โลกในมุมมองของ Value Investor    18 มกราคม 2568

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  เกือบทุกสัปดาห์จะมีหุ้นที่บ่อยครั้งถูกคิดว่าเป็น  “หุ้นดี” หรือ “หุ้นสุดยอดแห่งยุคสมัย” เกิดอาการ  “คอร์เนอร์แตก” นั่นคือ  ราคาหุ้นตกลงมาอย่างแรงโดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงหรือผิดปกติกับตัวบริษัท  และหลังจากนั้นอีกหลายวัน  ราคาหุ้นก็ยังคงตกลงมาต่อเนื่อง  จนบางทีราคาตกลงไปเกินครึ่งก่อนที่ทางตลาดหลักทรัพย์และ/หรือบริษัทจะแถลงว่าเกิดอะไรขึ้น?

ส่วนใหญ่แล้ว  คำตอบก็คือ  ไม่มีอะไร!  บริษัทยังดำเนินการตามปกติ  ผลประกอบการก็ปกติ  บางทีจะบอกว่าดีขึ้นด้วยซ้ำ   เหตุการณ์หุ้นตกส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการขายหุ้นที่อาจจะถูกบังคับขายหรือ Force Sale โดยสถาบันการเงินที่รับจำนำหุ้นไว้จำนวนมากที่ต้องการเงินคืนและคนจำนำ  ซึ่งบางครั้งก็คือผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัท  ไม่มีเงินสดที่จะไปใช้คืนเงินที่กู้มามากมาย

และเงินที่กู้มาก็เพื่อที่จะไป “ไล่” ซื้อหุ้นจำนวนมากจนทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นสูงลิ่ว   ซึ่งก็เป็นกระบวนการที่เรียกว่าการ  “Corner หุ้น” ซึ่งทำให้หุ้นมีราคาหรือมูลค่าสูงเกินความเป็นจริงไปมาก  และทำให้คนทำมีความมั่งคั่งสูงเกินความเป็นจริงไปมาก  และก็เป็นอยู่อย่างนั้นมา  บางทีหลายปี 

มองในเชิงเศรษฐศาสตร์ก็อาจจะอธิบายได้ว่า  ราคาหุ้นปกตินั้นถูกกำหนดโดยความต้องการซื้อหุ้นและปริมาณหุ้นที่คนต้องการขายที่เรียกว่า “หุ้น Free Float”  ซึ่งโดยปกติแล้ว  ราคาของหุ้นก็จะอยู่ที่การประเมินหรือคาดการณ์ตามพื้นฐานของกิจการเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกำไรของบริษัทและมุมมองในอนาคตว่าจะเติบโตไปแค่ไหนอย่างไร

พูดง่าย ๆ  ราคาหุ้นปกติจะขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อของคนที่ลงทุนที่เน้นพื้นฐานของกิจการ  และ  เช่นเดียวกับคนที่ต้องการขายหุ้นที่ประเมินมูลค่าพื้นฐานเช่นเดียวกัน  เมื่อคนสองฝ่ายเจอกันในปริมาณหุ้นที่เท่ากัน  ราคาจึงตกลงกันและเกิดเป็น  “ราคาตลาด” ที่เหมาะสม  เช่น  ถ้าเป็นสถาบันการเงินระดับปานกลาง  ค่า PE ก็ควรจะประมาณไม่เกิน 10 เท่า  ที่โดดเด่นหน่อย  อาจจะมีค่า PE  “ถึง 12-13 เท่า” เป็นต้น

วันหนึ่ง  หลายปีมาแล้ว  ในตลาดหุ้นไทย  อาจจะมีคนค้นพบว่า  วิธีที่จะทำให้หุ้นมีราคาสูงขึ้นได้ก็คือการเปลี่ยนหรือ “ชุบตัว” ให้คนมองภาพของบริษัทหรือหุ้นเปลี่ยนไปจากธรรมชาติที่แท้จริงได้  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  การสร้างเรื่องราวหรือ Story ให้กับบริษัท  จากบริษัทธรรมดาหรือเก่งในระดับหนึ่งให้กลายเป็นบริษัทที่เก่งหรือโดดเด่น  บางที  “ระดับโลก”  หรือจากบริษัทที่โตเท่า ๆ  หรือดีกว่า GDP เล็กน้อย  ให้กลายเป็นหุ้นโตเร็วมากแบบ “Super Growth” โตปีละ 30-40% เป็นต้น

แต่ลำพังการสร้างเรื่องนั้น  มักจะไม่พอที่จะทำให้หุ้นขึ้นไปได้ไกลมากหรือเร็วมาก  จำเป็นต้องมี “ความต้องการจริงของนักลงทุน” ที่ “ซื้อสตอรี่” นั้น  ดังนั้น  “ความต้องการเทียม” จึงเกิดขึ้น  อาจจะโดยผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัท  หรือบางทีก็เป็นคนนอกที่มองเห็นโอกาสที่จะทำคอร์เนอร์ได้สำเร็จ  แต่ในความเป็นจริงก็คือ  มักจะเป็นการร่วมมือกันทั้งสองฝ่ายมากกว่า  เพราะการร่วมมือจะทำให้เกิดพลังและโอกาสสำเร็จสูงขึ้นมาก

ความต้องการเทียมก็คือ  การกวาดซื้อหุ้นทั้ง ๆ  ที่ตนเองก็ไม่ได้มีความต้องการซื้อขนาดนั้นและ/หรือในราคาระดับนั้น   ว่าที่จริง  ในกรณีที่เป็นเจ้าของบริษัทอยู่แล้ว  จะซื้อหรือเอาหุ้นมากขนาดนั้นไปทำอะไร?  และที่เอาหุ้นเข้าตลาดนั้นก็ตั้งใจจะขายลดปริมาณหุ้นของตนให้นักลงทุนคนอื่นอยู่แล้ว  ดังนั้น  การซื้อหุ้นคืนจึงไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากเพื่อที่จะทำให้หุ้นขึ้นมาแรงและสร้างความมั่งคั่งให้ตนเองและเพื่อที่จะขายออกไปในภายหลัง

Demand หรือความต้องการเทียม  ไม่ว่าจะมาจากเจ้าของหรือนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาซื้อหุ้น  ทำให้ราคาหุ้น “สูงลิ่ว” ผิดธรรมชาติมาก  หุ้นจำนวนมากที่เกิดจากการทำคอร์เนอร์มีค่า PE สูงกว่าค่า PE ปกติบางทีหลายเท่า  ทั้ง ๆ  ที่คุณสมบัติหรือความสามารถในการแข่งขันไม่ได้เหนือกว่าหุ้นอื่น ๆ  เลย  อาจจะมีบ้างที่อาจจะ “โตเร็วกว่า” ซึ่งก็สามารถทำให้คนหลงเชื่อได้ว่าเป็นบริษัทที่ “ดีกว่า”  อย่างไรก็ตาม  บ่อยครั้งก็เป็นเรื่องของการ  “สร้างการเติบโต” แต่เป็นการเติบโตที่ไม่มีคุณภาพ  อาจจะโดยการซื้อกิจการหรือขยายไปทำกิจการที่มีความเสี่ยงสูงและอาจจะล้มเหลวในภายหลัง

เวลาผ่านไปหลายปี  หุ้นที่ถูกคอร์เนอร์จำนวนไม่น้อยทยอย  “คอร์เนอร์แตก” ราคาหุ้นล่มสลาย  อย่างไรก็ตาม  ยังมีหุ้นจำนวนไม่น้อยที่ยังอยู่ในคอร์เนอร์ได้แม้ว่าราคาจะทยอยลดลงเรื่อย ๆ  แต่ค่า PE ก็ยังสูงกว่าที่ควรจะเป็น  ส่วนหนึ่งก็เพราะกำไรของบริษัทไม่เพิ่มขึ้น  บางแห่งกลับลดลง  และนั่นสร้างความกังวลให้กับคนที่ยังถือหุ้นอยู่และทำให้เขาอยากขาย  โดยเฉพาะในยามที่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาและตลาดหุ้นซึมและตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ

ถึงตอนนี้ดูเหมือนว่า  แม้แต่หุ้นที่มีศักยภาพ  และช่วงหนึ่งแทบจะเป็น “หุ้นแห่งอนาคต” ก็ไม่สามารถชักจูงให้คนเชื่อว่าพื้นฐานของกิจการสามารถรองรับ “ราคาหุ้นในคอร์เนอร์” ที่อยู่มานานได้  ความต้องการเทียมที่เข้าไปซื้อหุ้นในช่วงการทำคอร์เนอร์กำลังถูกดึงกลับโดยสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้ไปทำคอร์เนอร์  และนั่นทำให้ราคาหุ้นควรจะกลับไปสู่พื้นฐานที่แท้จริงของบริษัท

และพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทมักจะต้องเกิดจากนักลงทุนจำนวนมากที่วิเคราะห์หุ้นและประเมินราคาที่ตนเองต้องการซื้อหรือขายเพื่อหวังผลตอบแทนระยะยาวที่เหมาะสม  ไม่ใช่เกิดจากความเห็นหรือความต้องการซื้อหรือขายของคนเพียงไม่กี่คนที่ใช้เม็ดเงินก้อนใหญ่เข้าไปซื้อ-ขายในหุ้น Free Float ที่มีจำนวนน้อย  ซึ่งทำให้สามารถชี้นำราคาได้อย่างแทบจะไม่จำกัด

คำถามสำคัญมากก็คือ  หุ้นที่ “คอร์เนอร์แตก”  ราคาตกลงมาหนักมาก  บ่อยครั้งเกิน 50% และบางตัวถึง 80% นั้น  เราควรเข้าไปซื้อลงทุนหรือไม่?  เหนือสิ่งอื่นใด  บางบริษัทก็บอกว่าบริษัทไม่ได้มีปัญหาอะไรและยังดีอยู่  “ตามปกติ” ทุกอย่างเป็นไปตามแผน  ดังนั้น  นั่นหมายถึงว่าราคาหุ้นควรกลับไปที่เดิมก่อนคอร์เนอร์แตกหรือไม่?

คำตอบเบื้องต้นของผมก็คือ  การที่จะหวังว่าราคาจะกลับไปที่เดิมได้นั้น  ผมคิดว่ามีโอกาสน้อยมาก  เนื่องจากหุ้นที่อยู่ในคอร์เนอร์นั้น  มี Demand หรือความต้องการถือหุ้นเทียมอยู่ไม่มากก็น้อย  ถ้าความต้องการนั้นลดลง  คือมีการขายหุ้นออกไปโดยเฉพาะที่ถูก Force Sale  ราคาหุ้นก็ต้องตกลงมาค่อนข้างแน่  เราต้องเลิกคิดถึงราคาเก่าไปอย่างสิ้นเชิง

ราคาใหม่ที่หุ้นตกลงมาและเราอาจจะเข้าไปลงทุนได้นั้น  ต้องเป็นราคาที่เหมาะสมตามพื้นฐานของธุรกิจ  และตัวที่ใช้มากที่สุดก็คือ  กำไรและค่า PE ของหุ้นตัวนั้น  และนั่นก็กลับมาสู่วิธีวิเคราะห์การลงทุนแบบ VI พันธุ์แท้ดั้งเดิมที่เน้นว่า  ราคาหุ้นต้องไม่แพง  และการวิเคราะห์ต้องไม่ลำเอียง  อย่าตื่นเต้นกับสตอรี่ที่คนสร้างขึ้นเพื่อ “หลอกกินเงิน” เรา  เช่นบอกว่าบริษัทนั้นมีผลิตภัณฑ์โดดเด่นเก่งกว่าคู่แข่ง  ตลาดเติบโตมหาศาล  บริษัทมีกำไรเหนือคู่แข่งเพราะเหตุผลต่าง ๆ  เป็นต้น   นอกจากนั้น  ก็ไม่ต้องเชื่อ “เซียนหุ้น” ที่ถือหุ้นจำนวนมากและนักวิเคราะห์ที่ส่วนใหญ่ก็ฟัง “สิ่งดี ๆ” มาจากผู้บริหารเป็นหลัก

