แท็ก: บทความ
ลงทุนในยุคเศรษฐกิจโตช้า
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 มิถุนายน 62
ลงทุนในยุคเศรษฐกิจโตช้า
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
มองย้อนหลังไปประมาณ 6 ปี ในช่วงกลางปี 2556 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 1,600 จุด แทบจะไม่ต่างจากดัชนีวันนี้ที่ประมาณ 1,620 จุด นี่คือช่วงเวลา 6 ปีที่น่าจะพูดได้ว่าตลาดหุ้นเป็น Sideway คือราคาหุ้นโดยรวมไม่ได้ปรับตัวขึ้นหรือลดลงเป็นเรื่องเป็นราวเป็นระยะเวลายาวนาน สำหรับนักลงทุนที่มักจะมองภาพเล็กในหุ้นรายตัวหรืออาจจะเป็นกลุ่มและเป็นนักลงทุนระยะยาวก็จะเห็นว่าหุ้นตัวหลัก...
บทเรียนเมื่อฟองสบู่หุ้นแตก
บทเรียนเมื่อฟองสบู่หุ้นแตก ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาศ 1 ปี 2562 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นขนาดเล็ก-กลางหลายตัวที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้น “ยอดนิยม” ได้ตกลงมาแรงทั้ง ๆ ที่บางตัวได้ตกลงมามากแล้วในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้ อาการที่หุ้นตกลงมาหนักมากอย่างรวดเร็วและมักจะเกิน 50% ของจุดสูงสุดนั้น ในแวดวงของนักลงทุนเราเรียกว่า “ฟองสบู่หุ้นแตก” ซึ่งก็มักจะสร้างความเสียหายให้กับคนที่ถือหุ้นตัวนั้นมาก บางครั้งกลายเป็นหายนะซึ่งเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของเขาไปอย่างไม่คาดคิด...
อวสานของหุ้นโรงงาน
อวสานของหุ้นโรงงาน
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ธุรกิจโรงงานที่ผลิตสินค้าที่เป็นชิ้นส่วนหรือสินค้าสำเร็จรูปให้คนอื่นเพื่อนำไปประกอบเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายหรือนำไปขายในยี่ห้อของคนจ้างที่เรียกว่าเป็น OEM (Original Equipment Manufacturing) นั้น ต้องถือว่าเป็นเครื่องจักรสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยมากว่า 30 ปี เริ่มจากการที่ญี่ปุ่นต้อง “ย้ายฐานการผลิต” มายังประเทศไทยเนื่องจากต้นทุนการผลิตสินค้าในญี่ปุ่นสูงขึ้นมากอานิสงค์จากค่าเงินเยนที่ถูกบีบให้สูงขึ้นอย่างกระทันหันจากข้อตกลง Plaza Accord ในปี 1985 ที่ทำให้ค่าเงินเยนแข็งขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ...
กำเนิด Big Data ..อวสานของการทำโพล
กำเนิด Big Data ..อวสานของการทำโพล
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การเกิดขึ้นของ “Big Data” หรือ “การประมวลผลของข้อมูลขนาดใหญ่” หรือการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีจำนวนมากเพื่อที่จะหาข้อมูลข่าวสารที่อาจจะถูกซ่อนไว้ หรือหาความสัมพันธ์ที่เราไม่รู้ หรือหาแนวโน้มทางการตลาดหรือความชอบของลูกค้าที่จะทำให้หน่วยงานหรือองค์กรธุรกิจสามารถตัดสินใจในการดำเนินงานที่ถูกต้องนั้น นับวันจะได้รับการยอมรับและดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจังมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าที่จริงบริษัทขนาดใหญ่ เช่น แบงค์หรือบริษัทผู้ให้บริการค้าขายทางอินเตอร์เน็ตขนาดใหญ่ต่างก็กำลังสร้างหน่วยงานนี้ขึ้นเพื่อที่จะศึกษาและวิเคราะห์ลูกค้าของตนเพื่อที่จะหาโอกาสขายสินค้าของตนเองมากขึ้นและป้องกันไม่ให้ลูกค้าของตนหนีไปใช้บริการจากบริษัทอื่น ๆ มาได้ระยะหนึ่งแล้วไม่ต้องพูดถึงบริษัท “ดิจิตอล” ระดับโลกทั้งหลายที่ตอนนี้รู้อะไรต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกค้า...
Keep Calm And Carry On
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวในประเทศอังกฤษครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้เพราะไปค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะที่กรุงลอนดอนซึ่งเป็นที่ที่ผมจะอยู่หลายวันเป็นประจำ ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ ในลอนดอนจะเป็น “เหมือนเดิม” การเปลี่ยนแปลงมีน้อย อาจจะเป็นเพราะว่าประเทศอังกฤษนั้นเติบโตถึงจุด “อิ่มตัว” แล้ว จากความยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ที่สหราชอาณาจักรเคยยึดครองอาณาเขตและประชากรกว่า 1 ใน 4 ของโลกและได้ฉายาว่าเป็นดินแดน “อาทิตย์ไม่ตกดิน” อังกฤษในศตวรรษที่...
