แท็ก: ดร.นิเวศน์
การเมืองกับตลาดหุ้น ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การเมืองกับตลาดหุ้น
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor
9 กุมภาพันธ์ 62
สองสามวันที่ผ่านมาเราได้เห็นข่าวการเมืองที่คนทั่วประเทศต่างก็จับตามองและรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นและจบลงในเวลาอันสั้น เหตุผลที่เราตื่นเต้นนั้นเนื่องจากมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและอาจจะมีผลต่อการแข่งขันในการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าหลังจากที่ประเทศไทยห่างเหินจากการเลือกตั้งมานาน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ถูกกระทบอะไรนัก ดัชนีตลาดเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในช่วงปิดตลาด และนี่ก็อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผลกระทบจากการเมืองในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นแม้ว่าในทางการเมืองแล้วถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญหรือรุนแรงหรือน่ากลัวก็ตาม
ตัวอย่างของเหตุการณ์สำคัญหรือรุนแรงหรือน่ากลัวในทางการเมืองก็เช่น การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชนะเลือกตั้ง การลดภาษีนิติบุคคลในอัตราสูงของทรัมป์ สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีน และเรื่องอื่น ๆ อีกมาก หรืออย่างในเมืองไทยก็เช่น การประท้วงของคนเสื้อเหลือง-แดง การเกิดการรัฐประหาร การเลือกตั้งใหญ่ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ในระยะสั้น ๆ มักจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวแรงในระดับหนึ่งทั้งทางขึ้นและลงขึ้นอยู่กับมุมมองว่าเหตุการณ์ทางการเมืองนั้นจะส่งผลดีหรือผลเสียต่อการลงทุนและบางทีก็ดูว่าเป็นหุ้นกลุ่มไหนที่จะได้รับผลกระทบ—ในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวนั้น ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาตลอดเป็นสิบ ๆ ปีก็มักไม่จะไม่กระทบเท่าไร เหตุผลก็เพราะว่า โลกในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงที่ประเทศต่าง ๆ เปลี่ยนหรือยึดถือนโยบาย “เปิดตลาด” การค้า ไม่มีประเทศสำคัญไหนที่นักการเมืองหรือเหตุการณ์ทางการเมืองนำไปสู่การทำลายการทำงานของธุรกิจหรือการค้าขายระหว่างประเทศอย่างที่โลกเคยเกิดขึ้นในสมัยที่ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่หลายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ในเมื่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจซึ่งต่อเนื่องถึงธุรกิจของบริษัทต่าง ๆ ในระยะยาวที่มาจากการเมืองนั้นมีน้อย ผลกระทบของเหตุการณ์ทางการเมืองต่อตลาดหุ้นในระยะยาวจึงมีน้อยตามไปด้วย คนที่ลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นจึงไม่ค่อยกังวลอะไรนักกับเรื่องทางการเมือง ตราบใดที่การเมืองนั้นไม่ทำลาย “บรรยากาศ” หรือสภาวะแวดล้อมในการทำธุรกิจของเอกชนในระยะยาวแล้วละก็ เราก็ไม่มีอะไรต้องวิตก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนนั้นก็คือคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในประเทศ และการเมืองเองนั้นแม้ว่าจะไม่ทำลายเรื่องของธุรกิจ แต่มันก็อาจจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราแย่ลงได้ คนนั้นไม่ใช่แค่ว่าขอให้มีเงินแล้วก็มีความสุข เราต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งรวมถึงสภาวะอย่างอื่นเช่น อากาศที่ดีไม่มีฝุ่นละอองเป็นพิษ เราต้องการเสรีภาพในการพูดและแสดงความคิดเห็น เราต้องการอยู่อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมกับคนอื่น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้บางทีก็มักจะมาจากการเมือง
ดังนั้น นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI จึงต้องสนใจการเมือง การเมืองที่ดีสำหรับคนที่อยู่ในประเทศนั้นก็คือการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงซึ่งเคารพสิทธิของคนทุกคนโดยการยอมรับว่าทุกคนนั้นมีความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย ไม่มีการบังคับว่าเราทำอะไรได้หรือไม่ได้ถ้าไม่ไปรบกวนคนอื่น มีระบบเศรษฐกิจที่เปิดและมีการแข่งขันโดยเสรี และด้วยหลักการแบบนี้ เราก็จะได้รัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งรัฐบาลนั้นเองจะต้องทำการเมืองที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกเขาเข้ามา และนั่นจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตขึ้นและความเหลื่อมล้ำของคนจะน้อยลง เพราะถ้ารัฐบาลไหนไม่ทำแบบนั้น เขาก็จะไม่สามารถได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลได้
แน่นอนว่ามีคนไม่เห็นด้วยกับแนวทางแบบที่กล่าว หลายคนไม่อยากให้เสียงส่วนใหญ่เป็นคนกำหนดว่าใครควรเป็นรัฐบาล เขาอาจจะคิดว่ารัฐแบบเผด็จการนั้นสามารถทำงานได้ดีกว่าเพราะผู้นำสามารถ “สั่งได้” การรับฟังคนส่วนใหญ่ที่ “ไม่มีความรู้” หรืออาจจะ “เห็นแก่ได้” หรือ “ถูกหลอก” ให้ลงคะแนนเลือกคนที่ไม่เหมาะสมนั้น จะไม่สามารถเลือก “คนดี” ให้เป็นรัฐบาลได้ แต่ประวัติศาสตร์บอกเราว่าแนวคิดแบบประชาธิปไตยนั้นมีความเหนือกว่าระบบเผด็จการอย่างเห็นได้ชัด และประเทศในโลกก็ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงมาเป็นประเทศแบบประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเหลือแต่ประเทศที่ยัง “ล้าหลังมาก ๆ” เท่านั้นที่ยังคงระบบแบบเผด็จการอยู่ และระบบประชาธิปไตยที่ผมพูดนั้นก็คือระบบประชาธิปไตยแบบ “สากล” ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบตามชื่อของรัฐหรือประเทศที่มักจะมีหลักหรือวิธีการที่แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งมักจะไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมคิดว่าไม่มีรัฐหรือประเทศไหนในโลกนี้ที่บอกว่าประเทศตนเองไม่ใช่ประชาธิปไตย แม้แต่ประเทศที่เผด็จการที่สุดก็ยังบอกว่าตนเองปกครองระบอบประชาธิปไตย
แม้กระนั้นก็ตาม บางคนก็อาจจะเถียงว่าทำไมจีนหรืออาจจะรวมถึงเวียตนามจึงเจริญเร็วมากทั้งที่ระบบของเขาก็ยังไม่เป็นประชาธิปไตย เขายังพูดต่อด้วยว่าที่เจริญเร็วนั้นเป็นเพราะจีนนั้นเขาสามารถ “สั่งได้” จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ผมเองอยากจะเถียงว่าถ้าจีนและเวียตนามเป็นประชาธิปไตยเขาจะยิ่งเจริญเร็วและคนมีความสุขกว่านี้ ว่าที่จริงในสมัยแค่ไม่กี่สิบปีก่อนที่ทั้งสองประเทศยังเป็นเผด็จการอย่างหนักนั้น เศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของเขาแย่มาก คนไทยที่ไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีนเมื่อ 40 ปีก่อนนั้นต่างก็รู้ซึ้งถึงความจนและความยากลำบากของญาติที่น่าจะมีศักยภาพเท่าเขา แต่หลังจากที่จีนและเวียตนามปรับประเทศมาเป็นแบบประชาธิปไตยมากขึ้น พวกเขาก็เจริญขึ้นอย่างรวดเร็วจนทุกวันนี้คนจีนรวยกว่าคนไทยไปแล้ว เวียตนามเองก็ตามรอยจีนและในที่สุดก็อาจจะรวยไม่แพ้ไทยถ้าเขาปรับตัวเองเป็นประชาธิปไตยแบบสากลมากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากสองประเทศนี้แล้ว ผมคิดว่าเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้จะเป็นตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดว่าประชาธิปไตยนั้นเหนือกว่าระบบเผด็จการอย่างชัดเจนเพราะสองประเทศนี้เริ่มต้นพร้อมกันเมื่อประมาณ 70 ปีก่อนที่ทุกอย่างเหมือนกันทั้งเรื่องของคุณภาพของคนและทรัพยากรของประเทศ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เกาหลีใต้ที่เป็นประเทศประชาธิปไตยแม้ว่าในช่วงแรก ๆ ยังมีปักจุงฮีเป็นเผด็จการอยู่ในระดับหนึ่ง แต่หลังจากการรัฐประหารครั้งสุดท้ายของนายพลชุนดูวานในปี 1980 หรือเกือบ 40 ปีมาแล้วและการกลับมาสู่ระบบประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งประมาณ 5-6 ปีหลังจากนั้น เกาหลีใต้ก็ไม่มีรัฐประหารอีกเลย และประเทศก็เจริญขึ้นเร็วมากจนกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในปัจจุบัน ในขณะที่เกาหลีเหนือนั้นยังคงเป็นเผด็จการมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็ส่งผลให้เศรษฐกิจไม่เจริญเติบโตและระดับการพัฒนาของประเทศในปัจจุบันก็แทบจะถือว่าต่ำที่สุดในโลกประเทศหนึ่งยกเว้นในทางทหารที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยทั่วไปเลย
