โลกในมุมมองของ Value Investor    5 ตุลาคม 2567

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ นักพูดชื่อดังและหนึ่งในพิธีกรรายการ Money Talk เคยเล่าเรื่องโจ๊กในรายการโดยการถามผมในฐานะของ “นักลงทุน” ว่า  “อะไรเอ่ย…ราคาไม่เคยแพง?” ผมเองก็ตอบไม่ได้  เพียงแต่คิดว่าอาจจะเป็นสโลแกนของร้านขายปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ  “วอลมาร์ท” ที่ใช้คำว่า  “Low Price, Every Day” หรือ  “ราคาถูกทุกวัน” แต่คำตอบที่ถูกต้องก็คือ  “เมีย”  เพราะเมียนั้น  “ถูกเสมอ” หรือทำอะไรก็ไม่เคยผิด

แต่เมื่อมาคิดถึงหุ้น  ที่แทบทุกตัวนั้นมีราคาขึ้นลงทุกวัน  และนักลงทุน  โดยเฉพาะที่เป็น Value Investor  ต่างก็พยายามหาหุ้นที่ “ไม่แพง” เพื่อที่ว่าจะได้ขายหุ้นทำกำไรได้งดงามก็มักจะเป็นเรื่องที่หาได้ยาก  เพราะหุ้นนั้นมักจะมีความผันผวนขึ้นลงเร็ว  บางครั้งก็แพง  แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายเป็นหุ้นถูก  โอกาสที่จะหาหุ้นที่ถูกอยู่เรื่อย ๆ  หรือถูกเป็นส่วนใหญ่ก็มักจะหาได้ยาก  แต่จากประสบการณ์ของผมที่อยู่ในตลาดหุ้นมานาน  ผมพบว่ามีหุ้นอยู่กลุ่มหนึ่งที่มักจะ “ถูกเสมอ”  ถูกแบบเรื้อรัง  แต่คนที่ซื้อไปก็มักจะไม่สามารถทำกำไรได้สูงกว่าปกติต่อเนื่องยาวนาน  หุ้นกลุ่มนั้นก็คือ  “หุ้นแบ้งค์”

ในตลาดหุ้นไทย  ย้อนหลังไปหลายสิบปีในยามที่ประเทศกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว  เศรษฐกิจเติบโตมาก  ซึ่งทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตตามกันไป  หุ้นแบ้งค์เป็นกลุ่มหุ้นจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุด  คิดเป็นมูลค่าตลาดของหุ้นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ก็เป็นกลุ่มที่มีผลประกอบการของบริษัทเติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวม  แต่ราคาหุ้นก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมากมายนัก  ซึ่งก็ทำให้ราคาหุ้น “ไม่แพง”

และเป็นที่สนใจของนักลงทุนสถาบันโดยเฉพาะที่เป็นต่างชาติ  พวกเขาเข้ามาซื้อจนสัดส่วนหุ้นที่เป็นต่างชาติเต็ม คือไม่เกิน 30%  ส่งผลให้ต้องมีการแยกกระดานที่เป็นหุ้นต่างชาติกับกระดานหุ้นไทย  โดยที่หุ้นกระดานต่างประเทศมักจะมีพรีเมี่ยม  หรือมีราคาสูงกว่าราคาหุ้นที่ถือโดยคนไทย

หุ้นแบ้งค์ที่เวียดนามในช่วงนี้  ที่เศรษฐกิจของเวียดนามกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว  ก็ทำให้ผลประกอบการของแบ้งค์เวียดนามโตเร็วกว่าเศรษฐกิจ  และเช่นเดียวกับแบ้งค์ไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน  Market Cap. ของหุ้นแบ้งค์มีขนาดใหญ่ที่สุดและคิดเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ของตลาดหุ้นเวียดนาม  แต่ราคาหุ้นแบ้งค์โดยเฉพาะปีนี้ก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากนัก  ว่าที่จริงราคาหุ้นแบ้งค์ดูเหมือนจะ “ถูกมาก”  และก็ถูกมานานแล้ว

และก็เช่นเดียวกับหุ้นแบ้งค์ไทยเมื่อหลายสิบปีก่อนที่เป็นหุ้นยอดนิยมของนักลงทุนสถาบันโดยเฉพาะที่เป็นต่างชาติ   ที่เข้าไปไล่ซื้อซึ่งทำให้หุ้นแบ้งค์จำนวนมากมี  “Foreign Premium” หรือมีราคาแพงกว่าหุ้นที่ถือโดยคนเวียดนาม