VI กับการเมือง : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
VI กับการเมือง
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
“การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน” นี่เป็นคำกล่าวที่ผมคิดว่าเป็นจริง ทุกคนต่างก็มีความคิดเห็นทางการเมืองของตนเองและถ้าเปิดโอกาสให้แสดงออก “อย่างเสรี” เขาก็จะพูดหรือแสดงออกมา ความคิดทางการเมืองนั้น ก็เช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ ทางสังคม มีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่มนุษย์เริ่มสร้างสังคม อยู่กันเป็นหมู่บ้าน เมือง และกลายเป็นรัฐและประเทศ เริ่มต้นนั้น การเมืองการปกครองก็เริ่มต้นโดยผู้ปกครองที่มี “อำนาจ” ในการสั่งการให้ผู้คนปฏิบัติตามเพื่อให้สังคมอยู่ในระบบหรือกฎเกณฑ์ที่จะทำให้คนที่อยู่ในสังคมสามารถร่วมกันจัดการงานต่าง ๆ ที่จะทำให้คนส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะ “อยู่รอด” มากขึ้น อำนาจของคนในช่วงแรก ๆ นั้น มักจะมาจากความสามารถหรือคุณสมบัติส่วนตัว เช่น เป็นผู้ชาย เป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง เป็นต้น ต่อมาเมื่อมนุษย์เจริญขึ้น คนที่มีอำนาจก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เช่น กลายเป็นคนที่ฉลาด มีความรู้ และได้รับการศึกษามากกว่า เป็นต้น
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของอำนาจจากคนกลุ่มหนึ่งไปสู่คนอีกกลุ่มหนึ่งนั้น มักจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย บ่อยครั้งก็เกิดการต่อสู้กลายเป็นสงครามที่ทำให้คนล้มตายไปจำนวนมาก เหตุผลก็เพราะคนที่อยู่ในอำนาจนั้น มักจะได้รับผลประโยชน์มากมายในขณะที่คนที่ “ไม่มีอำนาจ” ซึ่งมักเป็นคนที่ “ด้อยกว่า” อาจจะเนื่องจากการเกิดหรือการถูกกดขี่เอาเปรียบจากระบบการเมืองหรือสังคมเดิมนั้น ต้องเป็นผู้รับภาระต่าง ๆ ผ่าน “ระบบ” ต่าง ๆ เช่น ภาษีหรือกฎหมายที่ “ไม่ยุติธรรม” สำหรับพวกเขา
ระบบของ “อำนาจ” นั้น ในช่วงที่โลกยังไม่เจริญก็มักจะอยู่ในมือของคนจำนวนน้อยถึงน้อยมาก ตัวอย่างเช่น ฟาโรห์ของอียิปต์ เป็นต้น ต่อมาเมื่อโลกเจริญขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนคนที่มีอำนาจก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่จำนวนคน “มีอำนาจ” ที่เพิ่มเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้หรือไม่เกินร้อยกว่าปี นั่นก็คือวันที่โลกยอมรับว่า “ผู้หญิง” ก็มีอำนาจเท่า ๆ กับผู้ชาย เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการศึกษา ผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีความสามารถไม่แพ้กัน
นอกจากเรื่องของอำนาจแล้ว แนวความคิดหรือหลักการว่าคนบางคนหรือบางกลุ่มนั้นมีอำนาจมากกว่าคนอื่นเองนั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นนั้นก็เช่นเดียวกัน คนที่มีอำนาจสูงสุดหรือเด็ดขาดมีเพียงคนเดียวหรือน้อยมาก ต่อมาเมื่อสังคมใหญ่และซับซ้อนขึ้น จำนวนคนที่มีอำนาจมากก็เพิ่มขึ้น และเมื่อโลกเจริญขึ้นที่ส่งผลให้คนมีการศึกษามากขึ้น พวกเขาก็ต้องการที่จะมีอำนาจมากขึ้น จนมาถึงจุดหนึ่ง สังคมหรือประเทศที่เจริญก้าวหน้ามากที่สุดก็ไม่สามารถที่จะ“กีดกัน” คนบางคนหรือบางกลุ่มไม่ให้มีอำนาจ และนั่นทำให้คนทั้งประเทศ “มีอำนาจเท่ากันหมด” ในทางกฎหมาย และนี่ก็คือระบบ “ประชาธิปไตย” ที่ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์แม้แต่ผู้นำประเทศที่เป็นประธานาธิบดีอย่างของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ในประเทศที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มที่นั้น การจัดสรรอำนาจก็จะลดหลั่นกันไป คนบางคนหรือบางกลุ่มก็มักจะมีอำนาจมากกว่าคนอื่น คนที่มีอำนาจน้อยกว่าคนอื่นเองนั้นก็ยังอาจจะมีมากและพวกเขายัง “ยอมรับ” หรือไม่สามารถที่จะ“ต่อสู้” เพื่อเพิ่มอำนาจของตนเองให้เท่าเทียมกับคนอื่นที่ “อยู่ในอำนาจ” อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของประเทศและสังคมที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ บางทีอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอดีตร้อยหรือหลายร้อยปีที่ผ่านมานั้น ทำให้คนที่มีอำนาจน้อยสามารถเพิ่มศักยภาพหรือความสามารถของตนขึ้นมาเรื่อย ๆ และเมื่อถึงวันหนึ่ง พวกเขาก็อยากที่จะมีอำนาจเท่า ๆ กับคนอื่นและถ้าถูกปฏิเสธหรือถูกกีดกัน พวกเขาก็จะลุกขึ้นมา “ต่อสู้” ด้วยวิธีการต่าง ๆ และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมาตลอด
ในสังคมของประเทศที่พัฒนาแล้วและทุกคนมีอำนาจเท่า ๆ กันแล้ว ความคิดทางการเมืองก็จะเปลี่ยนเป็นเรื่องของสิทธิและเสรีภาพที่เขาจะทำได้ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เดือดร้อนใครหรือทำให้คนอื่นเสียสิทธิอันชอบธรรมของตนเอง คนที่มีแนวโน้มที่สนับสนุนแนวทางแบบนี้มักจะเป็นคนที่มองว่า เราควรส่งเสริมให้คนมีความเป็น “ปัจเจกชน” อย่าไปสร้างกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อะไรก็ตามที่จะไปลดความคิดสร้างสรรค์และแรงจูงใจในการทำงานของคน นอกจากนั้น พวกเขามักจะเคารพในสิทธิต่าง ๆ ของคนแม้ไม่ใช่เรื่องของกฎหมายอย่างเช่นเรื่องของเพศสภาพ การให้ผู้หญิงมีสิทธิที่จะทำแท้ง การนับถือหรือไม่นับถือศาสนา หรือเรื่องต่าง ๆ ที่ “ไม่ได้เดือดร้อนใคร” เป็นต้น ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็อยากส่งเสริมให้คนทุกคนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพื่อให้ “เท่าเทียม” กับคนอื่น ๆ พวกเขาคิดว่าคนเกิดมาก็เท่ากัน แต่ที่แย่กว่าคนอื่นเป็นเพราะระบบเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ดังนั้น คนในสังคมที่รวยกว่าก็ควรที่จะต้องเสียสละเพื่อให้สังคมส่วนรวมดีขึ้น และนี่ก็อาจจะเรียกว่าเป็นแนวคิดแบบ “เสรีนิยม”
ตรงกันข้ามกับเสรีนิยมก็คือแนวคิดแบบ “อนุรักษ์นิยม” ที่มีความคิดว่า “คนไม่เท่ากัน” คนบางคนหรือบางกลุ่มนั้นเหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเกิดหรือการพัฒนาตนเอง การให้สิทธิที่เท่าเทียมกันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาคิดว่าสังคมที่ดีนั้น จะต้องมีคนที่ดีกว่าเป็นผู้นำ การมีกฎหมายหรือประเพณีและวัฒนธรรมที่ “ดี” และทุกคนยึดมั่นในคำสอนของศาสนาหลักของประเทศ จะทำให้สังคมก้าวหน้าและ “สงบสุข” ดังนั้น พวกเขาก็มักจะส่งเสริมอะไรก็ตามที่เป็นความคิดของสังคมยุคเก่า
เรื่องที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ก็คือ คนที่เป็นนักลงทุนระดับเซียนโดยเฉพาะที่เป็นแนว VI พันธุ์แท้ระดับโลกอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น พวกเขามีความคิดทางการเมืองแบบไหน?
