โลกในมุมมองของ Value Investor 28 มี.ค. 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วิกฤติตลาดหุ้นนั้นเป็นทั้ง “วิกฤติ” และ “โอกาส” สำหรับนักลงทุนที่จะเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นความจริงที่ว่าโอกาสนั้นมีมากและหลาย ๆ คนก็เคยลงทุนและร่ำรวยมาจากการลงทุนในยามวิกฤติที่ราคาหุ้นตกต่ำลงมาก ซื้อหุ้นและถือยาวจนกระทั่งตลาดฟื้นและราคาหุ้นขึ้นไปมากมายจนทำให้คนถือกลายเป็นเศรษฐี แต่ก็มีไม่น้อยที่ลงทุนซื้อหุ้นในยามวิกฤติแล้วก็ “เจ๊ง” ไปอย่างเงียบ ๆ เพราะหุ้นที่ซื้อนั้นล้มละลายหรือกิจการถูกลดทุนและถูกควบรวมกลายเป็นของเจ้าหนี้หรือคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของเดิม ดังนั้น การลงทุนหุ้นในยามวิกฤติจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ถ้าซื้อหุ้นผิดตัว อันตรายก็มหาศาลจนอาจเป็นหายนะ ซื้อหุ้นถูกตัวและไม่รีบขายแบบเก็งกำไร โอกาสร่ำรวยแบบ “เปลี่ยนชีวิต” ก็เป็นไปได้
วิธีเลือกหุ้นในยามเกิดวิกฤติโดยเฉพาะในรอบนี้ที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าซึ่งทำให้ผู้คนต้องหยุดหรือเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างมากในระยะเวลาอันสั้นนั้น ผมคิดว่าเราควรจะแบ่งหุ้นทั้งตลาดออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ที่ถูกไวรัสกระทบและดูว่าเมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วมันจะเป็นอย่างไร ประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะเน้นมากก็คือ วิกฤติ Covid19 ครั้งนี้มีความแตกต่างจากวิกฤติครั้งก่อน ๆ ที่มักจะเป็นเรื่องของการเงินอย่างมีนัยสำคัญก็คือ มันเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไปในทิศทางที่บางทีมันก็เปลี่ยนอยู่แล้วเพราะการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโดยเฉพาะทางดิจิตอล แต่วิกฤติทำให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นเร็วขึ้นมากเพียงแค่ชั่ว “ข้ามคืน” แทนที่จะใช้เวลาเป็น “ปี ๆ หรือสิบ ๆ ปี” หรือพูดง่าย ๆ Disruption หรือการทำลายล้างธุรกิจนั้นเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดมาก ซึ่งนั่นหมายความว่า ความตกต่ำของธุรกิจบางอย่างในช่วงเวลานี้เนื่องจากผลของวิกฤติโควิด19นั้น เมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป ธุรกิจอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป รายได้และกำไรหลังวิกฤติอาจจะไม่กลับมาเท่าเดิมก่อนวิกฤติ ทุกอย่างอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และนั่นก็หมายความว่าหุ้นตัวนั้นก็จะไม่ดีเหมือนเดิม
หุ้นกลุ่มแรกที่ผมคิดว่าน่าสนใจและถ้าราคาหุ้นลดลงมากจากราคาก่อนวิกฤติก็คือหุ้นที่เป็น “Survivor” หรือ “ผู้อยู่รอด” ที่มีความแข็งแกร่ง เป็นผู้นำ และปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในช่วงวิกฤตินี้ได้ หลังจากวิกฤติผ่านไป กิจการจะแข็งแรงเหมือนเดิมหรือแข็งแรงขึ้น พวกเขาจะเติบโตขึ้นอานิสงค์ส่วนหนึ่งจากการล้มหายตายจากหรือพิการจากผลของโควิด19 ของคู่แข่ง การซื้อหุ้นเหล่านี้ในยามที่หุ้นตกลงมาแรงมากแล้วถือไว้ต่อไปยาวนานจะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องยาวนานเป็นซุปเปอร์สต็อกได้