เหตุผลที่ทำให้หุ้นแบ้งค์มีราคาถูกและถูกต่อเนื่องในความคิดของผมก็คือ  “กิจการของแบ้งค์นั้นมักจะดีเสมอจนถึงวันที่มันเจ๊ง”  ความหมายก็คือ  ในยามปกติ  แบ้งค์ในประเทศกำลังพัฒนามักจะสามารถปล่อยกู้หรือทำธุรกิจเพิ่มขึ้นได้ง่าย  เพราะเศรษฐกิจกำลังเติบโตซึ่งต้องการสินเชื่อจำนวนมาก  และแบ้งค์ทุกแห่งก็สามารถแข่งขันปล่อยกู้ได้เต็มที่  เพราะเงินนั้น  ไม่ว่าจะมาจากแบ้งค์ไหนก็มีคุณสมบัติเหมือนกันหมด  แบ้งค์ไม่ต้องทำการตลาด  อยู่เฉย ๆ  ลูกค้าหรือลูกหนี้ต่างก็มาขอสินเชื่อจนแทบไม่มีเงินพอที่จะให้  ในบางช่วงเวลารัฐบาลหรือแบ้งค์ชาติต้องออกมากำหนดไม่ให้แบ้งค์ปล่อยกู้มากเกินไปด้วยซ้ำ

เมื่อปล่อยกู้ออกไปแล้ว  กำไรก็ไหลมาโดยไม่ต้องทำอะไร  ดอกเบี้ยหรือส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้ลบเงินฝากที่แบ้งค์ได้รับนั้น  เดินหน้าทุกวันไม่เคยหยุด  กำไรแบ้งค์แทบทุกแห่งเติบโตก้าวกระโดด  ต้นทุนสำคัญเช่นค่าแรงและค่าเสื่อมนั้นค่อนข้างคงที่  ต้นทุนสำคัญอีกตัวหนึ่งคือเรื่องของการสำรองหนี้สูญนั้น  ค่อนข้างน้อย  เพราะลูกหนี้ “แข็งแรง” และเพิ่งจะมาขอกู้หนี้เพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตเร็วตามภาวะเศรษฐกิจ  กำไรของแบ้งค์จึงดูดีมาก  นักลงทุนสถาบันจึงแห่กันลงทุนในหุ้นแบ้งค์ 

จนถึงวันหนึ่ง  ก็พบว่าเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไปก่อให้เกิดภาวะการแข่งขันที่รุนแรง  ปริมาณการผลิตสินค้าของกิจการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเร็วกว่าความต้องการ  สินค้าล้นตลาด  บริษัทที่อ่อนแอขายสินค้าไม่ได้  เกิดปัญหาสภาพคล่องทางการเงินและล้มละลาย  ผลิตภัณฑ์สำคัญอย่างหนึ่งก็คืออสังหาริมทรัพย์ที่มักจะเริ่มมีปัญหากลายเป็นหนี้เสีย  ทั้งในกรณีของไทยก่อนปี 2540 และในกรณีของเวียดนามที่เพิ่งจะเกิดเร็ว ๆ  นี้ ที่มีปัญหาไม่สามารถใช้หนี้ได้  ในกรณีของไทยได้ทำให้แบ้งค์ล้มเป็นวิกฤติ  ในกรณีของเวียดนามในปัจจุบันก็เป็นตัวที่ฉุดแบ้งค์ให้ต้องปรับโครงสร้างกันหลายแห่ง

ข้อสรุปก็คือ  แบ้งค์นั้น  มักจะดีไปเรื่อย ๆ  จนถึงวันที่มันจะเจ๊งหรือแย่หนักเนื่องจากหนี้เสียรุนแรง  ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้แก่แบ้งค์ในระดับ  “หายนะ” ซึ่งจะกลืนกินกำไรที่อาจจะสะสมมานาน  ผลก็คือ  ในระยะยาวแล้ว  กิจการแบ้งค์อาจจะไม่ได้ดีมากอย่างที่คิด  แม้ว่าในบางช่วงบางตอนโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตดี  แบ้งค์อาจจะกำไรดีมาก  และดังนั้น   ตลาดทุนหรือตลาดหุ้นจึง “Discount” หรือลดราคาหุ้นแบ้งค์ลงต่ำกว่ากิจการอย่างอื่นที่เมื่อโตแล้วจะไม่เกิดปัญหาแบบแบ้งค์  และนั่นทำให้ราคาหุ้นแบ้งค์ดูเหมือนว่าจะ “ไม่เคยแพง” ค่า PE มักจะไม่เกิน 10 เท่า  บางแห่งแค่ 4-5 เท่าก็มี

ประวัติศาสตร์จากหุ้นแบ้งค์ไทยก็คือ  หลังจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจมาหลายสิบปี  หุ้นแบ้งค์ที่เคยใหญ่โตมากที่สุดในตลาดหุ้นและมี Market Cap. หลายสิบเปอร์เซ็นต์ในตลาดนั้น  มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ  เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น  หุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวแรกในตลาดอาจจะเป็นหุ้นแบ้งค์เสีย 4-5 ตัว ก็อาจจะไม่มีซักตัวแล้วในปัจจุบัน  ดังนั้น  หุ้นแบ้งค์จึงมักจะไม่ใช่หุ้นซุปเปอร์สต็อก  ในระยะยาวไม่สามารถโตไปได้เร็วเกิน 10% ต่อปีอะไรทำนองนั้น  และในระหว่างทางก็มักจะประสบกับ “วิกฤติ” อะไรบางอย่าง