ชัดเจนว่าวอเร็น บัฟเฟตต์นั้นอยู่ข้าง “เสรีนิยม” คือเป็นเดโมแครท ทั้ง ๆ ที่พ่อของเขาซึ่งเป็น นักการเมืองเต็มตัวและเป็นสภาชิกสภาคองเกรสหลายสมัยนั้นเป็น “อนุรักษ์นิยม” สุด ๆ และเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ว่าที่จริงในช่วงที่โอบามาเป็นประธานาธิบดีนั้นก็มีข่าวว่าเขาอยากให้วอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นรัฐมนตรีคลังแต่บัฟเฟตต์ปฎิเสธ บัฟเฟตต์เองนั้นก็มักเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองอยู่เสมอ เขามักช่วยหาเสียงแนว “ประกาศสนับสนุน” ผู้สมัครที่เขาชื่นชอบ แต่คงไม่ได้บริจาคเงินมากมาย เขายังเคยเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองที่สุดฉบับหนึ่งและเป็นหนังสือพิมพ์แนวเสรีนิยม ตัวบัฟเฟตต์เองเห็นว่าสังคมอเมริกันนั้น คนรวยยังได้เปรียบคนจนมากและยังจ่ายภาษีน้อยเกินไป เขาบอกว่าเลขาของเขาจ่ายภาษีคิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงกว่าตัวเขาดังนั้นเขาเรียกร้องให้เก็บภาษีคนรวยมากขึ้น
จอร์จ โซรอส เองนั้น แม้จะไม่ได้เป็น VI แต่หลักความคิดและการลงทุนของเขาเองผมคิดว่าไม่ได้ต่างกัน เขาเป็นคนที่สนใจและเกี่ยวข้องกับการเมืองสูงมากโดยเฉพาะในประเทศฮังการีซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา และยุโรปตะวันออกที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยโดยเฉพาะในอดีต โซรอสเองนั้นถึงกับตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนคนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสร้าง “สังคมเปิด” ในประเทศต่าง ๆ ด้วยเงินจำนวนมาก
สำหรับ VI ไทยเองนั้น ผมคงไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่าสังคมการเมืองของไทยเองนั้น ยังไม่ได้พัฒนาเพียงพอที่คนจะประกาศตนสนับสนุนแนวความคิดบางอย่างได้โดยเฉพาะที่เขายังต้อง “อยู่กับระบบ” เพราะเขาทำธุรกิจหรือทำงานในหน่วยงานหรือบริษัท เพราะในบางครั้งอาจจะทำให้คนทำ “มีปัญหา” ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเข้าไปทำงานการเมือง นอกจากนั้น ในสังคมไทยเอง คนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ก็มักจะยังไม่ค่อยยอมรับความแตกต่างทางการเมือง การแสดงจุดยืนที่ชัดเจนก็อาจจะทำให้ “เสียเพื่อน” ได้
ในส่วนตัวผมเองนั้น ผมคิดว่าแนวความคิดทางการเมืองของผมมีพัฒนาการมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เด็กที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยม และเริ่มเป็นเสรีนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เริ่มเป็น VI เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ส่วนสำคัญน่าจะมาจากการศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองเนื่องจากมีเวลามากขึ้นหลังจากเกษียณจากงานประจำในองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มักจะประกอบไปด้วยคนที่มีแนวโน้มการเป็นอนุรักษ์นิยมตามธรรมชาติในสังคมไทย
Natural Value Investor : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Natural Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor 23 มีนาคม 62
การที่จะเป็น Value Investor “พันธุ์แท้” นั้น ถ้าจะบอกว่าเป็น “เรื่องยาก” ก็คงจะไม่ผิด แต่ถ้าบอกว่ามันเป็นเรื่อง “ไม่ยาก” ก็อาจจะไม่ผิดเช่นเดียวกัน เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งนั้น น่าจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติส่วนตัวและนิสัยของคนที่ต้องการจะเป็น VI คนบางคนนั้นพยายามเท่าไรหรือพยายามเรียนรู้เท่าไรก็ไม่สามารถทำได้ แต่สำหรับบางคนแล้ว แค่ได้รับคำอธิบายหรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับ VI ไม่เท่าไรก็เข้าใจและปฏิบัติได้แทบจะทันที บางทีอาจจะเพราะว่าหลักการของ VI นั้น มันตรงกับ “จริต” หรือความคิดและความเชื่อของเขาที่ฝังอยู่ในใจมานาน บางที “ตั้งแต่เกิด” ดังนั้น เขาจึงยอมรับมันอย่างเต็มใจและทุ่มเทกับมันและกลายเป็น “VI ผู้มุ่งมั่น” ที่ลงทุนและใช้ชีวิต “แบบ VI”