ถ้าประเทศไทยจะเจริญเติบโตต่อไปจนกลายเป็นประเทศ “พัฒนาแล้ว” ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ใช้ระบบประชาธิปไตยแบบสากลในการปกครองประเทศ ตัวอย่างในโลกนี้มีเต็มไปหมด ว่าที่จริงแทบจะไม่มีประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกนี้ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย คนที่คิดว่าเรามีวัฒนธรรมและขนบประเพณีเฉพาะตนเป็นเอกลักษณ์และเราไม่จำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตยแบบคนอื่นนั้นผมคิดว่าควรศึกษาประเทศอื่น ๆ ที่ก็เคยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นเดียวกัน สำหรับผมแล้ว ระบอบประชาธิปไตยที่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นเรื่อง “สากล” คล้าย ๆ กับอีกหลายเรื่องเช่น การใช้สื่อสังคมดิจิตอล การดูแลสิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ อีกมาก โลกทุกวันนี้จริง ๆ แล้วมี Civilization หรืออารยะธรรม เดียว มันหมดยุคอารยะธรรมอียิปต์ อารยะธรรมจีน หรือแม้แต่อารยะธรรมตะวันตกไปแล้วไม่ต้องพูดถึงอารยะธรรมไทย เดี๋ยวนี้มีแต่ “อารยะธรรมโลก” ที่อาจจะนำโดยกูเกิล เฟซบุค อะมาซอน และไมโครซอฟท์
ข้อสรุปสุดท้ายของผมเกี่ยวกับเรื่องการเมืองก็คือ ผมจะคอยดูและวิเคราะห์ตลอดเวลาว่าพัฒนาการทางการเมืองของไทยในระยะยาวจะพัฒนาไปทางไหน ในบางครั้งผมเองก็กลัวเหมือนกันว่าระบบการปกครองของประเทศไทยอาจจะ “ถอยหลัง” ไปจากระบบประชาธิปไตยแบบสากลซึ่งจะเป็นอันตรายต่อการลงทุน—และชีวิต แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ ผมก็มักจะไม่แคร์และไม่สนใจมากนัก แต่ถ้าจะให้เข้าไปเล่นหรือเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมคงไม่ทำ ผมเองยอมรับว่าตนเองไม่ใช่ “นักสู้” ที่จะเข้าไปต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองให้เป็นอย่างที่ตนเองต้องการ แต่เป็นแค่ “นักเลือก” เวลาเขาให้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร
พอร์ตหุ้นบัฟเฟตต์ :ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พอร์ตหุ้นบัฟเฟตต์
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พอร์ตลงทุนหุ้นจดทะเบียนของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ล่าสุดที่เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้มีความน่าสนใจในแง่ที่ว่ามันอาจจะแสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญหลาย ๆ อย่าง ว่าที่จริงมันคงค่อย ๆ เปลี่ยนมาพักใหญ่แล้วเพียงแต่ว่าคนที่ติดตามอาจจะไม่ตระหนัก คนจำนวนมากยังน่าจะจำเรื่องราวต่าง ๆ ของบัฟเฟตต์จากข่าวสาร บทความ และการศึกษาเกี่ยวกับบัฟเฟตต์ที่มักใช้ข้อมูลย้อนหลังไปไกลโดยเฉพาะในช่วงที่บัฟเฟตต์ประสบความสำเร็จสูงสุดและร่ำรวยขึ้นมหาศาลจนกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกและยังรวยที่สุดอันดับ 3 ของโลกในวันนี้ แต่จากสถิติผลงานการลงทุนของบัฟเฟตต์ในช่วงอย่างน้อยประมาณ10 ปีที่ผ่านมาคือหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจของอเมริกาในปี 2009 นั้น ก็ดูเหมือนว่าผลงานของเขาจะไม่ได้โดดเด่นหรือมีความมหัศจรรย์อย่างที่เคยเป็นมาในช่วงหลายสิบปีก่อนหน้านั้น ตัวเลขผลตอบแทนที่วอเร็น บัฟเฟตต์ทำได้นั้นไม่ต่างจากผลตอบแทนของดัชนีตลาดอย่าง S&P 500 หรือ ดัชนีดาวโจนส์คือผลตอบแทนแบบทบต้นที่ประมาณ 14-15% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่หุ้นทำผลตอบแทนที่ดีมากที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้น ในขณะที่หุ้นในตลาด NASDAQ ซึ่งเป็นกิจการไฮเท็คนั้นให้ผลตอบแทนถึง 17-18%
พอร์ตหุ้นของบัฟเฟตต์ที่แสดงหุ้นตัวใหญ่ที่สุด 15 ตัวนั้น พบว่าหุ้นแอบเปิลกลายเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดจำนวนถึงกว่า4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐหรือ 1.2 ล้านล้านบาท ทั้ง ๆ ที่บัฟเฟตต์เคยมีชื่อว่าเป็นคนโลว์เท็ค โทรศัพท์มือถือก็ยังใช้ของเก่าที่ไม่ทันสมัย อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหุ้นแนวไฮเท็คอื่น ๆ นั้น บัฟเฟตต์ก็ยังหลีกเลี่ยง นักวิเคราะห์และผู้ติดตามบัฟเฟตต์คิดว่าหุ้นแอบเปิลนั้น บัฟเฟตต์ไม่ได้ซื้อเพราะมันเป็นหุ้นไฮเท็ค แต่เขาซื้อเพราะโทรศัพท์ของแอบเปิลนั้นกลายเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคโดยเฉพาะในอเมริกาและคนรวยในโลกนิยมใช้กันเพราะมันเป็นสิ่งที่เท่และพวกเขาคุ้นเคย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บริษัทแอบเปิลนั้นมีเงินสดมหาศาลที่จะใช้ในการวิจัยและต่อสู้ในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีไม่ตกยุคแน่นอน แต่ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าก็คือ หุ้นแอบเปิลนั้นมีราคาไม่แพงเลย ค่า PE นั้นเพียง 10 กว่าเท่าเท่านั้น
หุ้นขนาดใหญ่เป็นอันดับสองและอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กลายเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่ที่สุดและใหญ่มากจนน่าตกใจก็คือหุ้นของแบ้งค์อเมริกาที่มีขนาดถึงกว่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญหรือ 7 แสนล้านบาท ซึ่งก็ตามด้วยแบ้งค์อีกตัวหนึ่งที่บัฟเฟตต์ถือมานานมากคือหุ้นแบ้งค์ Wells Farco ที่มีขนาดประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญ นอกจากนั้นเขาก็ยังมีหุ้นการเงินที่ถือมานานยิ่งกว่าคือตั้งแต่เขาเพิ่งจะดังก็คือหุ้น อเมริกันเอ็กซเพรสที่เขาถืออยู่ 1.4 หมื่นล้านเหรียญ ไม่นับหุ้นสถาบันการเงินอื่น ๆ ที่เป็นหุ้นเพื่อการลงทุนหรือเน้นทางด้านหลักทรัพย์อย่างหุ้นโกลด์แมนซ้าคและเจพีมอร์แกน รวม ๆ แล้วใน 15 อันดับนั้น เป็นหุ้นเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนถึง 7 บริษัท คิดเป็นมูลค่าหุ้นรวมกันถึงกว่า 7 หมื่น 6 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท
เหตุผลที่หุ้นในพอร์ตของบัฟเฟตต์เต็มไปด้วยหุ้นการเงินนั้น ผมคิดว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่บริษัทเหล่านั้นมักจะเคยมีปัญหาที่เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจ ราคาหุ้นตกลงมามโหฬารและต้องการคนเข้ามา “กู้” โดยการเข้ามาซื้อหุ้นหรือหุ้นกู้ที่สามารถแปลงเป็นหุ้นสามัญได้ ซึ่งหนึ่งในคนที่มักจะมีเงินสดมากพอในยามนั้นก็คือบัฟเฟตต์ ซึ่งเขาจะเข้ามากู้กิจการโดยการอัดฉีดเงินเข้าไปและทำกำไรได้มากมายเมื่อกิจการฟื้น อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ หุ้นสถาบันการเงินนั้นมักจะมีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง การที่จะเข้าไปซื้อหุ้นในจำนวนและปริมาณที่มากซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบัฟเฟตต์ที่มีเงินสดเพิ่มขึ้นมากทุกปีจากการรับปันผลจากบริษัทในอาณาจักรเบิร์กไชร์ก็เป็นไปได้ไม่ยาก และสุดท้ายก็คือ หุ้นสถาบันการเงินนั้น มักจะเข้าเกณฑ์การลงทุนของบัฟเฟตต์ที่ว่ากิจการจะต้องมีความมั่นคงเข้าใจง่ายและสามารถคาดการณ์ได้แม่นยำพอสมควร ยังสามารถที่จะเติบโตไปได้ในระยะยาว การที่จะถูกทำลายด้วยเทคโนโลยีก็ยังยาก ว่าที่จริงสถาบันการเงินอาจจะได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีด้วยซ้ำ และราคาหุ้นสถาบันการเงินเองนั้นก็มักจะไม่แพง ทั้งหมดนั้นทำให้บัฟเฟตต์ชอบลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้
หุ้นตัวใหญ่มากอีกตัวหนึ่งที่บัฟเฟตต์ถือมานานมากและเป็นเคยเป็นหุ้น “สุดรัก” ของบัฟเฟตต์ก็คือหุ้นแนว “ผู้บริโภค” ที่ในสมัยก่อนเป็นหุ้นที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ลงทุนมากมายนั่นคือ หุ้นโค๊ก ซึ่งเขาถืออยู่ประมาณ 1.9 หมื่นล้านเหรียญหรือเกือบ 6 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม หุ้น Consumer ซึ่งเคยเป็น Signature หรือหุ้นที่เป็น “ยี่ห้อ” ของบัฟเฟตต์นั้น ในระยะหลังๆ ดูเหมือนว่าจะลดลงมาก ตัวสุดท้ายน่าจะเป็นหุ้นซอสมะเขือเทศไฮน์ที่เขาลงทุนไปมากแต่ดูเหมือนว่าหลัง ๆ กลายเป็นหุ้นผู้บริโภคที่เป็นหุ้นที่อิงเทคโนโลยีอย่างหุ้นแอบเปิลมากกว่า