หุ้นแบ้งค์เวียดนามในปัจจุบันเองก็คล้าย ๆ  กับหุ้นแบ้งค์ไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน  หุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัว  เป็นหุ้นแบ้งค์  3-4 ตัว  ผลประกอบการหุ้นแบ้งค์ตอนนี้ก็ดูดีมากและราคา  “ถูกมาก”  ว่าที่จริงหุ้นแบ้งค์นั้น  “ถูกเสมอ” และถูกมานานแล้ว  และสำหรับ “VI” นั้น  หุ้นแบ้งค์เป็นหุ้นที่ “ลงทุนได้” เพราะเป็นกิจการที่ยังเติบโตระยะยาว  ผลประกอบการมั่นคงและสม่ำเสมอและ “กำไรดี”  สามารถคาดการณ์ได้  และที่สำคัญก็คือ  มักจะมีราคาถูกหรือถูกมาก  นอกจากนั้น  ถึงแม้ว่าแบ้งค์บางแห่งอาจจะไม่เข้าข่ายนั้น  แต่มักจะมีหุ้นแบ้งค์บางตัวที่น่าลงทุนเสมอ

แม้แต่วอเร็น บัฟเฟตต์เองก็ยังลงทุนในหุ้นแบ้งค์แทบจะตลอดมา  เขาเคยถือหุ้นแบ้งค์เวลฟาร์โก้มานานก่อนที่จะขายด้วยความผิดหวังเพราะหุ้นตัวนี้   ที่เขาซื้อเพราะมีการบริหารงานที่ดีกว่าแบ้งค์อื่น  เกิดอาการ  “ดีแตก” ซึ่งน่าจะทำให้เขาไม่ได้กำไรอะไรนักจากการลงทุนถือมายาวนาน  ว่าที่จริง  การถือหุ้นแบ้งค์ของบัฟเฟตต์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้  น่าจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนักแม้ว่าบ่อยครั้งเขาเข้าไปถือเพราะแบ้งค์มีปัญหาจาก “วิกฤติ” และราคาหุ้นตกลงมากจนทำให้ราคาหุ้นถูกสุด ๆ  แบบ  “Super Cheap”

กลับมาที่หุ้นแบ้งค์ของเวียดนามในปัจจุบัน  ที่ตอนนี้ถือว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่ใหญ่โตมากที่สุด  ละดูเหมือนว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวขึ้น  วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้หุ้นกู้รวมถึงเงินกู้มีปัญหาก็ดูเหมือนว่ากำลังได้รับการแก้ไข  ผลประกอบการของแบ้งค์น่าจะดีขึ้นมากในช่วงต่อจากนี้  หุ้นแบ้งค์เองก็ถูกมาก  ดังนั้น  หุ้นแบ้งค์น่าจะเติบโตโดดเด่นไหม?

ผมเองไม่สามารถจะตอบได้  แต่โดยส่วนตัวตั้งแต่ตอนสร้างพอร์ตลงทุน “ระยะยาว”  ที่เวียดนามเมื่อปลายปีที่แล้ว  ผมเองมีหุ้นแบ้งค์น้อยกว่าสัดส่วนของแบ้งค์ในตลาดเวียดนามมาก  และก็ไม่ได้ถือหุ้นแบ้งค์โดยตรงเลย  แต่ถือผ่านกองทุน ETF ที่ถือหุ้นแบ้งค์อยู่บ้าง  เหตุผลก็เพราะผมเน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นแบบ “ซุปเปอร์สต็อก” ซึ่งแบ้งค์ไม่เข้าข่าย  และในความคิดของผม  หุ้นแบ้งค์ของเวียดนามในระยะยาวก็น่าจะลดขนาดลงเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นแบ้งค์เป็นกิจการที่ไม่ดีหรือไม่น่าลงทุนในระยะยาว  ว่าที่จริงผมเองก็ยังถือหุ้นแบ้งค์ไทยในระดับที่มีนัยสำคัญ  เหตุผลก็คือ  แบ้งค์นั้นมักจะมีหุ้นที่  “ถูกเสมอ” ที่ทำให้เราสนใจที่จะลงทุน  ประเด็นก็คือ  เราคงต้องจับตามองตลอดเวลาว่า  วิกฤติอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไร  ซึ่งบางทีก็พลาดได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เล่นหุ้นแบ้งค์ก็ต้องดูปันผลว่าควรจะต้องงดงามที่จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวหุ้นวันใดวันหนึ่งได้  


VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/

👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/