หุ้นคอร์เนอร์แตกบางตัวอาจจะตกลงมา 50% แล้ว  แต่เนื่องจากค่า PE ก่อนแตกอยู่ที่  50 เท่า  ดังนั้น PE ใหม่ก็ยังคงสูงถึง 25 เท่า  แต่ธุรกิจที่บริษัททำนั้น  เป็นอะไรที่มีคนทำกันมาก  คู่แข่งสูงมากและบริษัทก็ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นหรือได้เปรียบคนอื่น  ธุรกิจลักษณะนี้เราหาหุ้นที่มีค่า PE 10 เท่า แถมให้ปันผลปีละ 4-5% ได้ไม่ยาก  ถ้านึกหุ้นตัวไหนไม่ออกก็ซื้อหุ้นแบ้งค์ขนาดใหญ่ก็ได้  ดังนั้น  การที่หุ้นตกลงมา 50%  จึงไม่ใช่เหตุผลที่ควรจะซื้อ  ตรงกันข้าม  ถ้าถืออยู่ก็ควรจะขาย

หุ้นคอร์เนอร์แตกบางตัว  ซึ่งอาจจะเป็นส่วนมากของหุ้นที่หุ้นตกถล่มทลายด้วยซ้ำนั้น  มีปัญหาที่ตัวบริษัทด้วย  บางบริษัทก็ชัดเจนตั้งแต่แรก  เพราะเหตุผลที่หุ้นตกนั้นเป็นเพราะบริษัทเจ๊งไม่สามารถชำระหนี้ได้  หรือบริษัทมีการฉ้อฉลที่ถูกจับได้  หรือผลประกอบที่ออกมาขาดทุนหนักมาก  เป็นต้น  ทั้งหมดนั้นมักทำให้หุ้นตกในระดับหายนะและต้องใช้เวลาฟื้นฟูยาวมาก  การเข้าไปซื้อหุ้นเป็นความเสี่ยงที่ประเมินได้ยากมาก  ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องเลย

โดยสรุปก็คือ  โอกาสที่จะพบกับหุ้นคอร์เนอร์แตกที่ราคาลงมาจนถึงจุดที่จะเข้าซื้อเพื่อลงทุนแบบ VI ในช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะยากพอสมควร  เหตุผลก็คือ  หุ้นส่วนใหญ่ที่อยู่ในคอร์เนอร์ของตลาดหุ้นไทยนั้น  มีราคาที่วิ่งขึ้นไปสูงมาก  หุ้นจำนวนมากราคาขึ้นไปหลาย ๆ  เท่าในเวลาเพียงไม่กี่ปี และทำให้ค่า PE สูงสุดกู่ระดับเดียวกับ “หุ้น 7 นางฟ้า” ของอเมริกา  ดังนั้น  เวลา  “แตก” ลงมา  คนก็อยากเข้าไปช้อนซื้อ  เพราะคิดว่าลงมามากเกินไป  ซึ่งทำให้ค่า PE ลงมาไม่ถึงจุดที่น่าสนใจลงทุนซักที    


VVI Membership แบบทั่วไป 1,990 บาท

https://class.vietnamvi.com/pro…/p1-membership-superstock/

VVI Membership + Class 1-3

ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/