คุณสมบัติของคนที่จะเป็น Value Investor พันธุ์แท้ ได้ง่ายนั้น ผมอยากจะเรียกว่าเป็น “Natural Value Investor” ซึ่งเป็นคุณสมบัติส่วนตัวบางอย่างที่จะทำให้เขาสามารถเรียนรู้และปฏิบัติตนแบบ VI ได้ง่ายและอาจจะไม่ต้องพยายามหรือฝืนใจอย่างหนัก เขาสามารถทำมันได้แบบเป็น “ธรรมชาติ” มาก เขาอาจจะไม่รู้สึกกระวนกระวายและคิดว่าจะต้องขายหุ้นในยามที่ตลาดหลักทรัพย์หรือหุ้นที่เขาถืออยู่ตกลงมาอย่างหนักโดยที่พื้นฐานของกิจการดูเหมือนว่าจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เขาอาจจะสามารถขับรถเก่าราคาถูกไปไหนมาไหนโดยที่ไม่ได้สนใจว่าใครจะมองว่าจนหรือไม่รวยทั้ง ๆ ที่เขาเป็นเศรษฐี และตัวอย่างของคนที่น่าจะเป็น Natural VI ที่เรารู้จักกันดีก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ แต่สิ่งที่คนจำนวนมากอาจจะไม่รู้ก็คือ คนอย่างจอห์นเนฟ หรือเซียน VI ระดับโลกหลายคนก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน เขาเหล่านั้นเป็น “Natural Value Investor” เป็นคนที่เรียนรู้และใช้ชีวิตแบบ VI มานานหรือตั้งแต่เด็กก่อนที่จะดังระดับโลก
คุณสมบัติของ Natural VI ที่ผมคิดว่าสำคัญมากและใครก็ตามที่มีลักษณะหรือนิสัยแบบนั้นจะมีศักยภาพเป็น “VI พันธุ์แท้” ได้ง่ายถ้าเริ่มเข้ามาศึกษา เรียนรู้และปฏิบัติตน ก็คือ ข้อแรก เขาเป็นคนที่มีนิสัย “ประหยัดอดออม” ไม่ชอบใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายหรือใช้เงินในสิ่งที่ “ฟุ่มเฟือย” โดย “ไม่จำเป็น” ตัวอย่างเช่น การใช้สินค้าแบรนด์เนมที่มีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับประโยชน์ใช้สอยและรู้สึก “เสียดายเงิน” ที่อาจจะหามาได้อย่าง “ยากเย็น” การเป็นคน “ประหยัด” นั้น แน่นอน ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคนที่ “ยังไม่มีเงิน” พอที่จะใช้จ่ายสินค้าหรูหรือแพง แต่คนที่ “ไม่มีเงิน” ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยประหยัด หลายคนพอมีเงินหรือได้เงินมาก็ใช้จ่ายเกินตัวและติดหนี้สินอีกต่างหาก ดังนั้น คนประหยัดในความหมายที่แท้จริงก็คือคนที่ “ใช้จ่ายเงินน้อยกว่าความมั่งคั่งหรือสินทรัพย์สุทธิ” ของเขามาก ซึ่งทำให้เขาสามารถ “ออมเงิน” ได้มากกว่าคนปกติที่มีรายได้เท่า ๆ กัน
คุณสมบัติข้อสองที่จะทำให้คน ๆ นั้นมีโอกาสเป็น VI ได้ง่ายก็คือการเป็นคนที่ “มีเหตุมีผลเสมอ” หรือมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล ไม่เชื่อในเรื่องที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่มีข้อพิสูจน์เช่นเรื่องของไสยาศาสตร์หรือโหราศาสตร์ ความเชื่อที่มีเหตุมีผลนั้น แน่นอน ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ แบบหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ศาสตร์ทางสังคมเช่นเรื่องของเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีเหตุมีผลที่ทำให้เราสามารถคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ในสังคมและในทางเศรษฐกิจได้ถูกต้องหรือใกล้เคียงพอที่จะนำมาใช้ในการลงทุนและดำรงชีวิตได้ ประเด็นสำคัญก็คือ คนที่จะเป็น VI นั้น จะต้องคิดแบบมี Logic หรือมีเหตุผลไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเชื่อ
คุณสมบัติข้อสามก็คือ VI โดยธรรมชาตินั้น มักจะต้องเป็นคนที่มี “วินัย” สูง นั่นก็คือ เมื่อเขามีหลักการ มีความคิดและมีแผนที่จะทำอะไรรวมถึงการลงทุนในหุ้นที่เขาศึกษาและวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้ว เขาก็จะทำตามแผนการนั้นโดยไม่วอกแวก เขามักจะเป็นคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์และมักจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรง่าย ๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบชั่วคราวแต่ในระยะยาวแล้วสิ่งที่เขาคิด เชื่อ และกระทำยังเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การเป็นคนที่มีวินัยสูงนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่คนอื่นกำหนด ตรงกันข้าม วินัยนี้จะต้องเป็นสิ่งที่ผ่านการพิจารณาและไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี มีเหตุมีผลและมีข้อพิสูจน์แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและจะทำให้เราประสบความสำเร็จในระยะยาว ตัวอย่างที่ผิดที่เรามักจะพบบ่อยมากในเรื่องของการลงทุนก็เช่น คนบางคนซื้อหุ้นบางตัวที่ไม่ได้มีพื้นฐานที่ดีเลยในราคาที่แพงแต่กลับคิดว่ามันเป็น “หุ้น VI”...
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
โลกในมุมมองของ Value Investor 16 มีนาคม 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในเรื่องของการวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐานและระยะยาวนั้น บ่อยครั้งเรามักจะพูดถึงเรื่องของ S-Curve ซึ่งเป็นกราฟที่มีแกนนอนเป็นระยะเวลาและแกนตั้งเป็นยอดขายหรือการเติบโตของบริษัท กราฟนี้มีลักษณะคล้ายตัว S นั่นก็คือ ในช่วงแรก ๆ ของบริษัท ยอดขายหรือรายได้มักจะโตขึ้นอย่างช้า ๆ ความชันมีน้อยมาก จนถึงจุดหนึ่งที่เป็น “จุดเปลี่ยน”...