รวมแล้วหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 15 อันดับนั้น มีมูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านเหรียญคิดเป็น 87% ของพอร์ตหุ้นทั้งหมดที่ประมาณ 1.7 แสนล้านเหรียญหรือ 5.4 ล้าน ๆ บาท นี่ก็แสดงให้เห็นถึงพอร์ตที่ Focus หรือเน้นหนักมากในหุ้นไม่กี่ตัวของบัฟเฟตต์ ว่าที่จริงหุ้นตัวใหญ่ที่สุดทั้ง 15 ตัวดังกล่าวนั้น จำนวนไม่น้อยต้องถือว่าบัฟเฟตต์เป็น “เจ้าของ” เพราะเขาถือหุ้นหลาย ๆ เปอร์เซ็นต์ ส่วนมากถึงเกือบ 10% ของบริษัท และกลายเป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้น เขาสามารถที่จะมีบทบาทหรือสั่งการให้ผู้บริหารดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น เช่น การซื้อหุ้นคืน ซึ่งมักจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้นได้
นอกจากหุ้นที่ซื้อขายในตลาดแล้ว พอร์ตหุ้นของบริษัทที่ไม่อยู่ในตลาดของบัฟเฟตต์เองนั้นก็ใหญ่โตไม่แพ้หุ้นในตลาดเช่นกัน โดยหุ้นเหล่านี้ วอเร็น บัฟเฟตต์มักจะถือหุ้นใหญ่เกิน 50% จำนวนมากถือหุ้น 100% เป็นเจ้าของคนเดียว หุ้นที่มีขนาดใหญ่มากที่อยู่ในพอร์ตนี้บางบริษัทก็เคยเป็นบริษัทจดทะเบียน แต่เมื่อบัฟเฟตต์เทคโอเวอร์มา เขาก็ถอนตัวออกจากตลาด ตัวอย่างหุ้นที่มีมากก็คือหุ้นพลังงานและหุ้นสาธารณูปโภคเช่น รถไฟ เป็นต้น ในขณะที่หุ้นตัวเล็กก็มีหลากหลายนับรวมกันน่าจะเกิน 100 บริษัท บัฟเฟตต์เองบอกว่าเขาชอบเป็นเจ้าของ 100% ในหุ้นทุกตัวที่เขาซื้อ แม้แต่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นถ้าเขาสามารถเป็นเจ้าของ 100% เขาก็อยากทำ เพราะเขา “ไม่เล่นหุ้น” ซื้อแล้วมักจะไม่ค่อยขาย หรือไม่ก็เก็บไว้นาน จะขายก็เมื่อพื้นฐานของหุ้นเปลี่ยนไปจริง ๆ เท่านั้น
หุ้นในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคเองนั้น ดูไปแล้วก็ออกนอกแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ที่เรารู้จักและเป็น Signature เดิมของบัฟเฟตต์ แต่ก็คล้าย ๆ กับสถาบันการเงิน มันสามารถลงทุนด้วยเงินจำนวนมากได้ มันมีความสม่ำเสมอของรายได้และผลประกอบการ สามารถคาดการณ์ได้ใกล้เคียงพอสมควร อนาคตของธุรกิจเองก็ยังเติบโตไปได้ในระยะยาว การถูกDisrupt หรือทำลายด้วยเทคโนโลยีใหม่ก็ยังทำได้ยาก และสุดท้ายที่สำคัญก็คือ ราคาหุ้นไม่แพง
ข้อสรุปของผมก็คือ พอร์ตของบัฟเฟตต์บอกเราว่า การหาซุปเปอร์สต็อกแบบเดิมที่วอเร็น บัฟเฟตต์เคยทำสมัยที่พอร์ตยังมีขนาดเล็กนั้น ทำไม่ได้แล้ว เขาต้องลงทุนด้วยเม็ดเงินขนาดมหึมาในหุ้นแต่ละตัว การหาหุ้นที่เข้าข่ายนั้นทำได้ยากมาก เพราะหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณสมบัติครบรวมถึงยังโตได้นั้นดูเหมือนว่าจะต้องเป็นกิจการใน New หรือ Digital Economy ซึ่งคาดการณ์ยากโดยเฉพาะตัววอเร็น บัฟเฟตต์เองที่ไม่คุ้นเคยกับมันมากนัก ดังนั้น สิ่งที่เขาทำในช่วงหลัง ๆ จึงเป็นเรื่องของการซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่สามารถประเมินมูลค่าที่เหมาะสมและยังไม่ถูกทำลายด้วยเทคโนโลยีใหม่ โดยที่ราคาซื้อนั้นยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงในระดับหนึ่ง ด้วยแนวทางแบบนี้ การที่จะสามารถทำผลตอบแทนเหนือตลาดมาก ๆ ก็เป็นไปได้ยาก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะสำหรับบัฟเฟตต์แล้ว ต่อจากนี้จนถึงวันที่เขาตาย ถ้าเขาสามารถรักษาผลตอบแทนที่พอ ๆ กับตลาดได้ เขาก็น่าจะได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นสุดยอดนักลงทุนที่อาจจะไม่มีใครสามารถลบสถิติได้ อานิสงค์จากผลงานการลงทุนที่ชนะตลาด 10% ต่อปีแบบทบต้นติดต่อกันยาวนานกว่า 50 ปี
ความเสี่ยงของการถูกโกงในตลาดหุ้น :ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ความเสี่ยงของการถูกโกงในตลาดหุ้น
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การศึกษาเรื่องของการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น สิ่งหนึ่งที่มักไม่ได้มีการพูดถึงก็คือ “การโกง” หรือการ “ถูกโกง” ไม่ต้องพูดถึงว่าจะวิเคราะห์หุ้นที่มีแนวโน้มจะโกงคนที่เล่นหรือลงทุนอย่างไร ประเด็นก็คือ การพูดว่าหุ้นตัวไหนมีโอกาสที่จะมีการฉ้อฉลมากน้อยแค่ไหนนั้นเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ขืนทำก็อาจจะถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ใครจะบอกได้ว่าหุ้นตัวนั้นจะมีโอกาสที่จะมีการโกงกี่เปอร์เซ็นต์? ดังนั้น ความเสี่ยงที่หุ้นจะมีการโกงจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีคนคิดหรือพูดถึง การวิเคราะห์ทุกบริษัทหรือทุกหุ้นนั้นตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าไม่มีการฉ้อฉลภายในบริษัทหรือการแต่งบัญชีหลอกลวง ราคาหุ้นที่เหมาะสมก็อิงอยู่กับตัวเลขทางบัญชีที่ปรากฏหรือมีการประกาศออกมาโดยบริษัท แต่ถ้าความเป็นจริงก็คือ มีการโกงหรือมีการตกแต่งตัวเลขบัญชีภายในบริษัท ราคาหุ้นที่เหมาะสมก็อาจจะลดลงมาก คนที่เข้าไปซื้อหุ้นลงทุนก็อาจจะเสียหายหนัก ดังนั้น โดยหลักทางการเงินและการวิเคราะห์หุ้นที่ถูกต้อง เมื่อมี “ความเสี่ยง” ว่าอาจจะมีการโกง สิ่งที่นักวิเคราะห์ต้องทำก็คือ เขาจะต้อง Discount หรือลดมูลค่าที่แท้จริงหรือมูลค่าพื้นฐานลง เช่น วิเคราะห์ตามตัวเลขแล้วราคาหุ้นที่เหมาะสมควรจะเท่ากับ 100 บาท แต่เนื่องจากความเสี่ยงที่จะมีการโกงสูง ราคาอาจจะต้องถูกลดทอนลง 30% เหลือเพียง 70 บาท แต่ถ้าความเสี่ยงน้อยมาก ราคาอาจจะลดลงเหลือ 98 บาท หรือไม่ลดเลย เป็นต้น
หน้าที่ของ VI ก็คือ นอกจากการวิเคราะห์ตามปกติแล้ว เราจะต้องคิดถึงเรื่องที่ว่าบริษัทอาจจะมีการโกงหรือฉ้อฉลซึ่งจะทำให้มูลค่าที่เหมาะสมเปลี่ยนแปลงไปได้ บางครั้งเปลี่ยนแปลงไปมาก แน่นอนว่าเราไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดโดยเฉพาะในกรณีที่เรื่องยังไม่ถูกเปิดโปงออกมา แต่การประเมิน “โอกาส” ที่จะมีการโกงว่าสูงหรือต่ำแค่ไหนจะช่วยให้เราลงทุนในหุ้นอย่างปลอดภัยขึ้น และต่อไปนี้คือหุ้นที่เราจะต้องคำนึงถึงเรื่องของการโกงมากเป็นพิเศษ บางเรื่องเป็นลักษณะของธุรกิจเองที่เอื้ออำนวยให้มีโอกาสโกงมากกว่าธุรกิจอื่น บางเรื่องก็เป็นพฤติกรรมของการบริหารงานของบริษัทหรือการซื้อขายหุ้นของเจ้าของที่อาจทำให้เกิดโอกาสในการโกงโดยที่ไม่สามารถจับได้และดังนั้น เขาก็อาจจะมีโอกาสที่จะโกงมากขึ้น
ธุรกิจ “สีเทา” หรือธุรกิจที่ไม่ใคร่จะ “โปร่งใส” ในเรื่องของการดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น การประมูลงานของรัฐเช่นการรับเหมาก่อสร้างและการจัดซื้อต่าง ๆ นั้น เป็นที่รู้กันว่าจะต้องมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นหรือรายจ่ายต่าง ๆ ที่ไม่สามารถลงบัญชีตามปกติได้ ดังนั้น จึงต้องมีการดึงเงินออกมาจำนวนหนึ่งที่จะถูกนำไปจ่าย ประเด็นก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าเงินนั้นที่จริงแล้วควรเป็นเท่าไร อาจจะเป็นไปได้ว่าผู้บริหารหรือเจ้าของอาจจะแบ่งเงินบางส่วนเข้ากระเป๋าตนเองได้โดยที่ไม่มีใครจับได้ ดังนั้น หุ้นลักษณะนี้จึงต้องมีการ Discount หรือลดมูลค่าลงถ้าเราจะลงทุน
ธุรกิจที่มีการซื้อขายกิจการหรือทรัพย์สินให้กับคนอื่นที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือบริษัทเอกชนที่ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะนั้น มีโอกาสที่จะเกิดการโกงหรือฉ้อฉลมากขึ้นโดยเฉพาะที่ทำกันในต่างประเทศ การฉ้อฉลในที่นี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “เงินทอน” นั่นคือ ถ้าบริษัทซื้อ ผู้บริหารอาจจะตกลงซื้อในราคาที่เป็นทางการที่แพงกว่าปกติ เช่น จ่ายเงินให้คนขาย100 ล้านบาท แต่บอกให้คนขาย “ทอนเงิน” คืนมาให้ 20 ล้านบาทโดยที่เงินทอนนี้เข้ากระเป๋าผู้บริหาร เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าขาย ก็ขายในราคาถูกกว่าปกติ ส่วนต่างนั้นผู้ซื้อต้องจ่ายให้กับผู้บริหาร เป็นต้น ทั้งหมดนั้นทำได้เพราะคนที่ขายหรือซื้อเป็นบุคคลธรรมดาหรือบริษัทเอกชนที่ไม่ต้องรายงานงบบัญชีกับใครและก็ไม่แคร์ว่าเราจะทำอะไรถูกต้องหรือไม่ เขาได้ขายหรือซื้อทรัพย์สินในราคาที่เขาพอใจก็พอแล้ว ดังนั้น เวลาเราเจอบริษัทที่มีกิจกรรมดังกล่าวมาก ๆ เราก็ต้องพิจารณาว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่อาจจะมีการโกงเกิดขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าทุกบริษัทจะต้องมีการโกง แต่เราจะต้องวิเคราะห์ว่าบริษัทไหนน่าสงสัย และถ้าพบเราก็ต้องระวังและต้อง Discount มูลค่าหุ้นหรือไม่ก็อาจจะต้องหลีกเลี่ยงไม่เกี่ยวข้องกับหุ้นตัวนั้น
