โลกในมุมมองของ Value Investor 31 พ.ค. 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เวลาที่คนเรามีอายุมากขึ้นนั้น เรามักจะมองกลับไปในอดีตรำลึกถึงความหลังมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนั่นเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องใช้เงินและพลังงาน ผมเองก็เป็นอย่างนั้น แต่ในฐานะที่เป็นนักลงทุนแบบ VI ผมก็อดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ว่าชีวิตในอดีตกับชีวิตในปัจจุบันของผมมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ปรัชญาและความคิดสมัยก่อนกับสมัยนี้ของผมเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ทั้งหมดนี้ผมก็ดูด้วยว่าสังคมไทยเองมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนด้วยเพื่อจะได้เปรียบเทียบกับชีวิตและความคิดของตนเอง ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นโดยเฉพาะที่สนใจในการลงทุน เพราะชีวิตผมเองนั้น ถ้าจะนิยามในวันที่ผมไม่อยู่แล้วคงต้องบอกว่าเป็น “ชีวิตของนักลงทุน VI” คนหนึ่ง
และเรื่องแรกที่ผมคิดว่ามีความเปลี่ยนแปลงหรือเป็นวิวัฒนาการของผมจากช่วงเยาว์วัยมาเป็นคนสูงอายุก็คือ เดิมผมจะมองเรื่องต่าง ๆ ในโลกและในชีวิตแบบสัมบูรณ์หรือ Absolute แต่เมื่ออายุมากขึ้นผมก็รู้สึกตัวหรือคิดว่าชีวิตหรือแทบทุกอย่างในโลกนี้นั้นเป็นเรื่องสัมพัทธ์หรือ Relative พูดง่าย ๆ เรื่องต่าง ๆ ในโลกนี้เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ ตัวอย่างเช่น เมื่อเราพูดว่าใครเป็น “คนรวย” ถ้าเราพูดว่าต้องมีเงินเป็นตัวเลขเท่านั้นเท่านี้ นี่คือการพูดแบบสัมบูรณ์ แต่ผมคิดว่าวิธีที่จะกำหนดว่าใครเป็นคนรวยควรจะเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบว่าในสังคมนั้น ใครคือคนที่มีเงินมากที่สุดและลดหลั่นกันลงไป ถ้าเพื่อนของคุณส่วนใหญ่มีเงินมากกว่าคุณ คุณเองก็อาจจะไม่ใช่ “คนรวย” เมื่อ 50 ปีก่อนสมัยที่ผมยังเรียนมัธยม คนที่มีเงิน 20 ล้านบาทถือว่าเป็น “มหาเศรษฐี” แต่ 20 ล้านบาทถ้านำมาลงทุนแบบทบต้นและได้ผลตอบแทนปีละ 5% จะเท่ากับเงิน 230 ล้านบาทในวันนี้ ซึ่งสำหรับผมแล้วน่าจะเป็นแค่เศรษฐีหรือคนรวยธรรมดา—เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่มีเงินมาก ๆ ในวันนี้ของสังคมไทย เพราะเรื่องของเงินทองนั้น เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ
การมองความเก่งหรือศักยภาพของคนเองนั้น สมัยก่อนผมคิดแบบสัมบูรณ์ คนที่ทำ “คะแนนสอบ” รวมสูงก็คือคนเก่งและจะเป็นผู้ชนะในการทำงานและในความก้าวหน้าในวิชาชีพรวมถึงเรื่องของเงินทอง แต่เมื่อผ่านชีวิตมามากและพบเห็นผู้คนในแวดวงต่าง ๆ แล้วผมคิดว่า “ชีวิตคือการแข่งขัน” ธุรกิจคือการแข่งขัน คุณจะเก่งแค่ไหนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือคุณเป็น ผู้ชนะหรือผู้แพ้ “ในสนามที่คุณแข่ง” ถ้าคุณเป็นคนที่ “เก่งมาก” ในเรื่องไฮเท็ค แต่ต้องเข้าไปแข่งกับ “อัจฉริยะ” ในซิลิคอนวัลเลย์ คุณก็อาจจะเป็น “หมู” ดี ๆ นั่นเอง เช่นเดียวกับเรื่องของธุรกิจที่บริษัทอาจจะเป็นผู้นำอันดับต้น ๆ ของไทย แต่เมื่อไปแข่งกับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ใน “สนาม” ต่างประเทศ บริษัทก็อาจจะแพ้อย่างหมดรูปได้ เพราะ โดยเปรียบเทียบแล้ว เราอาจจะด้อยกว่าเขาในแทบทุกด้าน
ความคิดอีกอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากจากเมื่อเป็นเด็กกลายเป็นคนสูงวัยก็คือการเป็น “นักเลือก” จากที่เคยเป็น “นักสู้” มาครึ่งชีวิต นักสู้นั้นเป็นนิสัยที่ติดมากับยีนของมนุษย์ทุกคน ในอดีตอันยาวไกลของมนุษยชาตินั้น มนุษย์ทุกคนต้อง “ต่อสู้” กับภัยธรรมชาติที่โหดร้าย โรคภัยที่รุนแรง และศัตรูที่เป็นสิ่งมีชีวิตอื่น คนที่ “ไม่สู้” นั้นค่อย ๆ ตายหรือสูญพันธุ์ไปหมด คนที่เหลือในปัจจุบันต่างก็เป็น “นักสู้” แต่ในยุคสมัยของเรานั้น คนสามารถเอาตัวรอดได้และบ่อยครั้งเป็นอย่างดีได้โดยไม่ต้องสู้กับอะไรมากมาย เราแค่ “เลือก” ให้เป็นหรือเลือกให้ถูกว่าจะอยู่หรือทำอะไรและอย่างไรเราก็สามารถประสบความสำเร็จได้ และในแวดวงของ “นักลงทุน” แล้ว นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุดในการประสบความสำเร็จ และก็เช่นเดียวกัน ในอีกหลายวงการและในชีวิต การ “เลือก” ให้ดีว่าจะ “สู้” อย่างไร ก็เป็นปัจจัยสำคัญมากที่จะทำให้เรา “ชนะ” ดังนั้น หลังจากที่กลายเป็นนักลงทุนแบบ “VI” เต็มตัว ผมก็ปรับการคิดและการใช้ชีวิตมาเป็น “นักเลือก” ผมจะไม่ยอมทำอะไรที่ผมจะไม่ชนะถ้าไม่จำเป็น
นิสัยชอบคิดชอบสังเกตของผมนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่เด็กและนั่นก็ทำให้ผมเห็นคนที่ประสบความสำเร็จและโดดเด่นในทุกวงการ เห็นการ “ล่มสลาย” ของชื่อเสียงและความมั่งคั่งของพวกเขา ในสมัยที่ยังมีความคิดแบบเดิม ผมคิดว่า คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นเป็นคนที่เก่งและมีความสามารถสูงเหนือคนอื่นมาก เป็นแนว “ซุปเปอร์แมน” ซึ่งดูเหมือนว่าตนเองจะไม่มีวันทำได้โดยเฉพาะถ้าคิดถึงความเสียเปรียบเนื่องจากฐาน “ต้นทุนต่ำ” ของตนเองด้วย อย่างไรก็ตาม ในที่สุด ผมเองก็กลายเป็นคนที่น่าจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จคนหนึ่งในสังคม แต่เมื่อวิเคราะห์ย้อนหลังโดยไม่ลำเอียงแล้วก็พบว่าความสำเร็จนั้น แท้ที่จริงไม่ได้มาจากการเป็น “ซุปเปอร์แมน” อะไรเลย แต่น่าจะเป็นเพราะมีโอกาสที่ “เอื้ออำนวย” เกิดขึ้นในช่วงปี 2540 ที่เกิดวิกฤติและเรา “ฉวยโอกาส” นั้นเข้าไปลงทุนและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนแบบ Value Investments ที่แพร่หลายอยู่แล้วในตลาดหุ้นอเมริกา หลังจากนั้น ผมก็เชื่อว่า “วีรบุรุษ” หรือซุปเปอร์แมนจำนวนไม่น้อยก็อาจจะเป็นแบบผม คือ เกิดขึ้นเนื่องจากสถานการณ์และการเข้ามาในจังหวะที่ถูกต้องมากกว่าความสามารถที่ผมรู้สึกว่าคนเรานั้นมีไม่ต่างกันมาก