การเมืองกับตลาดหุ้น ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การเมืองกับตลาดหุ้น
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor
9 กุมภาพันธ์ 62
สองสามวันที่ผ่านมาเราได้เห็นข่าวการเมืองที่คนทั่วประเทศต่างก็จับตามองและรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นและจบลงในเวลาอันสั้น เหตุผลที่เราตื่นเต้นนั้นเนื่องจากมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและอาจจะมีผลต่อการแข่งขันในการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าหลังจากที่ประเทศไทยห่างเหินจากการเลือกตั้งมานาน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ถูกกระทบอะไรนัก ดัชนีตลาดเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในช่วงปิดตลาด และนี่ก็อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผลกระทบจากการเมืองในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นแม้ว่าในทางการเมืองแล้วถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญหรือรุนแรงหรือน่ากลัวก็ตาม
ตัวอย่างของเหตุการณ์สำคัญหรือรุนแรงหรือน่ากลัวในทางการเมืองก็เช่น การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชนะเลือกตั้ง การลดภาษีนิติบุคคลในอัตราสูงของทรัมป์ สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีน และเรื่องอื่น ๆ อีกมาก หรืออย่างในเมืองไทยก็เช่น การประท้วงของคนเสื้อเหลือง-แดง การเกิดการรัฐประหาร การเลือกตั้งใหญ่ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ในระยะสั้น ๆ มักจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวแรงในระดับหนึ่งทั้งทางขึ้นและลงขึ้นอยู่กับมุมมองว่าเหตุการณ์ทางการเมืองนั้นจะส่งผลดีหรือผลเสียต่อการลงทุนและบางทีก็ดูว่าเป็นหุ้นกลุ่มไหนที่จะได้รับผลกระทบ—ในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวนั้น ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาตลอดเป็นสิบ ๆ ปีก็มักไม่จะไม่กระทบเท่าไร เหตุผลก็เพราะว่า โลกในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงที่ประเทศต่าง ๆ เปลี่ยนหรือยึดถือนโยบาย “เปิดตลาด” การค้า ไม่มีประเทศสำคัญไหนที่นักการเมืองหรือเหตุการณ์ทางการเมืองนำไปสู่การทำลายการทำงานของธุรกิจหรือการค้าขายระหว่างประเทศอย่างที่โลกเคยเกิดขึ้นในสมัยที่ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่หลายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ในเมื่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจซึ่งต่อเนื่องถึงธุรกิจของบริษัทต่าง ๆ ในระยะยาวที่มาจากการเมืองนั้นมีน้อย ผลกระทบของเหตุการณ์ทางการเมืองต่อตลาดหุ้นในระยะยาวจึงมีน้อยตามไปด้วย คนที่ลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นจึงไม่ค่อยกังวลอะไรนักกับเรื่องทางการเมือง ตราบใดที่การเมืองนั้นไม่ทำลาย “บรรยากาศ” หรือสภาวะแวดล้อมในการทำธุรกิจของเอกชนในระยะยาวแล้วละก็ เราก็ไม่มีอะไรต้องวิตก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนนั้นก็คือคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในประเทศ และการเมืองเองนั้นแม้ว่าจะไม่ทำลายเรื่องของธุรกิจ แต่มันก็อาจจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราแย่ลงได้ คนนั้นไม่ใช่แค่ว่าขอให้มีเงินแล้วก็มีความสุข เราต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งรวมถึงสภาวะอย่างอื่นเช่น อากาศที่ดีไม่มีฝุ่นละอองเป็นพิษ เราต้องการเสรีภาพในการพูดและแสดงความคิดเห็น เราต้องการอยู่อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมกับคนอื่น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้บางทีก็มักจะมาจากการเมือง
ดังนั้น นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI จึงต้องสนใจการเมือง การเมืองที่ดีสำหรับคนที่อยู่ในประเทศนั้นก็คือการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงซึ่งเคารพสิทธิของคนทุกคนโดยการยอมรับว่าทุกคนนั้นมีความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย ไม่มีการบังคับว่าเราทำอะไรได้หรือไม่ได้ถ้าไม่ไปรบกวนคนอื่น มีระบบเศรษฐกิจที่เปิดและมีการแข่งขันโดยเสรี และด้วยหลักการแบบนี้ เราก็จะได้รัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งรัฐบาลนั้นเองจะต้องทำการเมืองที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกเขาเข้ามา และนั่นจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตขึ้นและความเหลื่อมล้ำของคนจะน้อยลง เพราะถ้ารัฐบาลไหนไม่ทำแบบนั้น เขาก็จะไม่สามารถได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลได้