ธุรกิจบางกลุ่มนั้น มีความเสี่ยงที่จะถูก “แต่งบัญชี” ได้ง่ายกว่าธุรกิจอื่น การแต่งบัญชีนั้นมักจะทำเพื่อให้บริษัทมีกำไรสูงขึ้น เพื่อที่จะทำให้ราคาหุ้นในตลาดสูงขึ้น เพื่อที่เจ้าของหรือผู้บริหารจะได้ขายหุ้นทำกำไรงดงาม การแต่งบัญชีนั้นจะง่ายขึ้นถ้าธุรกิจขายสินค้าที่มีมาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายสูง วิธีก็อาจจะเป็นว่าบริษัทขายสินค้าให้กับ “นอมินี” หรือตัวแทนที่ไม่เปิดเผย ซึ่งจะสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากมาร์จินสูง ส่งผลให้บริษัทมีกำไรโตขึ้นมากโดยที่ผู้บริหารหรือเจ้าของใช้เงินไม่มากนัก และเงินที่ใช้ไปนั้นเขาก็สามารถเรียกคืนมาได้จากการขายหุ้นที่มีราคาสูงขึ้นมาก กรณีแบบนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อราคาหุ้นของบริษัทแพงมาก ๆ จนคุ้มที่จะทำและผู้บริหารหรือเจ้าของสามารถขายหุ้นจำนวนมากออกมาได้
การแต่งบัญชีเพื่อทำให้ดูมีกำไรสูงขึ้นกว่าปกตินั้น ยังสามารถทำได้ง่ายกับธุรกิจประเภท “บินก่อนผ่อนทีหลัง” เช่น การปล่อยกู้ที่รายได้จะถูกรับรู้ทันทีเมื่อปล่อยเงินออกไปแต่ต้นทุนในการปล่อยกู้บางรายการที่สำคัญเช่น สำรองหนี้เสียนั้นสามารถเลื่อนออกไปในอนาคตได้นานพอสมควรด้วยเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงหลักเกณฑ์การตั้งสำรองและวิธีปรับหนี้ให้กับลูกค้าที่กำลังมีปัญหา การทำแบบนี้ก็จะทำให้กำไรของธุรกิจจะเพิ่มขึ้นทันทีแต่ในภายหลังกำไรอาจจะลดลงมากเนื่องจากต้นทุนสำรองหนี้เสียจะเกิดขึ้นภายหลังเมื่อลูกค้ากลายเป็นหนี้เสียที่แก้ไม่ได้แล้ว ดังนั้น ในการลงทุนหุ้นที่พบว่าอาจจะมีความเสี่ยงดังกล่าว สิ่งที่เราควรจะทำก็คือการ Discount มูลค่าหุ้นลง ค่า PE ของหุ้นจะต้องต่ำกว่าหุ้นในธุรกิจคล้ายกันแต่ความเสี่ยงในการแต่งบัญชีน้อยกว่ามาก
บริษัทจดทะเบียนบางแห่งที่มีตัวเลขผลประกอบการที่ดูดีมาก ๆ บางทีเป็นเวลาหลายปีโดยที่เรามองหาเหตุผลไม่ค่อยได้ เช่น เป็นบริษัทที่อยู่ในธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ที่มักมีความผันผวนของกิจการแต่บริษัทนั้นกลับมีผลประกอบการที่ดีและผันผวนน้อยเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่บางครั้งเป็นบริษัทที่ดูเด่นกว่าด้วย หรือบางบริษัทขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มักมีการแข่งขันสูงในตลาดแต่บริษัทมีกำไรต่อยอดขายสูงกว่าคู่แข่งมากแบบ “ไม่น่าเชื่อ” ในกรณีแบบนี้เราก็ต้องดูว่ามันผิดปกติหรือไม่ เราต้องหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันจึงเก่งหรือเด่นกว่าคู่แข่งที่มีความสามารถในการแข่งขันพอ ๆ กัน นอกจากนั้นคงจะต้องดูต่อว่ามันจะยังดีต่อไปหรือไม่ ถ้าเราวิเคราะห์ดูแล้วก็ยังหาเหตุผลไม่ค่อยได้ มันก็อาจจะมีอีกเหตุผลหนึ่งนั่นก็คือ มันอาจจะเป็นเรื่องของการแต่งบัญชีหรือการโกง ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยเราก็ควรจะต้องเผื่อความปลอดภัยหรือมี Margin Of Safety ถ้าจะลงทุนซื้อหุ้นตัวนั้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ อย่าให้ค่า PE ของหุ้นสูงเกินไป
บริษัทจดทะเบียนใหม่ ๆ ในตลาดหุ้นนั้น บ่อยครั้งเราไม่ค่อยรู้จักผู้บริหารว่ามีพฤติกรรมแบบไหน มีบรรษัทภิบาลดีแค่ไหน ดังนั้น โดยเปรียบเทียบแล้วเราควรจะต้องพิจารณาว่าความเสี่ยงของการโกงจะต้องสูงกว่าบริษัทที่มีประวัติที่ดีในตลาดหุ้นมายาวนานกว่ามาก โดยทั่วไปแล้ว เวลาผมพิจารณาเรื่องความเสี่ยงในการโกง ผมมักจะไม่ค่อยชอบผู้บริหารหรือเจ้าของหุ้นที่ “คุยโม้” มากเกินไป ผู้บริหารที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับหุ้นหรือราคาหุ้นของบริษัทมากเกินไป การซื้อขายหุ้นของตนเองบ่อยและในจำนวนมากนั้นผมคิดว่ามันน่าจะเพิ่มความเสี่ยงของการโกงหรือการฉ้อฉลขึ้นและเราอาจจะต้อง Discount มูลค่าหุ้นลงมามากขึ้นเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่ไม่มีพฤติกรรมแบบนั้นหรือมีน้อยกว่า
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกบริษัทที่ทำสิ่งต่าง ๆ ที่ผมกล่าวจะต้องมีโอกาสที่จะมีการโกงสูงกว่าบริษัทอื่น ๆ สิ่งที่ผมต้องการสื่อก็คือ เราควรจะต้องระวังมากขึ้นและรอบคอบมากขึ้นในการวิเคราะห์บริษัท เพราะประวัติศาสตร์ทั้งในตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศนั้นบอกให้เรารู้ว่า ความเสี่ยงในเรื่องของการโกงนั้นมันเป็นความจริงและเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ความเสียหายมักจะรุนแรงมาก หลาย ๆ ครั้งหุ้นกลายเป็นหายนะ และแม้กระนั้นส่วนมากแล้วก็ยังไม่สามารถจับคนโกงได้ด้วยซ้ำและทำให้ไม่รู้ว่ามีการโกงจริงไหม เรารู้แต่ว่าผลของมันแทบไม่ต่างกัน
อยู่แล้วรวย :ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อยู่แล้วรวย
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเป็นคนที่ชอบอ่าน Quote หรือคำพูดของคนดัง ๆ ของโลกทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพราะคำพูดเหล่านั้นมักจะมีความหมายที่ดีและให้ข้อคิดที่เราสามารถนำไปใช้ได้ นอกจากคำพูดของคนดังแล้ว ผมก็ยังชอบคำคมที่มีคนเอามาเขียนแสดงให้คนอ่านโดยไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนพูดเพราะมันอาจจะไม่โดดเด่นพอและจริง ๆ ก็ไม่มีคนรู้ว่าใครเป็นคนพูดคนแรก คำเหล่านั้นมักถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายรวมถึงที่ติดไว้ท้ายรถบรรทุกและในบ้าน คำ ๆ หนึ่งที่ผมเจออยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักก็คือคำว่า “บ้านนี้ดี อยู่แล้วรวย” เพราะผมคิดว่านี่ก็เขียนไปเพื่อที่จะทำให้คนอยู่สบายใจโดยที่ความเป็นจริงนั้นคงไม่ได้เกี่ยวกับป้ายหรือคำพูดนี้ เพราะคนที่อยู่บ้านนี้ถ้าไม่ได้ทำงานหรือลงทุนอย่างฉลาดและขยันขันแข็งเขาก็คงไม่รวยเพราะอาศัยอยู่บ้านหลังนี้ มันไม่เกี่ยวกัน
แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจก็คือคำว่า “อยู่แล้วรวย” โดยที่ไม่ต้องพูดถึงบ้าน คำว่า “อยู่” ในที่นี้ก็คือ “การมีชีวิตอยู่” เหตุผลที่ผมคิดว่าถ้าเรายังมีชีวิตอยู่แล้วละก็ เราก็รวย เพราะในปัจจัยสำคัญของการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งในการลงทุนก็คือ “ระยะเวลาของการลงทุน” โดยที่สูตรของความมั่งคั่งก็คือ ความมั่งคั่งนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือหนึ่ง เงินต้นหรือเงินเริ่มต้น สอง ผลตอบแทนจากการลงทุนแบบทบต้นต่อปี และสามก็คือ ระยะเวลาการลงทุนคิดเป็นปี ถ้าปัจจัยทั้งสามนั้นมีมาก คน ๆ นั้นก็จะรวย แต่ถ้ามีน้อย คน ๆ นั้นก็จน ซึ่งผมมักจะเปรียบปัจจัย 3 ประการนั้นว่าเป็น แก้ว 3 ดวงหรือแก้ว 3 ประการของการลงทุน โดยที่ปัจจัยแต่ละอย่างนั้นจะมีมากหรือน้อยบางเรื่องก็ขึ้นอยู่กับ “ดวง” หรือ “โชคชะตา” ด้วย แต่ทุกดวงหรือทุกเรื่องนั้นก็ต้องอาศัยความพยายามของเราที่จะทำให้มันเพิ่มขึ้น
การเพิ่มขึ้นของ “เงินต้น” ในการลงทุนนั้น บ่อยครั้งขึ้นอยู่กับดวงไม่น้อย เหตุเพราะว่าคนจำนวนไม่น้อยมีครอบครัวหรือพ่อแม่ที่ร่ำรวย หรือบางคนก็โชคดีถูกรางวัลใหญ่หรือได้รับมรดก หรือที่เกิดขึ้นบ่อยกว่าก็คือ การได้แต่งงานกับคนรวยหรือเศรษฐี แบบนี้ก็อาจจะทำให้รวยได้โดยไม่ต้องทำอย่างอื่น แต่หากว่าเราไม่โชคดีแบบนั้น วิธีการที่จะเพิ่มเงินต้นมีทางเดียวก็คือการทำงานอย่างฉลาด ทำงานหนัก และก็อดออมให้มากอย่างน้อยที่สุดก็ต้อง 15% ของรายได้ขึ้นไป ในส่วนของการลงทุนที่จะให้ได้ผลตอบแทนทบต้นที่ดีนั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคแต่ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถและความพยายามของเรา รวมถึงความเสี่ยงที่เราจะต้องกล้ารับด้วย เพราะถ้าเราไม่รับความเสี่ยงเลยหรือรับได้น้อยมาก การที่เราจะมีความมั่งคั่งหรือมีเงินพอที่จะเกษียณอายุได้อย่างมีความสุขเพราะมีเงินดูแลตัวเองก็เป็นไปได้ยาก
