โลกในมุมมองของ Value Investor   23 พ.ย. 67

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

มองย้อนหลังกลับไปในตลาดหุ้นไทยถึงปีประมาณ  2544-2545 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวเต็มที่หลังวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ปี 2540   และเป็นปีที่แนวคิดการลงทุนแบบ “Value Investing”  เริ่มได้รับการยอมรับในหมู่ “นักลงทุนรุ่นใหม่”  อย่างกว้างขวาง  มาจนถึงวันนี้  ก็ต้องยอมรับว่า  นักลงทุน VI ของไทยประสบความสำเร็จสูงมาก  จำนวนไม่น้อยทำผลตอบแทนการลงทุนปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์แบบทบต้นและทำให้รวยเป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐีและเป็นที่ยอมรับว่าเป็น  “เซียน VI” ในวันนี้

ความสามารถในการเลือกหุ้นโดยใช้หลักการแบบ VI ดูเหมือนว่าจะเป็น “ปัจจัยหลัก” หรือปัจจัยประการเดียวที่ทำให้ VI ประสบความสำเร็จ  หรืออย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ “เซียน VI” พูดถึงเวลาคุยหรือให้สัมภาษณ์พิธีกรหรือผู้สื่อข่าวเมื่อถูกถามว่าอะไรคือ “สูตรแห่งความสำเร็จ” ของการเป็น VI   แทบจะไม่มีใครพูดถึงสภาวะของตลาดหุ้นหรือแม้แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจว่ามันเอื้ออำนวยต่อการลงทุนหรือไม่  คนสนใจแต่เฉพาะตัวหุ้นหรือกิจการที่กำลังเติบโตและเอาชนะคู่แข่งที่บริหารงานด้วยแนวทางการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่กำลังค่อย ๆ  ล้มหายตายจากอานิสงค์ส่วนหนึ่งจากภาวะวิกฤติการเงินในปี 2540

ในช่วงเวลานั้น  ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเลือกซื้อหุ้น  “VI” ซักตัวหนึ่ง  ที่ราคาหุ้น “เริ่มขยับ”  และเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญถึงใน “หมู่นักลงทุน VI” ที่เริ่มรวมตัวกัน “ค้นหาหุ้น” ที่กำลังเติบโต  ราคาไม่แพง  และเข้าเกณฑ์ของการเป็น “หุ้น VI”  ซื้อซักพักราคาหุ้นก็มักจะ “วิ่ง” ตามยอดขายสินค้าที่กำลังโตและกำไรที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจหรือ GDP ที่กำลังดีขึ้นจากติดลบเป็นบวก 3-4% และกำลังกลายเป็นปีละ 6-7% ในปี 2545-2547

หุ้นที่วิ่งขึ้นไปก็มักจะถูกเทขายในเวลาไม่นาน  เหตุผลก็คือ  VI ได้กำไรมากแล้วจากหุ้นตัวนั้นและต้องการเงินสดที่จะเข้าลงทุนในหุ้นตัวใหม่ที่ “ยิ่งสดใสกว่า” ในการลงทุนรอบใหม่  ยิ่งไปกว่านั้น  เงินที่มีอยู่ดูเหมือนว่าจะไม่พอที่จะทำกำไรให้มากยิ่งขึ้นไปอีก   VI จำนวนมากจึง  “ลงทุนร้อยเปอร์เซ็นต์” ในตลาดหุ้น  และเป็นการลงทุน “เพื่อชีวิต”  และหวังที่จะมีอิสรภาพทางการเงินหรือรวยไปเลย

ปี 2008 หรือปี พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นปีวิกฤติซับไพร์มทำให้กระแส VI สะดุดลงไปบ้างแต่ก็เพียงปี-สองปี  ที่ GDP ไม่โตเลย  แต่หลังจากนั้นก็กลับมาโตในระดับกว่า 7% อีกครั้ง   เช่นเดียวกับดัชนีตลาดหุ้นที่ฟื้นตัวกลับมาและกลับมาเป็น  “All Time High” หรือสูงที่สุดใหม่เกิน 1,000 จุดจาก 450 จุดในช่วงวิกฤติ  และเป็นจังหวะเวลาที่ “VI รุ่นใหม่” ที่อายุน้อยและมีพ่อแม่ที่ฐานะการเงินดี  มีการศึกษาสูงและสนใจการลงทุนในตลาดหุ้น

ช่วงเวลาเดียวกัน  นอกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้ว  รัฐบาลเองก็เริ่มเข้ามาส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้นเพราะเห็นว่าเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญเช่นเดียวกับเป็นแหล่งออมเงินให้กับประชาชนที่อาจจะเริ่มแก่ตัวลงและต้องเตรียมตัวสำหรับการเกษียณในอนาคต  มาตรการสำคัญอย่างหนึ่งก็คือการอนุมัติให้มีกองทุนระยะยาวที่ลงทุนในหุ้นหรือ  LTF ที่ให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีรายได้ส่วนบุคคล  และต่อมาก็คือการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เป็น 20% ต่อปี ตั้งแต่ช่วงปี 2551 ถึง 2556