แน่นอนว่ามีคนไม่เห็นด้วยกับแนวทางแบบที่กล่าว หลายคนไม่อยากให้เสียงส่วนใหญ่เป็นคนกำหนดว่าใครควรเป็นรัฐบาล เขาอาจจะคิดว่ารัฐแบบเผด็จการนั้นสามารถทำงานได้ดีกว่าเพราะผู้นำสามารถ “สั่งได้” การรับฟังคนส่วนใหญ่ที่ “ไม่มีความรู้” หรืออาจจะ “เห็นแก่ได้” หรือ “ถูกหลอก” ให้ลงคะแนนเลือกคนที่ไม่เหมาะสมนั้น จะไม่สามารถเลือก “คนดี” ให้เป็นรัฐบาลได้ แต่ประวัติศาสตร์บอกเราว่าแนวคิดแบบประชาธิปไตยนั้นมีความเหนือกว่าระบบเผด็จการอย่างเห็นได้ชัด และประเทศในโลกก็ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงมาเป็นประเทศแบบประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเหลือแต่ประเทศที่ยัง “ล้าหลังมาก ๆ” เท่านั้นที่ยังคงระบบแบบเผด็จการอยู่ และระบบประชาธิปไตยที่ผมพูดนั้นก็คือระบบประชาธิปไตยแบบ “สากล” ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบตามชื่อของรัฐหรือประเทศที่มักจะมีหลักหรือวิธีการที่แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งมักจะไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมคิดว่าไม่มีรัฐหรือประเทศไหนในโลกนี้ที่บอกว่าประเทศตนเองไม่ใช่ประชาธิปไตย แม้แต่ประเทศที่เผด็จการที่สุดก็ยังบอกว่าตนเองปกครองระบอบประชาธิปไตย
แม้กระนั้นก็ตาม บางคนก็อาจจะเถียงว่าทำไมจีนหรืออาจจะรวมถึงเวียตนามจึงเจริญเร็วมากทั้งที่ระบบของเขาก็ยังไม่เป็นประชาธิปไตย เขายังพูดต่อด้วยว่าที่เจริญเร็วนั้นเป็นเพราะจีนนั้นเขาสามารถ “สั่งได้” จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ผมเองอยากจะเถียงว่าถ้าจีนและเวียตนามเป็นประชาธิปไตยเขาจะยิ่งเจริญเร็วและคนมีความสุขกว่านี้ ว่าที่จริงในสมัยแค่ไม่กี่สิบปีก่อนที่ทั้งสองประเทศยังเป็นเผด็จการอย่างหนักนั้น เศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของเขาแย่มาก คนไทยที่ไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีนเมื่อ 40 ปีก่อนนั้นต่างก็รู้ซึ้งถึงความจนและความยากลำบากของญาติที่น่าจะมีศักยภาพเท่าเขา แต่หลังจากที่จีนและเวียตนามปรับประเทศมาเป็นแบบประชาธิปไตยมากขึ้น พวกเขาก็เจริญขึ้นอย่างรวดเร็วจนทุกวันนี้คนจีนรวยกว่าคนไทยไปแล้ว เวียตนามเองก็ตามรอยจีนและในที่สุดก็อาจจะรวยไม่แพ้ไทยถ้าเขาปรับตัวเองเป็นประชาธิปไตยแบบสากลมากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากสองประเทศนี้แล้ว ผมคิดว่าเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้จะเป็นตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดว่าประชาธิปไตยนั้นเหนือกว่าระบบเผด็จการอย่างชัดเจนเพราะสองประเทศนี้เริ่มต้นพร้อมกันเมื่อประมาณ 70 ปีก่อนที่ทุกอย่างเหมือนกันทั้งเรื่องของคุณภาพของคนและทรัพยากรของประเทศ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เกาหลีใต้ที่เป็นประเทศประชาธิปไตยแม้ว่าในช่วงแรก ๆ ยังมีปักจุงฮีเป็นเผด็จการอยู่ในระดับหนึ่ง แต่หลังจากการรัฐประหารครั้งสุดท้ายของนายพลชุนดูวานในปี 1980 หรือเกือบ 40 ปีมาแล้วและการกลับมาสู่ระบบประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งประมาณ 5-6 ปีหลังจากนั้น เกาหลีใต้ก็ไม่มีรัฐประหารอีกเลย และประเทศก็เจริญขึ้นเร็วมากจนกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในปัจจุบัน ในขณะที่เกาหลีเหนือนั้นยังคงเป็นเผด็จการมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็ส่งผลให้เศรษฐกิจไม่เจริญเติบโตและระดับการพัฒนาของประเทศในปัจจุบันก็แทบจะถือว่าต่ำที่สุดในโลกประเทศหนึ่งยกเว้นในทางทหารที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยทั่วไปเลย
ถ้าประเทศไทยจะเจริญเติบโตต่อไปจนกลายเป็นประเทศ “พัฒนาแล้ว” ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ใช้ระบบประชาธิปไตยแบบสากลในการปกครองประเทศ ตัวอย่างในโลกนี้มีเต็มไปหมด ว่าที่จริงแทบจะไม่มีประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกนี้ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย คนที่คิดว่าเรามีวัฒนธรรมและขนบประเพณีเฉพาะตนเป็นเอกลักษณ์และเราไม่จำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตยแบบคนอื่นนั้นผมคิดว่าควรศึกษาประเทศอื่น ๆ ที่ก็เคยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นเดียวกัน สำหรับผมแล้ว ระบอบประชาธิปไตยที่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นเรื่อง “สากล” คล้าย ๆ กับอีกหลายเรื่องเช่น การใช้สื่อสังคมดิจิตอล การดูแลสิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ อีกมาก โลกทุกวันนี้จริง ๆ แล้วมี Civilization หรืออารยะธรรม เดียว มันหมดยุคอารยะธรรมอียิปต์ อารยะธรรมจีน หรือแม้แต่อารยะธรรมตะวันตกไปแล้วไม่ต้องพูดถึงอารยะธรรมไทย เดี๋ยวนี้มีแต่ “อารยะธรรมโลก” ที่อาจจะนำโดยกูเกิล เฟซบุค อะมาซอน และไมโครซอฟท์
ข้อสรุปสุดท้ายของผมเกี่ยวกับเรื่องการเมืองก็คือ ผมจะคอยดูและวิเคราะห์ตลอดเวลาว่าพัฒนาการทางการเมืองของไทยในระยะยาวจะพัฒนาไปทางไหน ในบางครั้งผมเองก็กลัวเหมือนกันว่าระบบการปกครองของประเทศไทยอาจจะ “ถอยหลัง” ไปจากระบบประชาธิปไตยแบบสากลซึ่งจะเป็นอันตรายต่อการลงทุน—และชีวิต แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ ผมก็มักจะไม่แคร์และไม่สนใจมากนัก แต่ถ้าจะให้เข้าไปเล่นหรือเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมคงไม่ทำ ผมเองยอมรับว่าตนเองไม่ใช่ “นักสู้” ที่จะเข้าไปต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองให้เป็นอย่างที่ตนเองต้องการ แต่เป็นแค่ “นักเลือก” เวลาเขาให้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร
พอร์ตหุ้นบัฟเฟตต์ :ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พอร์ตหุ้นบัฟเฟตต์
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พอร์ตลงทุนหุ้นจดทะเบียนของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ล่าสุดที่เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้มีความน่าสนใจในแง่ที่ว่ามันอาจจะแสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญหลาย ๆ อย่าง ว่าที่จริงมันคงค่อย ๆ เปลี่ยนมาพักใหญ่แล้วเพียงแต่ว่าคนที่ติดตามอาจจะไม่ตระหนัก คนจำนวนมากยังน่าจะจำเรื่องราวต่าง ๆ ของบัฟเฟตต์จากข่าวสาร บทความ และการศึกษาเกี่ยวกับบัฟเฟตต์ที่มักใช้ข้อมูลย้อนหลังไปไกลโดยเฉพาะในช่วงที่บัฟเฟตต์ประสบความสำเร็จสูงสุดและร่ำรวยขึ้นมหาศาลจนกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกและยังรวยที่สุดอันดับ 3 ของโลกในวันนี้ แต่จากสถิติผลงานการลงทุนของบัฟเฟตต์ในช่วงอย่างน้อยประมาณ10 ปีที่ผ่านมาคือหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจของอเมริกาในปี 2009 นั้น ก็ดูเหมือนว่าผลงานของเขาจะไม่ได้โดดเด่นหรือมีความมหัศจรรย์อย่างที่เคยเป็นมาในช่วงหลายสิบปีก่อนหน้านั้น ตัวเลขผลตอบแทนที่วอเร็น บัฟเฟตต์ทำได้นั้นไม่ต่างจากผลตอบแทนของดัชนีตลาดอย่าง S&P 500 หรือ ดัชนีดาวโจนส์คือผลตอบแทนแบบทบต้นที่ประมาณ 14-15% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่หุ้นทำผลตอบแทนที่ดีมากที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้น ในขณะที่หุ้นในตลาด NASDAQ ซึ่งเป็นกิจการไฮเท็คนั้นให้ผลตอบแทนถึง 17-18%
พอร์ตหุ้นของบัฟเฟตต์ที่แสดงหุ้นตัวใหญ่ที่สุด 15 ตัวนั้น พบว่าหุ้นแอบเปิลกลายเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดจำนวนถึงกว่า4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐหรือ 1.2 ล้านล้านบาท ทั้ง ๆ ที่บัฟเฟตต์เคยมีชื่อว่าเป็นคนโลว์เท็ค โทรศัพท์มือถือก็ยังใช้ของเก่าที่ไม่ทันสมัย อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหุ้นแนวไฮเท็คอื่น ๆ นั้น บัฟเฟตต์ก็ยังหลีกเลี่ยง นักวิเคราะห์และผู้ติดตามบัฟเฟตต์คิดว่าหุ้นแอบเปิลนั้น บัฟเฟตต์ไม่ได้ซื้อเพราะมันเป็นหุ้นไฮเท็ค แต่เขาซื้อเพราะโทรศัพท์ของแอบเปิลนั้นกลายเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคโดยเฉพาะในอเมริกาและคนรวยในโลกนิยมใช้กันเพราะมันเป็นสิ่งที่เท่และพวกเขาคุ้นเคย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บริษัทแอบเปิลนั้นมีเงินสดมหาศาลที่จะใช้ในการวิจัยและต่อสู้ในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีไม่ตกยุคแน่นอน แต่ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าก็คือ หุ้นแอบเปิลนั้นมีราคาไม่แพงเลย ค่า PE นั้นเพียง 10 กว่าเท่าเท่านั้น
หุ้นขนาดใหญ่เป็นอันดับสองและอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กลายเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่ที่สุดและใหญ่มากจนน่าตกใจก็คือหุ้นของแบ้งค์อเมริกาที่มีขนาดถึงกว่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญหรือ 7 แสนล้านบาท ซึ่งก็ตามด้วยแบ้งค์อีกตัวหนึ่งที่บัฟเฟตต์ถือมานานมากคือหุ้นแบ้งค์ Wells Farco ที่มีขนาดประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญ นอกจากนั้นเขาก็ยังมีหุ้นการเงินที่ถือมานานยิ่งกว่าคือตั้งแต่เขาเพิ่งจะดังก็คือหุ้น อเมริกันเอ็กซเพรสที่เขาถืออยู่ 1.4 หมื่นล้านเหรียญ ไม่นับหุ้นสถาบันการเงินอื่น ๆ ที่เป็นหุ้นเพื่อการลงทุนหรือเน้นทางด้านหลักทรัพย์อย่างหุ้นโกลด์แมนซ้าคและเจพีมอร์แกน รวม ๆ แล้วใน 15 อันดับนั้น เป็นหุ้นเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนถึง 7 บริษัท คิดเป็นมูลค่าหุ้นรวมกันถึงกว่า 7 หมื่น 6 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท
เหตุผลที่หุ้นในพอร์ตของบัฟเฟตต์เต็มไปด้วยหุ้นการเงินนั้น ผมคิดว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่บริษัทเหล่านั้นมักจะเคยมีปัญหาที่เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจ ราคาหุ้นตกลงมามโหฬารและต้องการคนเข้ามา “กู้” โดยการเข้ามาซื้อหุ้นหรือหุ้นกู้ที่สามารถแปลงเป็นหุ้นสามัญได้ ซึ่งหนึ่งในคนที่มักจะมีเงินสดมากพอในยามนั้นก็คือบัฟเฟตต์ ซึ่งเขาจะเข้ามากู้กิจการโดยการอัดฉีดเงินเข้าไปและทำกำไรได้มากมายเมื่อกิจการฟื้น อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ หุ้นสถาบันการเงินนั้นมักจะมีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง การที่จะเข้าไปซื้อหุ้นในจำนวนและปริมาณที่มากซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบัฟเฟตต์ที่มีเงินสดเพิ่มขึ้นมากทุกปีจากการรับปันผลจากบริษัทในอาณาจักรเบิร์กไชร์ก็เป็นไปได้ไม่ยาก และสุดท้ายก็คือ หุ้นสถาบันการเงินนั้น มักจะเข้าเกณฑ์การลงทุนของบัฟเฟตต์ที่ว่ากิจการจะต้องมีความมั่นคงเข้าใจง่ายและสามารถคาดการณ์ได้แม่นยำพอสมควร ยังสามารถที่จะเติบโตไปได้ในระยะยาว การที่จะถูกทำลายด้วยเทคโนโลยีก็ยังยาก ว่าที่จริงสถาบันการเงินอาจจะได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีด้วยซ้ำ และราคาหุ้นสถาบันการเงินเองนั้นก็มักจะไม่แพง ทั้งหมดนั้นทำให้บัฟเฟตต์ชอบลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้
หุ้นตัวใหญ่มากอีกตัวหนึ่งที่บัฟเฟตต์ถือมานานมากและเป็นเคยเป็นหุ้น “สุดรัก” ของบัฟเฟตต์ก็คือหุ้นแนว “ผู้บริโภค” ที่ในสมัยก่อนเป็นหุ้นที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ลงทุนมากมายนั่นคือ หุ้นโค๊ก ซึ่งเขาถืออยู่ประมาณ 1.9 หมื่นล้านเหรียญหรือเกือบ 6 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม หุ้น Consumer ซึ่งเคยเป็น Signature หรือหุ้นที่เป็น “ยี่ห้อ” ของบัฟเฟตต์นั้น ในระยะหลังๆ ดูเหมือนว่าจะลดลงมาก ตัวสุดท้ายน่าจะเป็นหุ้นซอสมะเขือเทศไฮน์ที่เขาลงทุนไปมากแต่ดูเหมือนว่าหลัง ๆ กลายเป็นหุ้นผู้บริโภคที่เป็นหุ้นที่อิงเทคโนโลยีอย่างหุ้นแอบเปิลมากกว่า
รวมแล้วหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 15 อันดับนั้น มีมูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านเหรียญคิดเป็น 87% ของพอร์ตหุ้นทั้งหมดที่ประมาณ 1.7 แสนล้านเหรียญหรือ 5.4 ล้าน ๆ บาท นี่ก็แสดงให้เห็นถึงพอร์ตที่ Focus หรือเน้นหนักมากในหุ้นไม่กี่ตัวของบัฟเฟตต์ ว่าที่จริงหุ้นตัวใหญ่ที่สุดทั้ง 15 ตัวดังกล่าวนั้น จำนวนไม่น้อยต้องถือว่าบัฟเฟตต์เป็น “เจ้าของ” เพราะเขาถือหุ้นหลาย ๆ เปอร์เซ็นต์ ส่วนมากถึงเกือบ 10% ของบริษัท และกลายเป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้น เขาสามารถที่จะมีบทบาทหรือสั่งการให้ผู้บริหารดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น เช่น การซื้อหุ้นคืน ซึ่งมักจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้นได้
นอกจากหุ้นที่ซื้อขายในตลาดแล้ว พอร์ตหุ้นของบริษัทที่ไม่อยู่ในตลาดของบัฟเฟตต์เองนั้นก็ใหญ่โตไม่แพ้หุ้นในตลาดเช่นกัน โดยหุ้นเหล่านี้ วอเร็น บัฟเฟตต์มักจะถือหุ้นใหญ่เกิน 50% จำนวนมากถือหุ้น 100% เป็นเจ้าของคนเดียว หุ้นที่มีขนาดใหญ่มากที่อยู่ในพอร์ตนี้บางบริษัทก็เคยเป็นบริษัทจดทะเบียน แต่เมื่อบัฟเฟตต์เทคโอเวอร์มา เขาก็ถอนตัวออกจากตลาด ตัวอย่างหุ้นที่มีมากก็คือหุ้นพลังงานและหุ้นสาธารณูปโภคเช่น รถไฟ เป็นต้น ในขณะที่หุ้นตัวเล็กก็มีหลากหลายนับรวมกันน่าจะเกิน 100 บริษัท บัฟเฟตต์เองบอกว่าเขาชอบเป็นเจ้าของ 100% ในหุ้นทุกตัวที่เขาซื้อ แม้แต่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นถ้าเขาสามารถเป็นเจ้าของ 100% เขาก็อยากทำ เพราะเขา “ไม่เล่นหุ้น” ซื้อแล้วมักจะไม่ค่อยขาย หรือไม่ก็เก็บไว้นาน จะขายก็เมื่อพื้นฐานของหุ้นเปลี่ยนไปจริง ๆ เท่านั้น
หุ้นในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคเองนั้น ดูไปแล้วก็ออกนอกแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ที่เรารู้จักและเป็น Signature เดิมของบัฟเฟตต์ แต่ก็คล้าย ๆ กับสถาบันการเงิน มันสามารถลงทุนด้วยเงินจำนวนมากได้ มันมีความสม่ำเสมอของรายได้และผลประกอบการ สามารถคาดการณ์ได้ใกล้เคียงพอสมควร อนาคตของธุรกิจเองก็ยังเติบโตไปได้ในระยะยาว การถูกDisrupt หรือทำลายด้วยเทคโนโลยีใหม่ก็ยังทำได้ยาก และสุดท้ายที่สำคัญก็คือ ราคาหุ้นไม่แพง
ข้อสรุปของผมก็คือ พอร์ตของบัฟเฟตต์บอกเราว่า การหาซุปเปอร์สต็อกแบบเดิมที่วอเร็น บัฟเฟตต์เคยทำสมัยที่พอร์ตยังมีขนาดเล็กนั้น ทำไม่ได้แล้ว เขาต้องลงทุนด้วยเม็ดเงินขนาดมหึมาในหุ้นแต่ละตัว การหาหุ้นที่เข้าข่ายนั้นทำได้ยากมาก เพราะหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณสมบัติครบรวมถึงยังโตได้นั้นดูเหมือนว่าจะต้องเป็นกิจการใน New หรือ Digital Economy ซึ่งคาดการณ์ยากโดยเฉพาะตัววอเร็น บัฟเฟตต์เองที่ไม่คุ้นเคยกับมันมากนัก ดังนั้น สิ่งที่เขาทำในช่วงหลัง ๆ จึงเป็นเรื่องของการซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่สามารถประเมินมูลค่าที่เหมาะสมและยังไม่ถูกทำลายด้วยเทคโนโลยีใหม่ โดยที่ราคาซื้อนั้นยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงในระดับหนึ่ง ด้วยแนวทางแบบนี้ การที่จะสามารถทำผลตอบแทนเหนือตลาดมาก ๆ ก็เป็นไปได้ยาก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะสำหรับบัฟเฟตต์แล้ว ต่อจากนี้จนถึงวันที่เขาตาย ถ้าเขาสามารถรักษาผลตอบแทนที่พอ ๆ กับตลาดได้ เขาก็น่าจะได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นสุดยอดนักลงทุนที่อาจจะไม่มีใครสามารถลบสถิติได้ อานิสงค์จากผลงานการลงทุนที่ชนะตลาด 10% ต่อปีแบบทบต้นติดต่อกันยาวนานกว่า 50 ปี