ในเรื่องของการลงทุนนั้น มีหลายแนวทางที่จะทำ ถ้าต้องการความปลอดภัยสูงไม่อยากรับความเสี่ยงเลย เช่นเงินออมส่วนใหญ่ฝากอยู่ในสถาบันการเงินหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาล ผลตอบแทนต่อปีก็จะต่ำมาก ถ้าเราต้องการสร้างความมั่งคั่งให้สูงขึ้นก็อาจจะต้องทำงานเรื่องการลงทุนหนักขึ้น กล้ารับความเสี่ยงมากขึ้น เช่น ลงทุนในหุ้นมากขึ้น โชคดีที่ว่าเราสามารถที่จะลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีตลาดหุ้นซึ่งจะทำให้เราไม่ต้องใช้ความสามารถในการเลือกหุ้นเองและในระยะยาวก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศที่ปกครองในระบบทุนนิยมและมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การลงทุนในตลาดหุ้นก็เป็นเรื่องที่ต้องออกแรง ต้องใช้ความพยายามโดยเฉพาะถ้าเราเลือกหุ้นลงทุนเอง และทั้งหมดนั้นก็เป็นความเครียดที่เราจะต้องรับ
วิธีเพิ่มเงินหรือความมั่งคั่งข้อสุดท้ายก็คือการ “เพิ่มเวลาในการลงทุน” นั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดและน่าจะมีความเครียดน้อยที่สุด นอกจากนั้นมันแทบไม่ต้องอาศัยความสามารถอะไรเป็นพิเศษใคร ๆ ก็สามารถทำได้ แต่คนกลับสนใจหรือใช้มันน้อยมาก เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าผลลัพธ์ของมันจะมาอย่างช้า ๆ บ่อยครั้งเราแทบไม่รู้ตัว เรามักจะสนใจอะไรต่าง ๆ ในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปีหรือน้อยกว่านั้น การบอกว่าเงินหรือพอร์ตการลงทุนจะโตเร็วขึ้นแบบ “ทวีคูณ” และใหญ่ขึ้นมากถ้าเราลงทุนแบบทบต้นโดยไม่ถอนเงินออกมาใช้เลยเป็นเวลาซัก 10 ปี 20 ปีหรือ 30 ปีขึ้นไปนั้น มันทำให้คนที่คิดจะทำ “หมดไฟ” หรือหมดความตื่นเต้นตั้งแต่ปีแรก ๆ หรือบางทีตั้งแต่รับรู้หรือได้รับฟังมา คนมักจะคิดว่ามัน “ยาวเกินไป ยังไม่อยากคิด” ตอนนี้ขอทำเงินโดยการหาหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” หรือไม่ก็เล่นหุ้นที่กำลังร้อนแรงซึ่งอาจทำกำไรได้ปีละ 100% ก่อน
ผมเองทุ่มเทเวลาศึกษา ทำงานหนักเกี่ยวกับการลงทุน รับความเครียดมานาน และก็ “ประสบความสำเร็จ” ในการลงทุน ตลอดเวลากว่า 20 ปี นั้นผลตอบแทนแบบทบต้นที่ได้รับสูงมากจนแทบไม่น่าเชื่อ ความสำเร็จที่ได้รับนั้นผมคิดว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะตนเอง “โชคดี” เพราะตลาดหุ้นในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นดีมาก และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หุ้นที่ลงทุนซึ่งก็คือหุ้น “VI” ขนาดเล็กถึงกลางนั้นมีการเติบโตขึ้นมหาศาลจนกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่หรือขนาดยักษ์ของตลาด ทำให้พอร์ตเติบโตขึ้นมโหฬารจนเปลี่ยนชีวิตตนเองได้ จริงอยู่ ความสามารถในการเลือกหุ้นลงทุนก็ส่วนอยู่พอสมควร แต่สิ่งที่สำคัญก็คือการที่เรา “ยืนหยัด” ลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นตลอดเวลากว่า 20 ปีโดยแทบไม่ได้ถอยออกจากตลาดเลยแม้ในยามที่ตลาดเลวร้ายบางครั้งเป็นวิกฤติ และทำให้ข้อสรุปถึงความสำเร็จของผมที่ผ่านมานั้น นอกจากเรื่องของการที่สามารถเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนแบบทบต้นแล้วก็คือการเพิ่มขึ้นของเวลาการลงทุน
ถึงวันนี้เองผมคิดว่าการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นสูงเหมือนเดิมนั้นน่าจะเป็นไปได้ยากมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เราคงไม่โชคดีซ้ำสองที่จะมีตลาดหุ้นที่บูมหรือเป็นกระทิงมายาวนานเป็นสิบ ๆ ปี เราคงไม่มี “หุ้น VI” ราคาถูกมากที่คนไม่รู้จักและไม่สนใจที่เปิดโอกาสให้เราลงทุนในราคาถูกเหลือเชื่อและให้ผลตอบแทนสูงลิ่วติดต่อกันเป็นสิบ ๆ ปี ปัจจัยของความมั่งคั่งข้อสองหรือดวงแก้วดวงที่สองนั้นดูเหมือนเราจะเร่งให้สว่างยากขึ้นมาก ปัจจัยข้อที่หนึ่งหรือดวงแก้วดวงที่หนึ่งคือเงินต้นนั้น มันหยุดไปนานมากแล้วหลังจากที่ผมเลิกทำงานประจำและแทบไม่มีรายได้อะไรอย่างอื่น ดังนั้น สิ่งที่ผมยังเหลืออยู่จริง ๆ ที่ผมจะสามารถใช้มันได้โดยที่แทบไม่ต้องอาศัยความพยายามหรือการทำงานหนักก็คือเวลาของการลงทุน พูดง่าย ๆ สิ่งที่ต้องทำก็คือ พยายาม “อยู่” ต่อไป ถ้าถึงปีหน้าผมยังมีชีวิตอยู่ ผมก็อาจจะรวยขึ้นไปอีกหลาย ๆ ล้านบาท ไม่ต้องพยายามไปทำงานหารายได้อื่น ไม่ต้องพยายามไปหาหุ้นลงทุนที่เหนื่อยยาก ไม่ต้องเครียด
วิธีการเพิ่มเวลาของการลงทุนนั้นมีไม่กี่อย่างและเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก ข้อแรก เราต้องเริ่มลงทุนตั้งแต่วันแรกที่มี “เงินตั้งต้น” ที่มักจะมาจากการทำงานและออมไว้ ข้อสอง ต้องลงทุนตลอดเวลาไม่หนีจากตลาดไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร หุ้นจะขึ้นหรือลง หุ้นจะบูมหนักเป็นกระทิงหรือตกหนักเป็นวิกฤติ เราก็ต้องอยู่กับตลาดหุ้น ข้อสาม ยืดเวลาของการลงทุนโดยการยืดอายุขัยของเรา ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือ รักษาสุขภาพให้ดีที่สุดโดยการออกกำลัง กินอาหารที่ดี อยู่ในบรรยากาศที่บริสุทธิ์ และลดความเครียดในชีวิต ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากและเราไม่ต้องมีความสามารถอะไรเป็นพิเศษเพียงแต่ต้องอาศัยวินัยที่มั่นคง
สำหรับคนที่มีความทะเยอทะยานอยากรวยหรือมีความมั่งคั่งหรือมั่นคงในชีวิตทั่วไปแล้ว ผมคิดว่าพวกเขาต่างก็พยายามเร่งหารายได้จากการทำงานและออมเงินในสัดส่วนที่มากพร้อมกับการลงทุนอย่างทุ่มเทเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม ผมเองคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีแต่เราก็ไม่จำเป็นต้อง “เร่ง” ทำมากเกินไป เหตุผลเป็นเพราะว่ามันเป็นกิจกรรมที่มี “ต้นทุน” สูง เราอาจจะต้องเสี่ยงมากกว่าปกติและชีวิตก็อาจจะเครียดเกินไป การใช้ปัจจัยข้อที่สามคือเพิ่มเวลาหรือใช้เวลาในการลงทุนให้ยาวขึ้นและยาวที่สุดนั้นจะสามารถทำให้เราไปถึงที่หมายได้เช่นเดียวกันโดยที่เราไม่ต้องเสี่ยงและเคร่งเครียดมากเกินไปจะดีกว่า ผมเองเคยแต่คิดว่า “สู้แล้วรวย” มานานมาก แต่หลังจากกลายเป็นนักลงทุน ผมกลับชอบ “อยู่แล้วรวย” มากกว่า
บทเรียนที่ไม่จำ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
บทเรียนที่ไม่จำ
โลกในมุมมองของ Value Investor
2 กุมภาพันธ์ 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
“Insanity is doing the same thing over and over again and expecting different results” นั่นเป็นคำพูดที่คนชอบอ้างว่าเป็นของอัลเบิร์ท ไอสไตน์ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน ความหมายก็คือ “เป็นเรื่องไร้เหตุผลมากที่เราจะทำสิ่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าและหวังว่ามันจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปจากเดิม” ถ้าจะอธิบายเพิ่มเติมก็คือ ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ใหม่ คุณก็ต้องทำแบบใหม่ ทำแบบเดิมก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดิม อย่าไปหวังว่ามันจะได้ผลลัพธ์ใหม่ ในทางวิทยาศาสตร์นั้น นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในทางสังคมศาสตร์หรือในทางเศรษฐศาสตร์แล้วมันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ บางครั้งการทำแบบเดิมแต่อาจจะได้ผลลัพธ์ใหม่ เช่น เคยเล่นหุ้นสั้น ๆ รายวันแบบเก็งกำไรบางทีหรือบางช่วงก็ขาดทุน แต่บางครั้งหรือบางช่วงก็กำไร อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวถ้าเราทำซ้ำ ๆ สุดท้ายเราก็จะต้องขาดทุน คำถามก็คือ ทำไมนักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นก็ยังชอบเล่นเก็งกำไรแบบสั้น ๆ วันต่อวัน? เล่นมาแล้วเป็นสิบ ๆ ปีก็มีและส่วนใหญ่ก็ขาดทุนมาตลอด แต่เขาก็ยังหวังว่าเขาก็จะได้กำไรจากการทำแบบเดิม
ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกับจิตวิทยาของมนุษย์ที่ส่งผลมาจากยีน เรื่องแรกก็คือ ยีนของคนเรานั้นบอกให้เรา “เก็งกำไร” เป็นยีนของ “นักเสี่ยงโชค” ทุกครั้งที่เราทำ เราจะรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนาน และถ้าทำแล้วได้กำไร เราก็จะมีความสุข รู้สึกว่า“เราชนะ” ถ้าทำแล้วขาดทุน เราก็มีความทุกข์ รู้สึกว่า “เราแพ้” แต่เราก็ไม่ได้หมดตัวหรือต้องลำบากอะไรมากนัก เราหวังว่าคราวหน้าจะต้อง “แก้มือ” เราจะต้องชนะด้วย “หุ้นตัวใหม่” และ “ภาวะตลาดหุ้นใหม่” ที่ดีขึ้น แต่วิธีการลงทุนหรือการซื้อขายหุ้นก็ยังเป็นแบบเดิมคือซื้อมาและขายไปในระยะเวลาอันสั้น ...