การศึกษาและเรื่องที่ชอบที่จะเรียนรู้นั้น สำหรับผมก็คือ “วิวัฒนาการ’ ที่นึกไม่ถึง ในช่วงที่เป็นเด็กและต่อมาอีกครึ่งชีวิตนั้น ผมเป็นคนที่ชอบคำนวณ ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ ชอบพิสูจน์สิ่งที่เป็นจริงแท้แน่นอนอย่างวิชาเรขาคณิตที่ต้องเขียนตอนสุดท้ายว่า “ซ.ต.พ” ซึ่งน่าจะแปลว่า “ซึ่งต้องพิสูจน์” อะไรก็ตามที่ไม่รู้ว่าจริงแท้แน่นอนหรือไม่หรือแบบ “เบลอ ๆ” เช่นวิชาเกี่ยวกับศิลปศาสตร์ทั้งหลายและรวมทั้งวิชาที่ต้องท่องจำมาก ๆ อย่างวิชาชีววิทยาผมก็จะไม่ชอบเลย แต่แล้วหลังจากกลายมาเป็นนักลงทุนเต็มตัวผมกลับสนใจและชอบอ่านเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้นมาก ประวัติศาสตร์กลายเป็นเรื่องที่ผมอ่านมากที่สุดในช่วงหลัง ๆ นี้ รองลงมาก็จะเป็นเรื่องของวิชาที่เกี่ยวกับมนุษย์และสังคมที่อิงกับชีววิทยาโดยเฉพาะเรื่องของยีนซึ่งเป็นสิ่งที่คุมพฤติกรรมทั้งหมดของมนุษย์ การอ่านทำให้ผมสามารถวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ของมนุษย์และโลกได้ดีขึ้นมาก และนั่นก็คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการลงทุนในระยะยาว
วิวัฒนาการอีกเรื่องหนึ่งที่ตามมาก็คือ ความคิดทางสังคมที่เคยเป็น “อนุรักษ์นิยม” และทำอะไรตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีของสังคมไทยและไม่ “ออกนอกแถว” ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเป็น “เสรีนิยม” มากขึ้นเรื่อย ๆ มีความคิดเรื่องของความ “เสมอภาค” ของคนและรวมถึงสัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่ในโลกนี้ เชื่อในความเป็น “สากล” มากกว่าท้องถิ่นนิยม แม้แต่เรื่องของศาสนาเองก็ดูเหมือนว่าจะเอนเอียงไปทางด้านที่ยอมรับ “แนวทางที่ดี” ของทุกศาสนามากกว่าที่จะยึดศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ผมเองไม่รู้ว่านี่คือแนวทางของพวก Atheist หรือไม่นับถือหรือไม่มีศาสนาหรือไม่
ว่าที่จริงผมเองก็รู้สึกตัวว่าตนเองมีความคิดที่ “อิสระ” มากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นคนที่ชอบมอง “สวนกระแส” กับคนในสังคม เป็นคนที่ขี้สงสัยในทุกเรื่อง ทำอะไรหรืออย่างน้อยก็คิดแตกต่างจากคนอื่น อย่างไรก็ตาม ผมไม่ใช่คนที่แสดงออกแนวท้าทายหรือ “ปฎิวัติ” สังคม ผมแค่ชอบสังเกตและคิด ไม่ใช่นักปฎิบัติหรือนักปฎิวัติ ผมคิดเพื่อนำมาใช้ในการ “เลือก” ทั้งเลือกลงทุนและเลือกใช้ชีวิตที่จะทำให้มีความสุขและปลอดภัยในโลกที่ดูสับสนและเสี่ยงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน