สุดมึน! กับตลาดหุ้น 3 เดือนที่ผ่านมาไหม?

0
2556

นี่คือสิ่งที่ผมทำ และสิ่งที่ตลาดหุ้นจะทำกับคุณต่อไป

เจ้าของบทความนี้เป็นเพื่อนนักลงทุนแนว VI ชาวสิงคโปร์ที่รู้จักที่เวียดนามค่ะ
แนวคิดน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในสถานการณ์ปัจจุบันที่หุ้นเริ่มตกอีกครั้ง (หลังจากที่ขึ้นมาแรงมาก) แอดเลยพยายามแปลมาฝากเพื่อนๆ ชาว VVI ยาวหน่อยแต่อยากให้อ่านกันนะคะ อ่านจบแล้วไม่รู้ว่ามีใครคิดถึงหนังสือ Principles ของ Ray Dalio เหมือนแอดบ้าง

บทความจาก Blog: An Investment Pilgrim’s Journal แต่เค้าขอว่าตอนแปลเป็นไทยไม่ต้องบอกชื่อเค้า ขออยู่เงียบๆ

ประวัติเจ้าของ Blog น่าสนใจ
ผู้เขียน : จบ ป.ตรีวิศวกรรมการบิน จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล (เกียรตินิยม) + ป.โท วิศวกรรม จากคอร์เนล
หลังจากใช้ทุน 6 ปีกับกองทัพอากาศสิงคโปร์ เค้าก็พบว่าไม่ชอบงานที่ทำจึงได้เรียนต่อเรื่อง ป. โทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ NUS แล้วได้ทำงานด้านการเงิน ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้เป็นนักลงทุน Full time และเป็นผู้ก่อสร้างชมรมนักลงทุน VI สิงคโปร์ด้วยค่ะ

เหตุผลที่เขียน Blog : เพื่อรวบรวมแนวคิดการลงทุนและบทเรียนที่ได้เรียนรู้รวมทั้งข้อผิดพลาด

ความหลงใหลในการลงทุน: ตั้งแต่หยิบหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนครั้งแรกในปี 2002 ก็รู้สึกทึ่งกับโลกของการลงทุน
สนุกกับการศึกษาแนวคิดและวิธีการของผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงเช่น Greenblatt, Lynch, Whitman, Fisher และแน่นอน Warren Buffet


ช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจใน 3 เดือน!
การเคลื่อนไหวของตลาดเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรวดเร็ว
สร้างความตื่นตระหนกและความไม่แน่นอนอย่างมาก

หลายคนที่มองว่านี่เป็นเวลาแห่งการกำไรจากความผันผวน

กลุ่มการลงทุนของผมใน WhatsApp ของผมเต็มไปด้วยคนฉลาด รายได้สูง
แต่ละคนต่างวิจารณ์ว่าไวรัสจะรุนแรงแค่ไหน? และจะเกิดอะไรกับตลาดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า?
ผู้หวังดียังพูดถึงจุดต่ำสุดบอกว่าดัชนี S&P500 จะตกไปที่ 1,800 จุด (ซึ่งก็ไม่เคยเกิดขึ้น)

ในความคิดผม มันไม่สำคัญว่าอะไรทำให้หุ้นตก สิ่งสำคัญคือถ้าหุ้นตกแล้วเราควรทำอย่างไร?

จากผลการวิจัยของ Yedeni พบว่าตลาดหุ้นมีการปรับฐาน ตกแรง> 10% ใน S&P500 มากกว่า 38 ครั้ง ใน 70 ปี ดังนี้

  • ปรับฐาน(หุ้นตก) 10% ถึง 15%: เกิดขึ้น 21 ครั้ง
  • ปรับฐาน(หุ้นตก) 16% ถึง 20%: 7 ครั้ง
  • ปรับฐาน(หุ้นตก) 21% ถึง 25%: 3 ครั้ง
  • ปรับฐาน(หุ้นตก) 26% ถึง 30%: 2 ครั้ง
  • ปรับฐาน(หุ้นตก) 31 ถึง 35%: 2 ครั้ง (การลดลงเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ครั้งล่าสุดลดลง 33.9%)
  • ปรับฐาน(หุ้นตก) 36 ถึง 40%: 1 ครั้ง
  • ปรับฐาน(หุ้นตก) 41 ถึง 45%: 0 ครั้ง
  • ปรับฐาน(หุ้นตก) 46 ถึง 50%: 1 ครั้ง
  • ปรับฐาน(หุ้นตก) > 50%: 1 ครั้ง (57% ในปี 2550-2552)

เราสามารถสรุปได้ว่าตลาดหุ้นตกน้อยกว่า 20% เกิดบ่อยสุด คิดเป็น 73% ของการการปรับฐาน(ตกแรง)
ในเดือนมีนาคม 2020 S&P500 ลดลง 34%
หลายคนยังคงรอให้ตกหนักกว่านี้แล้วค่อยซื้อ
แต่ในทางสถิติการลดลงมากกว่า 35% ที่เกิดขึ้นเพียง 3 ครั้งใน 70 ปีที่ผ่านมา

ในความคิดของผมการซื้อหุ้นหลังปรับฐานครั้งใหญ่เป็นกลยุทธ์ที่ดีเพื่อเพิ่มความมั่งคั่ง
โดยการแบ่งเงินเพื่อซื้อเป็นเฟส ในช่วงที่ตลาดตกต่ำ
เช่น
(สมมติว่าเรามีเงินเย็น 1,000,000 บาท)