วิกฤติอากาศ : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor 25 มกราคม 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วิกฤติอากาศ
ผมเพิ่งกลับจากการพูดในการสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุนแบบ VI ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และก็แน่นอนว่าผมได้มีโอกาสท่องเที่ยวเล็ก ๆ น้อยในเมืองหลวงแห่งนี้ ภาพทั่ว ๆ ไปของ KL ในความรู้สึกของผมก็คือ มันเป็นเมืองที่ถูกออกแบบมาค่อนข้างดี อานิสงค์จากการที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม ถนนหนทางมีมากซึ่งทำให้รถไม่ค่อยติดยกเว้นบางจุดใจกลางเมือง ตึกรามเก่าที่มีศิลปะเฉพาะมีกระจายไปทั่วเมืองควบคู่ไปกับตึกระฟ้าที่ทันสมัย สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับประชาชนที่รัฐสร้างขึ้นเช่น “สวนนกแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ที่ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนในช่วงสั้น ๆ นั้น ดูดีและห่างจากใจกลางเมืองแค่รถวิ่ง 15 นาที ดูเหมือนว่ารอบ ๆ เมือง KL นั้น ยังมีต้นไม้เต็มไปหมดคล้าย ๆ กับ “ป่า” แต่ที่สำคัญที่ผมพยายามสังเกตหลังจากที่กรุงเทพต้องประสบกับปัญหาหมอกควันรุนแรงก็คือ บนท้องฟ้าที่ดูสดใสเป็นสีฟ้าสลับกับเมฆสีขาวที่เห็นขอบเขตอย่างชัดเจน เวลาเดินกลางแดดก็จะพบว่ามันร้อนเปรี้ยงเพราะไม่มีหมอกมาบดบัง โดยรวมแล้วผมคิดว่า KL เป็นเมืองที่น่าอยู่และสมศักดิ์ศรีของการที่จะเป็นเมืองหลวงของประเทศที่ใกล้จะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
กลับมากรุงเทพในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมาผมพบว่ากรุงเทพนั้นมีอาการที่น่าห่วงมาก อากาศน่าจะเต็มไปด้วยมลพิษเนื่องจากฝุ่นละอองจากควันของไอเสียรถยนต์และฝุ่นดินที่มาจากการก่อสร้าง การเผาขยะ และอื่น ๆ อีกมาก มองขึ้นไปบนฟ้าก็พบว่ามันขมุกมัวไม่ชัดเจน อาคารที่อยู่ไกลออกไปก็จะมองไม่ค่อยเห็น สีของฟ้านั้นเป็นสีขาวของหมอกควันพิษและมองแทบไม่เห็นเมฆ “ผู้เชี่ยวชาญ” และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องบอกว่ามันเกิดเนื่องจากอากาศไม่ถ่ายเทเพราะไม่มีลมอันเป็นผลจากฤดูกาล “รอสักระยะเมื่อลมมาแล้วมันก็จะหายไป” ตอนนี้ก็ต้องอดทนแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็พยายามแก้ปัญหาอยู่ ตัวเลขความรุนแรงของมลภาวะถูกนำมาประกาศวันต่อวัน ดูเหมือนว่ามันกำลังจะดีขึ้นแต่แล้ววันต่อมาก็อาจจะเลวลงอีก การแก้ไขปัญหาที่ทำอยู่นั้นผมดูแล้วแทบจะไม่มีผลต่อมลภาวะเพราะมันอาจจะแก้ไม่ถูกจุดจริง ๆ ผู้รู้บางคนบอกว่าตัวการสำคัญที่สุดคือรถโดยเฉพาะที่ใช้น้ำมันดีเซล แต่การแก้ปัญหาเรื่องหนึ่งก็คือจะพิจารณาให้มีน้ำมัน B20 ที่ผสมน้ำมันปาล์มมากขึ้นเป็น 20% ในน้ำมันดีเซล แต่นี่ดูเหมือนว่าจะลดควันเสียได้น้อยมากและคงใช้เวลาอีกเป็นสิบ ๆ ปีกว่าจะเห็นผล บางคนก็เสนอให้ใช้น้ำฉีดจากตึกสูงเป็นละอองเพื่อดักจับฝุ่น บางคนก็เอาน้ำมาล้างถนนเพื่อลดฝุ่น แต่ทั้งหมดนี้ผมคิดว่าคงแก้ไขหรือลดมลภาวะอะไรไม่ได้
ผมคิดว่าอากาศกรุงเทพนั้นแท้จริงแล้วอาจจะเลวร้ายมานานและสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฤดูกาลอาจจะมีส่วนบ้าง เช่นช่วง “หน้าหนาว” ซึ่งอากาศเย็นลงมาปกคลุมและไม่ค่อยมีลมจะเป็นช่วงที่อากาศแย่ที่สุด ในช่วง “หน้าร้อน” ที่มีลมพัดแรงและช่วง “หน้าฝน” ที่มีฝนตกเกือบทุกวันนั้น ภาวะอากาศเสียฝุ่นละอองอาจจะน้อยลงไปเพราะลมหอบฝุ่นไปที่อื่นและฝนตกช่วยจับฝุ่นลงมาอยู่บนพื้นดิน ที่จริงแล้วเราอาจจะดูดหรือหายใจเอาฝุ่นละอองที่อันตรายเข้าปอดมานานแล้วแต่เราไม่รู้เพราะร่างกายมักจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาทันที มันอาจใช้เวลาเป็นปี ๆ หรือหลายสิบปีก่อนที่เราจะเจ็บป่วย ดังนั้น เราไม่ตระหนักว่าเรากำลังอยู่ในอันตรายในเรื่องของสุขภาพ จนกระทั่งปีนี้ที่มลภาวะอากาศรุนแรงประกอบกับสื่อในยุคดิจิตอลที่กระจายข่าวสารไปได้แพร่หลายและเร็วมากได้ทำให้คนเริ่มรู้ถึงอันตรายของการสูดเอาอากาศที่มีฝุ่นโดยเฉพาะที่เป็นฝุ่นขนาดเล็กมากที่มองไม่เห็นและสามารถลอยตัวอยู่ในอากาศที่เรียกว่า PM2.5 การออกมาประกาศว่าระดับของ PM2.5 ในกรุงเทพในช่วงเร็ว ๆ นี้สูงเกินกว่ามาตรฐานที่ 50 หน่วยมาก เช่น บางวันเกิน 100 นั้น ได้ทำให้หลายคนรวมถึงตัวผมเองตื่นตระหนก เราจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงภาวะนี้โดยเฉพาะบ้านผมที่มีเด็กอายุยังไม่ถึง 2 ขวบซึ่งหมอบอกว่าเป็นคนที่เสี่ยงที่สุดเพราะปอดยังพัฒนาไม่เต็มที่
ในฐานะของคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายโดยเฉพาะถ้าคนที่พูดนั้นมี Conflict of Interest หรือมีแรงจูงใจที่จะทำให้คนฟังแล้วเชื่อในอีกแบบหนึ่ง นอกจากนั้น ผมก็ยังต้องระวังว่าคนที่พูดนั้นอาจจะไม่รู้จริงและอาจจะคิดว่าตนเองรู้เพราะ “ใคร ๆ เขาก็คิดแบบนั้น” ดังนั้น ผมจึงพยายามศึกษาและทดลองดูตามหลักวิทยาศาสตร์โดยมีเป้าหมายว่า เราจะหลีกเลี่ยงภาวะเลวร้ายของอากาศนี้ได้อย่างไร? ในยามที่การแก้ไขในระดับเมืองซึ่งมักต้องอาศัยพลังหรืออำนาจรัฐนั้นยังไม่เกิดผล
เรื่องแรกที่ผมคิดและทำก็คือ ความรุนแรงของมลภาวะ สิ่งนี้เป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องรู้มิฉะนั้น เราจะไม่สามารถบอกได้ว่ามันร้ายแรงแค่ไหนและเราจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงมัน สิ่งจำเป็นสำหรับเรื่องนี้ก็คือ เราต้องมีเครื่องวัดค่าคุณภาพของอากาศหรือค่า AQI แบบพกพา การดูจากเวบไซ้ต์นั้น บางทีก็มีประโยชน์น้อยและบางแห่งอาจจะเชื่อถือไม่ได้เพราะมันอยู่ห่างจากจุดที่เราอยู่และมันอาจจะติดตั้งในระดับที่ไม่ใช่ระดับที่เราหายใจ การมีเครื่องวัดที่ติดตัวหรือใกล้กับตัวเรานั้นจะทำให้เรารู้ว่าเราจะทำอย่างไร เช่น จะหนีไปให้พ้นหรือใช้หน้ากากกันฝุ่นเป็นต้น จากการวัดค่า AQI พกพาของผมนั้น ผมพบว่าทุกครั้งมีค่าสูงกว่าค่าที่อ่านจากเวบไซ้ต์มาก บางครั้งเกิน 50%
นอกจากเรื่องค่า AQI แล้ว เรามักจะได้รับคำบอกเล่าหรือคำแนะนำผิด ๆ โดยที่เราไม่รู้ ตัวอย่างเช่น ให้อยู่ในบ้านในยามที่อากาศเสียหนัก ๆ อย่าไปออกกำลังในที่โล่งหรือริมถนน ถ้าทำในสวนสาธารณะอากาศก็จะดีกว่าเพราะต้นไม้ช่วยซับอากาศเสีย ผมเองในช่วงแรก ๆ ที่เกิดข่าวเรื่องอากาศเป็นพิษ ผมได้เปลี่ยนไปออกกำลังในยิมที่เป็นร้านฟิตเนสจนกระทั่งมาค้นพบว่าอากาศในยิมก็สกปรกพอ ๆ กับข้างนอก ประเด็นของผมก็คือ หลังจากที่ผมสงสัยในทฤษฎีของผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้ทั้งหลายที่แนะนำวิธีการหลีกเลี่ยงอากาศเสีย ผมก็นำเครื่องวัดอากาศไปวัดทุกแห่งที่ผมไป ผลปรากฏว่าทุกแห่งหนนั้น คุณภาพอากาศใกล้เคียงกันหมด ทั้งในบ้าน ในสวนและบนทางเท้าริมถนน เช่นเดียวกับในช็อปปิ้งมอลหรู ว่าที่จริงถ้าเราคิดถึงหลักทางวิทยาศาสตร์ว่าอากาศนั้นไปได้ทุกแห่งและฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศก็ไปตามอากาศแล้ว ที่ไหนมีอากาศที่นั่นก็น่าจะมีฝุ่นพอ ๆ กัน