หุ้นในกลุ่มนี้โดยธรรมชาติไม่ควรเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่จะถูก Disrupt อย่างง่าย ๆ เนื่องจากเหตุผลที่ว่าผลิตภัณฑ์หลัก ๆ ของมันเป็นสิ่งที่จำเป็นและเทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้ มันควรจะเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการที่มีต้นทุนต่ำที่สุดเนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่มากเทียบกับคู่แข่ง นอกจากนั้น มันจะต้องมีความสามารถและศักยภาพที่จะกระจายสินค้าและบริการด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับราคาของสินค้า หรือพูดง่าย ๆ มันไม่ถูก Disrupt ในแง่ของสินค้าและในด้านของช่องทางการค้าโดยเฉพาะ E-Commerce เพราะมันสามารถปรับตัวเองให้สามารถค้าขายผ่านอินเตอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพในยามที่ทุกคนต่างก็จำเป็นต้องเข้าสู่ระบบนี้อย่างไม่มีทางเลือกในช่วงไวรัสระบาด เหตุผลก็เพราะ เมื่อทุกคนเริ่มคุ้นเคยกับระบบนี้เพราะความจำเป็นแล้ว เขาก็อาจจะไม่อยากกลับไปสู่ระบบเดิมที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่า สำหรับผมแล้ว ผมจะมองดูว่าบริษัทหรือหุ้นตัวไหนสามารถปรับตัวได้ดี เพราะนี่จะเป็นหุ้นที่จะกลับมา “ดีเหมือนเดิมหรือดียิ่งขึ้นไปอีกหลังวิกฤติ”
หุ้นกลุ่มที่สองก็คือหุ้นที่ยังเอาตัวรอดได้หลังวิกฤติแต่จะไม่กลับมาดีเหมือนเดิมหรือแข็งแกร่งเหมือนเดิม เหตุผลก็คือ มันอาจจะเป็นกิจการที่แข็งแกร่งแต่เนื่องจากภาระเช่นหนี้ที่สูงเกินไปซึ่งทำให้มันอ่อนแอเกินกว่าที่จะสามารถปรับตัวในยามที่ยากลำบากและเกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของลูกค้าหรือผู้คนที่ทำให้กิจการหรือผลประกอบการถดถอยอย่างรุนแรง ผลก็คือ ในยามที่คนหยุดหรือเลิกหรือลดการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทในช่วงวิกฤติ เขาอาจจะหันไปหาสิ่งทดแทนที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า และเมื่อเหตุการณ์เรื่องไวรัสผ่านไป เขาก็ติดกับพฤติกรรมนั้นและไม่กลับมาใช้ของเดิมอีกต่อไปหรือใช้น้อยลง ผลก็คือ ยอดขายและกำไรของกิจการลดน้อยลงอย่างถาวรเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤติ ตัวอย่างที่ผมคิดก็คือเรื่องของร้านค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าทั้งหลายที่อาจจะต้องเหนื่อยหนักถ้าคนที่หันไปใช้บริการ E-Commerce กันมากมายที่อาจจะไม่กลับมาซื้อของที่ห้างเหมือนเดิมเมื่อวิกฤติผ่านไป เป็นต้น
สุดท้ายก็คือหุ้นที่ “ไม่รอด” จากวิกฤติ มันอาจจะไม่ล้มละลายก็ได้แต่ความสามารถในการดำเนินธุรกิจภายหลังวิกฤติจะถดถอยลงไปมาก ธุรกิจถูก Disrupt ท่ามกลางภาวะวิกฤติ ในที่สุดธุรกิจก็จะค่อย ๆ ตายหรือแทบจะหมดค่ากลายเป็น “ตะวันตกดิน” ในที่สุด วิธีที่จะมองหุ้นในกลุ่มนี้นั้น นอกจากดูว่ามันถูกกระทบมากน้อยแค่ไหน ถ้ามากสุด ๆ เช่น อยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยวและมีการแข่งขันหนักมากในธุรกิจ เช่น การบินและอาจจะรวมถึงโรงแรม แบบนี้ก็ต้องถือว่ามีโอกาสที่จะ “ไม่รอด” ถ้าบริษัทมีหนี้สินมหาศาลและเป็นหนี้ที่จะต้องใช้คืนในเวลาอันสั้น