  • (หุ้นตก) 10% – ลงทุน 100,000 บาท
  • (หุ้นตก) 15% – ลงเพิ่ม 200,000 บาท
  • (หุ้นตก) 20% – ลงเพิ่ม 300,000 บาท
  • (หุ้นตก) 30% – ลงเพิ่ม 150,000 บาท
  • (หุ้นตก) 40% – ลงเพิ่ม 125,000 บาท
  • (หุ้นตก) 50% – ลงเพิ่ม 125,000 บาท

ผมคิดว่ากลยุทธ์นี้สมเหตุสมผล เพราะ:

  1. เราใช้เงินน้อยเวลาหุ้นตกน้อย
  2. เงินจำนวนมากของเรา (60% ของเงินเย็น) ใช้เมื่อหุ้นตกมาแล้ว 20%
    จากสถิติตกไม่เกินนี้เกิดบ่อยสุด คิดเป็น 73% (ในแง่ของความถี่ของการการปรับฐาน)
  3. มีการจัดสรรเงินเป็นเฟสทีละน้อย (แต่ยังมีสาระสำคัญ)
  4. เงินทุนของเราถูกนำไปใช้อย่างเต็มที่เมื่อตลาดลดลง 50% ซึ่งน่าจะครอบคลุม 97% ของสถิติที่หุ้นมีการปรับฐานครั้งใหญ่ในช่วงชีวิตการลงทุนของคุณ

กลยุทธ์นี้ช่วยจัดการอารมณ์ควบคู่กับจัดสรรเงินลงทุนในช่วงเวลาที่เกิดความตื่นตระหนก

ผมจะแนะนำให้คุณสร้างระบบว่าจะทำอะไรตอนหุ้นตก..ในช่วงเวลาที่สงบ เพราะมันยากที่จะคิดอย่างมีเหตุมีผลเวลา Panic
เปอร์เซ็นต์การลงทุนสามารถปรับได้ตามแบบคุณเอง

คนที่รอจะซื้อหุ้นรอบเดียวตอนที่ตลาดตกหนัก แทบจะทำไม่ได้ เพราะ
1) ตลาดที่ตกหนักขนาดนั้นอาจเกิดขึ้นเพียง 1-2 ครั้งในชีวิตของคุณ
2) ตลาดที่ตกหนัก+ความตื่นตระหนก ใจคุณเองก็คงไม่กล้าทุ่มเงินทั้งหมดก้อนเดียวลงไปในหุ้น

ผมทำอะไร?
เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ผมตกใจ และไม่รู้ว่าตลาดกำลังจะไปไหนในตอนแรก
แต่แทนที่จะกังวลกับเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และไม่สามารถอธิบายได้ ผมมุ่งเน้น 2 สิ่งที่อยู่ในการควบคุมและผมรู้จักดี คือการศึกษาบริษัทมากขึ้นเพื่อซื้อ และทำตามระบบที่ตั้งใจ (ทยอยซื้อในช่วงที่ตลาดตกต่ำ)

กลางเดือนมีนาคม ผมซื้อหุ้นเพิ่ม 3 บริษัท ภายในหนึ่งสัปดาห์: คือ
CRWD ที่ $ 33.51 (ตอนนี้ $ 93.95 หรือกำไร 180%)
DDOG ที่ $ 33.51 (ตอนนี้ $ 70.94 หรือกำไร 111%)
AYX ที่ $ 104.47 (ตอนนี้ $ 136.58 หรือกำไร 31%)

หนึ่งเดือนต่อได้ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 2 บริษัท คือ
SE ที่ $ 60.99 (ตอนนี้ $ 89.85 หรือกำไร 47%)
Meituan Dianping ที่ $ 105.94 (ตอนนี้ $ 159 หรือกำไร 50%)

บางคนอาจมองว่าผมเป็นแค่คนงี่เง่าที่โชว์ว่าตัวเองทำได้ดี ผมขอเถียงและอธิบายสองสิ่งว่า

  1. มันไร้ประโยชน์ที่จะคาดการณ์ว่าตลาดจะไปไหน ในเดือนมีนาคม ไม่มีใครคาดการณ์ว่าจะมีหุ้นใหญ่วิ่งไป 40% แต่มันก็เกิดขึ้น
  2. การมีระบบที่ดีสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีโดยไม่ต้องคาดการณ์ หรือต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเศรษฐกิจมหภาคมากนัก

ตอนนี้บางคนอาจคิดว่าตลาดกำลังจะมีการปรับฐานอีกหลังจากที่หุ้นขึ้นมาเยอะ
คุณพูดถูกว่าการปรับฐานอีกคงจะเกิดขึ้น ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ไว้แล้ว
อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด
มันอาจเกิดขึ้นก่อนสิ้นปีนี้ ปีหน้า หรือไม่เกิดเลยในอีก 2 ปีข้างหน้า …

” สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือการสร้างระบบว่าจะทำอะไรให้พร้อม กับการปรับฐานในครั้งต่อไป “

AN INVESTMENT PILGRIM’S JOURNAL

https://investmentpilgrim.wordpress.com/2020/06/07/stumped-by-the-stock-market-over-the-last-3-months-this-is-what-i-did-and-this-is-what-the-market-will-do-next/#more-577