ผมค้นพบอีกว่า วิธีที่จะหลีกเลี่ยงฝุ่นก็คือ การอยู่ในบ้านหรืออาคารที่ปิดประตูหน้าต่างมิดชิดแล้วเปิดเครื่องกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กเช่น PM2.5 ได้ และถ้าเราอยู่ในที่เปิดโล่งหรือในอาคารที่คนเข้า ๆ ออก ๆ และไม่มีเครื่องกรองอากาศ วิธีที่น่าจะสามารถป้องกันฝุ่นจะอยู่ที่การสวมหน้ากากที่ป้องกันฝุ่นขนาด PM2.5 ได้เท่านั้น และต้นไม้ในสวนนั้นไม่สามารถที่จะดูดซับฝุ่นได้และอากาศในสวนเองนั้นก็น่าจะถ่ายเทหรือไหลมาจากที่อื่น ผมเองไม่รู้ว่าการสวมหน้ากากจะป้องกันฝุ่นได้ 90% ขึ้นไปตามที่มีคนพูดหรือไม่ แต่การใช้เครื่องกรองฝุ่นในบ้านที่ปิดค่อนข้างมิดชิดอย่างที่บ้านผมนั้นสามารถกรองฝุ่นได้เกือบ 100% ค่า AQI ที่วัดได้นั้นอยู่ระหว่าง 0-4 เมื่อเปิดนานพอในขณะที่อากาศข้างนอกค่า AQI อยู่ที่ 100 กว่า
ถึงวันนี้ ผมเองไม่แน่ใจว่ากรุงเทพจะมีวันที่อากาศมีคุณภาพดีจริง ๆ หรือเปล่า เราคงต้องติดตามไปเรื่อย ๆ จนครบทุกฤดูกาล ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังโดยเฉพาะในระยะยาว ในสมัยที่โลกยังไม่เจริญและประเทศผู้นำอย่างอังกฤษเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจเติบโตเร็วมากจนถึงวันหนึ่งก็พบว่าสภาพแวดล้อมทั้งน้ำและอากาศเลวร้ายมาก หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มตระหนักและแก้ไขจนกระทั่งประสบความสำเร็จและนี่ก็คือประเทศที่กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างแท้จริง ประเทศไทยเราเอง ถ้าจะนำชาติไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะต้องเป็นหนึ่งในกระบวนการนั้น
ในระหว่างที่ยังไปไม่ถึง หน้าที่ของเราก็คือ อย่าสร้างมลภาวะโดยไม่จำเป็นและปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยนี้เท่าที่จะทำได้ ผมเองคิดว่าบางทีเราอาจจะต้องทนและยอมรับการสูดอากาศที่ไม่สะอาดในช่วงที่จำเป็น แต่ในช่วงที่อยู่บ้านและตอนนอนหรือตอนออกกำลัง เราอาจจะต้องอยู่ในอากาศที่บริสุทธิเพราะมีการกรองอากาศอย่างดีเพื่อชดเชย ด้วยวิธีการนี้ ร่างกายของเราก็อาจจะรับได้ การไม่ทำอะไรเลยและ “เชื่อ” ข้อมูลของหน่วยงานโดยเฉพาะที่พยายามบอกว่า “อากาศดีแล้ว” ไม่น่าจะเป็นแนวทางที่ดีและเป็นความเสี่ยงที่คาดการณ์ไม่ได้
ความเป็นไป(ไม่)ได้ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ความเป็นไป(ไม่)ได้
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor
นักลงทุนที่ดีนั้น นอกจากวิชาความรู้ในด้านต่าง ๆ แล้ว วิชาความรู้ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของสถิติและความเป็นไปได้หรือ Probability และความผันแปรหรือ Variation หรือความคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่คาดการณ์ หลักทฤษฎีเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนนั้น ต่างก็อาศัยวิชาความรู้นี้เป็นอันมาก เหตุผลก็เพราะเรื่องของการลงทุนนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการพยากรณ์อนาคตซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงและโอกาสที่เหตุการณ์ในอนาคตจะออกมาแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้มีสูงมาก การใช้หลักการทางสถิติโดยเฉพาะความน่าจะเป็นจะช่วยให้เรารู้ว่าโดยเฉลี่ยถ้าเราทำมันมากพอหรือตรวจสอบย้อนหลังมากพอ ค่าของมันควรจะเป็นเท่าไรและโอกาสที่เหตุการณ์แต่ละครั้งจะแตกต่างกับสิ่งที่คาดการณ์นั้นจะมีมากหรือน้อยแค่ไหน
ในฐานะของนักลงทุน เราคงไม่มานั่งคำนวณโอกาสความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นตัวเลข เพราะแม้แต่นักสถิติเองก็มักจะทำไม่ได้แม่นยำ แต่เราต้องเข้าใจแนวคิดของมันเพื่อที่จะได้ไม่ “ถูกหลอก” ด้วยตัวเลขที่นักวิเคราะห์ทำมาให้เราเชื่อและตัดสินใจลงทุนตามตัวเลขที่อาจจะ “สวยหรู” แต่ไม่ได้บอกว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นอาจจะน้อยมากและโอกาสที่จะผิดพลาดอาจจะสูงมาก ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เราขาดทุนมหาศาล ตัวอย่างเช่น เขาคาดว่ากำไรของบริษัทปีหน้าจะโตขึ้น 50% คิดเป็นเงิน 600 ล้านบาท จากกำไรปีที่แล้วที่ 400 ล้านบาท โดยไม่ได้บอกว่ามันมีโอกาสที่บริษัทอาจจะไม่ได้กำไรเพิ่มเลยหรืออาจจะขาดทุนก็ได้
นอกจากการคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตถึง 50% แล้ว นักวิเคราะห์ยังได้ให้ Target Price หรือราคาเป้าหมายของหุ้นโดยอิงกับการเติบโตซึ่งมีเซียนหุ้นหลายคนรวมถึง ปีเตอร์ ลินช์ พูดว่าเราสามารถใช้ค่า PEG ซึ่งก็คือค่า PE หารด้วย Growth เท่ากับ 1 เท่าได้ ดังนั้นค่า PE ที่เหมาะสมของหุ้นก็คือเท่ากับ Growth ที่ 50 เท่า แต่ว่าก่อนประกาศหรือออกบทวิเคราะห์ หุ้นตัวนั้นมีค่า PE แค่ 25 เท่า ดังนั้น ราคาหุ้นเป้าหมายก็ปรับขึ้นไปเป็น 1 เท่าตัว เช่น จาก 50 บาทก็กลายเป็น 100 บาท นักลงทุนที่เชื่อตัวเลขราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ก็แห่กันเข้าไปซื้อส่งผลให้หุ้นขึ้นไปแรงมากจากราคา 50 บาทกลายเป็น100 บาท และด้วยอิทธิพลของแรงเก็งกำไรราคาก็วิ่งต่อไปอีกกลายเป็น 120 บาท ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์ “ตื่นเต้นมาก” เขาเห็นว่าราคาน่าจะวิ่งต่อไปได้อีกมองจากปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นมหาศาลและคนกล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางว่าบริษัทจะยิ่งใหญ่ “ระดับโลก”
การปรับ Target Price รอบสองก็ตามมา ตัวเลขกำไรถูกเลื่อนไปใช้ตัวเลขของปีหน้าจากกำไรต่อหุ้น 2 บาทโต 50% กลายเป็น 3 บาท และเมื่อคูณด้วยตัวเลข PE ที่ 50 เท่า ราคาเป้าหมายก็เลยกลายเป็น 150 บาท คำแนะนำก็คือ “ซื้อ” เพราะราคาปัจจุบันเท่ากับ 120 บาท มีโอกาสทำกำไรได้ประมาณ 30 บาทต่อหุ้นหรือประมาณ 25% นักลงทุนจึงซื้อหุ้นต่อทั้ง ๆ ที่ราคาเกินเป้าหมายแรกที่ 100 บาทไปแล้ว และถ้าเราเชื่อตัวเลขเหล่านั้น เราก็อาจจะเข้าไปซื้อ เพราะดูเหมือนว่าหุ้นกำลังวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ทั้งหมดที่เขาพูดมานั้น เขาไม่ได้พูดว่าโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน เขาพูดราวกับว่ามันจะเกิดขึ้นแน่นอนหรือไม่ก็สูงมาก และที่ยิ่งสำคัญก็คือ เขาไม่พูดถึงโอกาสความเป็นไปได้ที่ตัวเลขจะต่ำกว่านั้นมาก เช่น กำไรอาจจะไม่โตเลยหรือลดลงได้ทั้ง ๆ ที่ถ้ามองย้อนหลังไปในอดีตหลายปี กำไรของบริษัทก็ไม่ได้โตหรือโตน้อยแค่ปีละไม่เกิน 10%
เมื่อเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่ได้ออกมาตามที่คาด มันต่ำกว่าที่คาดมาก แต่มันใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในอดีตมากกว่า นั่นก็คือ มันโตช้าแค่ 5-10% ต่อปี นักลงทุนเริ่มตกใจและขายหุ้น ราคาหุ้นร่วงมาแรงมากกว่า 50% จากจุดสูงสุดและค่า PE ก็ยังสูงเกิน 25 เท่าที่เป็นค่า PE ของหุ้นก่อนที่จะมีการคาดการณ์กำไรของบริษัทว่าจะเพิ่มขึ้น 50% ใน “ปีหน้า” นักลงทุนที่เข้าไปซื้อหุ้นในราคาที่สูงลิ่วขาดทุนหนักเพราะไม่ได้คำนึงถึง Probability หรือโอกาสที่กำไรจะเพิ่ม50% ว่ามันมีมากน้อยแค่ไหน บางทีอาจจะน้อยมากแค่ 10% ก็เป็นได้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ “ไม่น่าจะเกิดขึ้น” และผลก็คือ มันก็ไม่เกิดขึ้นจริง ๆ นอกจากไม่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นยังแตกต่างหรือผันแปรไปจากค่าที่คาดหวังมาก คือจากการเติบโต50% กลายเป็นแค่ 10% ซึ่งในแวดวงของนักลงทุนไทยแล้ว เราไม่ถือว่ามันเป็นหุ้นเติบโต ดังนั้น คนที่เล่นหุ้น Growth ก็ขายหุ้นแบบถล่มทลาย