ในกรณีแบบนี้ ถ้าเราซื้อหุ้นแล้วเรื่องของโควิด19ไม่จบลงรวดเร็ว ก็จะเป็นอันตรายมาก นอกจากนั้น ถึงแม้ว่าวิกฤติจะผ่านไปและบริษัทยังอยู่รอดได้แต่ก็เป็นไปได้ว่าธุรกิจอาจจะไม่กลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไปเนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนที่อาจจะลดการเดินทางหรือใช้บริการที่ Disrupt บริการเดิม เช่น ใช้แอร์บีเอ็นบี หรือใช้วิดีโอคอนเฟอเร้นซ์ผ่านอินเตอร์เน็ตแทนการประชุมเป็นต้น
เมื่อแบ่งกลุ่มได้แล้วว่าบริษัทน่าจะอยู่กลุ่มไหนใน 3 กลุ่ม สิ่งที่จะต้องพิจารณาต่อมาก็คือ ราคาหุ้นที่จะสะท้อนคุณภาพของกิจการ โดยราคาหุ้นนั้น นอกจากจะดูโดยเปรียบเทียบกับราคาที่เป็นก่อนวิกฤติแล้ว ควรจะดูด้วยว่ามันถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับคุณสมบัติของหุ้นที่จะเป็นหลังจากวิกฤติด้วย แน่นอนว่าถ้าหุ้นตกลงมามาก โอกาสที่จะซื้อหุ้นถูกก็มีมากขึ้น โอกาสที่จะขาดทุนก็มีน้อยลง และสำหรับคนที่ชอบเล่นเก็งกำไรก็อาจจะทำกำไรได้มากขึ้นในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นนั้น ถ้าตกลงมามากแต่คิดค่า PE หรือตัวเลขอื่น ๆ ก็ยังสูงหรือแพงมาก แบบนี้ก็มีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะถ้ามันไม่ใช่หุ้นในกลุ่มที่หนึ่งที่เมื่อวิกฤติผ่านไปมันก็จะกลับมาเหมือนเดิมหรือดีขึ้นไปอีก อย่าลืมว่าหุ้นที่ PE สูงมากนั้น บ่อยครั้งเกิดจากภาวะตลาดหุ้นที่ร้อนแรงซึ่งมักทำให้ “หุ้นเก็งกำไร” มี PE ที่สูงกว่าที่ควรจะเป็น แต่เมื่อวิกฤติผ่านไป หุ้นก็มักจะเหงาและหุ้นเกือบทั้งตลาดก็มักจะถูก Rerated หรือปรับค่า PE ลงมาสู่ค่าปกติที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับพื้นฐานของกิจการ
มองในแง่ของการลงทุนระยะยาวและเป็นแบบ VI แล้ว ผมคิดว่าการลงทุนในภาวะวิกฤตินั้น ผมจะเลือกลงทุนเฉพาะในหุ้นกลุ่มหนึ่งเท่านั้น นั่นคือ มันจะต้องเป็นหุ้นที่ปลอดภัยในแง่ของสถานะทางการเงินที่จะต้อง “ไม่เจ๊ง” ก่อนที่วิกฤติจะจบ ธุรกิจจะต้องกลับมาได้เท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมหลังวิกฤติซึ่งมันก็มักจะเป็นกิจการที่แข็งแรงและโดดเด่นก่อนวิกฤติและมีผู้บริหารที่มีฝีมือและถ้าเคยผ่านวิกฤติมาได้หลายครั้งก็ยิ่งดี นอกจากนั้น มันก็ไม่ควรจะเจ็บหนักเกินไปเช่น “อยู่ในศูนย์กลางของพายุ” ซึ่งอาจจะทำให้ “ตาย” ได้ ไม่ว่าจะแน่แค่ไหน นี่ก็เพราะผมเคยอยู่ในธุรกิจเงินทุนสมัยวิกฤติต้มยำกุ้งที่บริษัทเงินทุนต้องเจ๊งกันเกือบหมดไม่ว่าจะดีเด่นแค่ไหนก็ตาม
สุดท้ายแล้วผมก็ยังคิดว่าการลงทุนไม่ว่าในสถานการณ์ไหน ทุกอย่างก็ต้องมีข้อยกเว้น และก็ต้องเป็นเรื่องของศิลปะที่ต้องมีการประเมินว่าหุ้นตัวไหนคุ้มค่ามี Margin of Safety พอ การกระจายความเสี่ยงถือหุ้นหลาย ๆ ตัวเป็นเรื่องจำเป็นเพราะความผิดพลาดโดยเฉพาะในช่วงภาวะวิกฤตินั้นมีสูงกว่าปกติ หลังจากคิดและวิเคราะห์ทุกอย่างแล้ว สิ่งสุดท้ายที่สำคัญและมักจะแยกแยะระหว่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงกับนักลงทุนธรรมดาก็คือ การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคงในช่วงเวลาที่เหมาะสมและไม่วอกแวกต่อสถานการณ์ที่ตามมาในช่วงสั้น ๆ ที่มักจะทำลายการตัดสินใจนั้น