ด้วย “Timing” ที่เหมาะสมต่อการลงทุนในตลาดหุ้น  “สมบูรณ์แบบ” แบบนั้น  คือการที่เศรษฐกิจกลับมาโต  และเม็ดเงินที่ถูกส่งเสริมหรือควบคุมให้พุ่งเข้ามาสู่ตลาดหุ้น  ทั้งจากการที่ประชากรแก่ตัวลงและเตรียมออมเงินเพื่อการเกษียณ  รวมถึงการที่รัฐบาลให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ  ดัชนีตลาดหุ้นก็วิ่งขึ้นเป็น  “4 ปีทองของการลงทุน”

ในช่วงเวลานั้น  “VI รุ่นใหม่” ที่มักจะไม่มีพันธะอะไรเลย  แต่มีผู้สนับสนุนคือพ่อแม่ที่มีฐานะดีจึงสามารถ  “Take Risk” หรือกล้าเสี่ยงได้เต็มที่  จำนวนมากนอกจากจะลงทุนเต็มร้อยแล้วก็ยังกู้ยืมเงินจากพ่อแม่มาลงทุนพร้อม ๆ  กับการใช้มาร์จินในหุ้นเต็มพิกัด  และเท่านั้นยังไม่พอ  เขายังกล้าที่จะลงทุนหุ้นเพียงตัวหรือสองตัวประเภท  “All In” ด้วยเงินทั้งหมด  ในหุ้นบางตัวที่เขามีความมั่นใจเป็นอย่างสูง

เรื่องราวของคนหนุ่มที่ “จำนองบ้าน” เพื่อเอาเงินมาซื้อหุ้นแบบตัวเดียว  แล้ว “เกือบพลาด” นั้น  เป็นเรื่องราวที่ “สร้างแรงบันดาลใจ” ให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะหนุ่ม ๆ  ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ในตลาดหุ้นได้ก่อให้เกิด  “เซียน  VI” โดยเฉพาะรุ่นใหม่หลาย ๆ  คน  เม็ดเงินหรือขนาดของพอร์ตในช่วงพีกนั้นต้องพูดว่า “มหัศจรรย์” และที่ผมเคยอ่านและศึกษามานั้น  แทบจะไม่มี VI ประเทศไหนเลยที่ทำได้

แต่ความสำเร็จทั้งหมดนั้น  ดูเหมือนจะค่อย ๆ หายไปในช่วงอาจจะประมาณอย่างน้อย 5 ปีที่ผ่านมา  สำหรับบางคนก็อาจจะ 10 ปีแล้วที่ผลงานการลงทุนไม่ได้ดีอย่างที่เคยเป็น  “เซียน VI” หลาย ๆ  คนก็ค่อย ๆ  “หายไป” จากวงการ  คนที่เคยมี  “แมจิก” คือเล่นตัวไหน  ตัวนั้นก็วิ่งระเบิด  เดี๋ยวนี้ก็อาจจะไม่เป็นแล้วเพราะคนอาจจะไม่เชื่อ  ผลตอบแทนการลงทุนเองนั้น  ก็ดูเหมือนว่าน่าจะถดถอยลงมากแม้ว่าเราอาจจะไม่มีวันรู้ว่าเป็นอย่างไร  

การเลือกหุ้น “ถูกตัว” ซึ่งเป็น  “ซิกเนเจอร์”  ของ “เซียน VI” นั้น  ผมคิดว่าคงจะยากขึ้นมาก  เหตุผลสำคัญก็คือ  หุ้นของกิจการที่ดีเด่นหรือเติบโตเร็วและแข็งแกร่งในประเทศไทยอาจจะมีน้อยลงมากแล้วเนื่องจากความถดถอยของเศรษฐกิจไทยที่เริ่มอิ่มตัวลงอย่างรวดเร็ว  และแม้ว่าบางคนจะยังเชื่อหรือบอกว่าประเทศไทยก็ยังมีกิจการที่ดีเด่นอยู่และแม้ว่าอาจจะยังเล็กก็ยังพอหาได้

แต่ประเด็นของผมก็คือ  โอกาสที่เราจะมองพลาดก็คงจะมากกว่าเดิม  นอกจากนั้น  ความโดดเด่นถ้าจะมีก็อาจจะไปไม่ได้ไกลมากเมื่อคำนึงถึงว่าเศรษฐกิจไทยโตช้าลงและขาดความสามารถในการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ บริษัทจะโตไปมาก ๆ ได้อย่างไรในยุคที่สินค้าใหม่ ๆ ของโลกต่างก็เน้นความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีชั้นสูงที่ประเทศไทยขาดแคลน

นั่นนำมาถึงความคิดของผมว่า  ถ้าจะประสบความสำเร็จในการลงทุนมากจริง ๆ  ในยุคต่อไปเราจะต้องเปลี่ยนแนวทางใหม่ของการลงทุนโดยที่จะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงินที่เอื้ออำนวยเช่นเดียวกับตัวหุ้นที่มีคุณภาพดีและมีโอกาสเติบโตและแข็งแกร่งในอนาคต  และนั่นนำมาถึง  “สูตรการลงทุน” ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จสูงนั่นคือ

เราจะต้องลงทุน “ถูกที่”  ในตลาดหุ้นของประเทศที่จะเติบโตเร็วต่อไปอย่างน้อยซัก 10 ปี ซึ่งเวลานี้ก็อยู่ในแถบเอเชียตอนใต้ เช่น อินเดีย  เวียดนามและอาเซียนยกเว้นไทยและเมียนมาร์  และต้องเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่  หรือประเทศที่มีความก้าวหน้าสูงและมีความสามารถที่จะสร้างบริษัทระดับโลก  อย่างเช่นสหรัฐอเมริกา  จีน  ใต้หวัน  และประเทศในยุโรปหรือสแกนดิเนเวียบางประเทศ  เป็นต้น

เราจะต้องลงทุน “ถูกเวลา” ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่จะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดเพิ่มขึ้น  ไม่ว่าจะมาเพราะเหตุใด  อาจจะเป็นเรื่องของดอกเบี้ยที่ลดลง  หรือการที่ประเทศมีเม็ดเงินเหลือเพื่อเตรียมเกษียณ  หรืออาจจะเป็นเพราะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในประเทศเพื่อหวังผลตอบแทนที่ดีอย่างในกรณีของเวียดนามที่นักลงทุนอาจจะอยากมาหาผลตอบแทนที่ดีได้เมื่อตลาดหุ้นของประเทศได้รับการยอมรับจาก MSCI เป็นต้น

สุดท้ายถึงจะเป็นการลงทุนหุ้น “ถูกตัว” นั่นก็คือ  การ “เลือกหุ้นแบบ VI” ที่มีการวิเคราะห์หามูลค่าพื้นฐานและซื้อหุ้นในราคาที่มี  “Margin of Safety” เพียงพอ

ทั้งหมดนั้นจะทำให้ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในระยะยาว  และการเลือกตลาด “ถูกที่”จะเป็นสิ่งที่จะบอกถึงความสำเร็จค่อนข้างมาก  การเข้าไปลงทุนแบบ “ผิดเวลา” บางทีก็ไม่ได้ทำให้เสียหายมาก  เพียงแต่ผลตอบแทนอาจจะไม่ดีเท่าที่คิด

การลงทุนถูกเวลานั้น  สำคัญมากเช่นเดียวกัน  ถ้าถูกที่  ถูกเวลา  อย่างเช่นสมมุติว่าลงทุนในเวียดนาม  อาจจะในช่วงนี้  แล้วก็ปรากฏว่าตลาดหุ้นเวียดนามได้รับการปรับอันดับเป็นตลาดเกิดใหม่ภายในเวลาอันสั้น  ก็อาจจะทำให้หุ้นขึ้นแรงและทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในเวลาอันสั้น

การลงทุน “ผิดตัว” นั้น  ในบางกรณีก็อาจจะไม่รุนแรงนักในตลาดที่ถูกที่และถูกเวลา  เพราะในสถานการณ์แบบนั้น  หุ้นเกือบทั้งหมดก็อาจจะไปได้ดี  ถ้าลงทุนไม่ถูกตัวก็ได้ผลตอบแทนไม่มากนักแต่ก็อาจจะไม่เสียหาย  ในกรณีที่เลือกไม่เป็นและลงทุนหุ้นตามดัชนี  ผลตอบแทนก็จะไม่เลวนัก

แต่ถ้าลงทุนหุ้น “ถูกตัว” ด้วย  เช่น  เป็นหุ้นที่เติบโตเร็ว  แข็งแกร่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่กำลังโตเร็ว  ผลตอบแทนที่ได้ก็จะ  “ระเบิด” อาจจะทำให้  “รวยไปเลย” และคนที่ทำก็อาจจะกลายเป็น  “เซียน VI” รุ่นใหม่  ซึ่งก็อาจจะคล้ายกับสถานการณ์ในตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังปี 2551 ที่ได้สร้างเซียน VI ในปัจจุบัน  ที่อาจจะกำลังกลายเป็นอดีต


สัมมนาออนไลน์เจาะลึกหุ้นเวียดนาม – จีน 🇻🇳🇨🇳
LITTLE VS BIG DRAGON
🗓️ 15 ธ.ค. 2567 🕘 9.00-17.00 น.

🔴 รายละเอียด:
https://www.vietnamvi.com/2024/11/09/online-15-dec/

VVI Membership แบบทั่วไป 1,990 บาท
https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/

VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/