้ก็คือการมองหา “ซุปเปอร์สต็อก” ที่ให้ผลตอบแทนดีเยี่ยมและถือให้ยาวที่สุด
และในระหว่างนั้นก็ต้องคอยตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและปรับพอร์ตซุปเปอร์สต็อกถ้าจำเป็น เนื่องจากบางครั้งมันก็อาจจะมีปัญหาที่แก้ไขได้ยาก หรืออาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในสภาพแวดล้อมที่ทำให้มันไม่เป็นซุปเปอร์สต็อกอีกต่อไปอย่างในกรณีของหุ้น VRE
นอกจากนั้น เราก็จะต้องคอยดูว่าหุ้นตัวไหนจะมีศักยภาพที่โดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น “สุดยอดหุ้นหมายเลข 1” ที่เราอาจจะต้องเพิ่มน้ำหนักในพอร์ตมากกว่าหุ้นสุดยอดอื่น อย่างในกรณีของหุ้น FPT หรือ ACV เพราะด้วยวิธีนี้ เราอาจจะสามารถเพิ่มผลตอบแทนทบต้นระยะยาวให้สูงขึ้นกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดในระดับ +10% ต่อปีขึ้นไป แบบที่บัฟเฟตต์เคยตั้งเป้าไว้ในช่วงแรก ๆ ของการบริหารพอร์ตการลงทุนของตนเอง
ก่อนจะจบ ผมเองก็ยังต้องเตือนว่า ไม่ว่าหุ้นจะดีแค่ไหนในสายตาของเรา สิ่งเลวร้ายก็เกิดขึ้นได้เสมอ หน้าที่ของเราก็คือ ต้องกระจายความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ นั่นก็คือ ไม่ใช้มาร์จินและการกู้เงินมาลงทุน พอร์ตหุ้นที่ถือควรจะมีหุ้นหลัก ๆ ประมาณ 5-6 ตัว และตัวที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่ควรจะเกิน 50% ของพอร์ตในทุกช่วงเวลา และนี่ก็คือสูตรของการลงทุนที่เคยเปลี่ยนชีวิตผมที่ตลาดหุ้นไทยที่ผมกำลังใช้อีกครั้งหนึ่งในตลาดหุ้นเวียดนามเกือบ 30 ปีต่อมา
ผมไม่ได้หวังที่จะได้ผลตอบแทนแบบเดิม เพราะผมคงไม่ “โชคดี” แบบนั้นอีกในชีวิตการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังปีวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 แต่ก็เชื่อว่าน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระดับ 10% ต่อปีแบบทบต้นไปอีก 10 ปี และถ้าเป็นแบบนั้น ผมเองก็พอใจแล้ว ส่วนที่เกินจากนั้นก็คงต้องอาศัย “โชค” ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่
รีวิว Update ผลประกอบการและข่าว FPT MWG VRE และ ACV (วันละตัว)
2 ทุ่ม จ. 5-พฤ. 8 ส.ค.นี้ ในกลุ่ม VVI Membership เท่านั้น
VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/
👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/