ธรรมชาติของตัวเลขผลประกอบการของแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละบริษัทนั้น เราต้องเข้าใจว่ามันสามารถคาดการณ์ด้วยความแม่นยำและมีความผันผวนต่างกัน จำนวนและขนาดของลูกค้ารวมถึงความผันผวนของราคาสินค้ามีส่วนอยู่มาก ถ้าลูกค้าเป็นรายย่อยและมีจำนวนมากเป็นล้าน ๆ คน การคาดการณ์โดยทั่วไปก็จะมีความแม่นยำและโอกาสที่ผลประกอบการจะแตกต่างจากตัวเลขคาดการณ์มากก็จะน้อย ในกรณีแบบนี้ ความเสี่ยงของการลงทุนก็จะต่ำกว่า เรามักจะไม่ค่อยเจอวิกฤติด้านของการลงทุนรุนแรงในหุ้นประเภทนี้ เช่นเดียวกัน โอกาสที่หุ้นจะกระโดดขึ้นไปรุนแรงในเวลาอันสั้นก็จะน้อยกว่ามากเพราะการคาดการณ์อนาคตของผลประกอบการของหุ้นปีต่อปีก็มักจะไม่ก้าวกระโดดที่จะส่งผลให้หุ้นมีราคาปรับตัวขึ้นไปเร็วมากได้ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้แปลว่าการลงทุนในหุ้นแบบนี้ไม่น่าสนใจ เพราะจริงอยู่ว่าการลงทุนในหุ้นแบบนี้อาจจะไม่ทำให้รู้สึกว่ารวยเร็ว แต่ในระยะยาวแล้ว มันอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการเล่นหุ้นที่หวือหวาแต่คาดการณ์ได้ยากและมีโอกาสสูงที่มันอาจจะตกต่ำลงอย่างแรงในบางช่วง และการตกต่ำลงแรงนั้นมันทำลายความมั่งคั่งได้รุนแรงมากกว่าการขึ้นที่รุนแรงในระดับเดียวกัน
ตัวเลขภาพใหญ่เช่น ตัวเลขเกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการปรับตัวของดัชนีหุ้นเองนั้นก็มีความแตกต่างกันมากในแง่ของความสามารถในการคาดการณ์และความผันผวนของตัวเลข โดยที่ตัวเลข GDP นั้นเนื่องจากผูกติดอยู่กับประชาชนทั้งประเทศและกิจกรรมที่เขาทำ การคาดการณ์ปีต่อปีจึงค่อนข้างแม่นยำพอสมควรและความผันผวนก็ค่อนข้างต่ำ เช่น ถ้าเราคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะโต 4% และความผันผวนก็คือไม่ต่ำกว่า 3.5% ในด้านที่แย่และไม่เกิน 4.5% ในด้านที่ดี โอกาสที่เราจะทำนายพลาดก็น้อย ดังนั้น เราจึงไม่ต้องกังวลมากนักว่าบริษัทที่เราลงทุนจะ “เจ๊ง” เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย อย่างมากเราก็ไม่ค่อยดีหรือดีเท่านั้น
แต่ตัวเลขดัชนีหุ้นนั้นการคาดการณ์น่าจะยากถึงยากมากและความผิดพลาดจากที่ทำนายก็อาจจะมหาศาล หุ้นอาจจะเป็นวิกฤติได้เสมอเนื่องจากมันอิงกับปัจจัยทั่วโลกซึ่งแน่นอนรวมถึงปัจจัยในประเทศที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องหรือแม้แต่ใกล้เคียง เช่นเดียวกัน หุ้นก็อาจจะดี ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้น “หักปากกาเซียน” ได้เสมอแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะบอกว่าปีนี้เล่นหุ้นยากมาก ดังนั้น เราไม่ควรจะหวังอะไรกับดัชนีหุ้นถ้าเราลงทุนระยะยาว เราอาจจะต้องระวังมากขึ้นบ้างในกรณีที่มีสถานการณ์บางอย่างที่ประวัติศาสตร์บอกว่า “น่ากลัว” เช่นในยามที่หุ้นปรับตัวเป็นกระทิงและดัชนีมีราคาแพงมากซึ่งในที่สุดก็มักจะต้องปรับตัวลงแรงจนบางครั้งเป็นวิกฤติ เป็นต้น
ทั้งหมดนั้นก็คือตัวอย่างของตัวเลขที่เราอาจจะต้องคาดการณ์เพื่อที่จะวิเคราะห์หุ้น หน้าที่ของเราก็คือการวิเคราะห์ตัวเลขแต่ละตัวว่ามันน่าจะเป็นอย่างไรในปีหน้าและในอนาคต เราจะต้องรู้ปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ในการที่จะกำหนดตัวเลขเหล่านั้นและความผันผวนของมัน ในกรณีจำนวนมากนั้นผมพบว่ามันไม่สามารถกำหนดได้แม่นยำและความผันผวนสูงมาก ซึ่งในกรณีแบบนั้นบ่อยครั้งผมจะไม่ลงทุนเลย ผมชอบลงทุนเฉพาะในหุ้นที่ผมคาดการณ์ตัวเลขได้ค่อนข้างดีและความผันผวนหรือโอกาสแตกต่างจากที่คาดการณ์มีน้อย เพราะด้วยการลงทุนในหุ้นแบบนี้ โอกาสผิดพลาดหรือเรา “แพ้” มีต่ำ ผมชอบลงทุนในสิ่งที่มีโอกาสขาดทุนน้อยแม้ว่าบางทีกำไรก็อาจจะไม่สูง เพราะผมเชื่อในกฎสำคัญของการลงทุนในระยะยาวที่ว่า “อย่าขาดทุน”
บทเรียนการลงทุนจากปี 2561 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
บทเรียนการลงทุนจากปี 2561
ดร. นิเวศน์เหมวชิรวรากร
ในสงครามนั้นมีคำพูดสำคัญข้อหนึ่งก็คือ “สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร” เรื่องหุ้นเองนั้นบ่อยครั้งก็มีการเปรียบเทียบกับสงครามเนื่องจากการลงทุนนั้นเป็น “กิจกรรมแห่งการต่อสู้” ที่รุนแรงคล้ายๆกับสงครามดังนั้นในแวดวงหุ้นเองคนก็มักจะพูดว่าตราบใดที่คุณยังลงทุนอยู่เช่นยังถือพอร์ตลงทุนหุ้นจำนวนมากไว้หรือถือหุ้นบางตัวไว้ก็จงอย่าคิดว่าคุณประสบความสำเร็จทำเงินมากมายแล้วเหตุผลก็เพราะว่าพอร์ตและ/หรือหุ้นที่มีกำไรมหาศาลนั้นอาจจะตกลงมาอย่างแรงจนกำไรหดหายหรือกลายเป็นขาดทุนได้ดังนั้นจงอย่าชะล่าใจและเปิดตัวเองให้อยู่ในความเสี่ยงที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นการลงทุนในหุ้นนั้นเราควรที่จะ “ถ่อมตน” อยู่เสมอตราบที่เรายังคงลงทุนอยู่และนี่ก็คือบทเรียนแรกที่ผมคิดว่าเราน่าจะได้จากการลงทุนในช่วงปี 2561 ที่ VI จำนวนมากรวมถึง “เซียนหุ้น” ขาดทุนหรือมูลค่าพอร์ตลดลงมามากแทบจะเป็น “หายนะ”
ในการลงทุนนั้นผมคิดว่ามันเป็นกิจกรรมระยะยาวหรือแม้แต่ตลอดชีวิตแม้แต่คนที่ “เล่นสั้น” ซื้อขายหุ้นรายวันแต่ถ้าเขาก็ทำแบบนั้นเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานหรือ “ตลอดชีวิต” มันก็คือเกมระยะยาวเช่นเดียวกันเหนือสิ่งอื่นใดก็คือหากเราเป็นคนที่มีเงินเหลือเก็บจากการทำงานใช้แรงงานเงินที่เหลือเก็บนั้นโดยนิยามก็คือเงิน “ลงทุน” เพราะคงไม่มีใครเก็บเป็นเงินสดที่เป็นธนบัตรมันจะต้องถูกนำไปฝากธนาคารหรือซื้อตราสารทางการเงินหรือนำไปซื้อทรัพย์สินเพื่อการลงทุนซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ดังนั้นโดยนิยามแล้วทุกคนที่มีเงินเหลือเก็บก็เป็นคนที่ต้องลงทุนหรือเป็นนักลงทุนและเป็นนักลงทุนระยะยาวตลอดชีวิตผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุนนั้นในบางช่วงก็ดีเลิศหรือดีบางช่วงก็แย่หรือแย่มากถ้า“บังเอิญ” ว่าเราทำผลตอบแทนได้ดีเยี่ยมมายาวอาจจะเป็น 10 ปีก็จงอย่าคิดว่าเรา “เก่งมาก” หรือเป็น “เซียน” แม้ว่าจะมีคนอื่นยกย่องชื่นชมเราเพราะเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเช่นในปี 2561 เราอาจจะ “แพ้” กำไรที่เคยทำมาได้หายหมดหรือลดลงมากจนทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นนั้นไม่ได้สูงกว่าปกติเท่าไรนักและนี่ก็คือสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นตลอดเวลาและเกิดขึ้นกับ “เซียน” ระดับโลกด้วย
ปี 2561 นั้นผมคิดว่ามันเป็นปีที่ “หมดรอบ” ในหลายๆเรื่องความหมายก็คือสิ่งต่างๆที่มักเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักรดี-ร้ายนั้นหมุนมา “ครบรอบ” เช่นแรงเก็งกำไรในหุ้นแบบต่างๆที่ทำให้หุ้นขึ้นไปแรงมากเป็นเวลาหลายปีพอถึงปี 2561 มันก็ถึงจุดสุดยอดและก็เริ่มปรับตัวลงแรงและดูจะไม่สามารถดีดตัวขึ้นในระยะสั้นอย่างที่เคยเป็นอีกดังนั้นผมคิดว่ามันน่าจะ “จบรอบ” หรือ “อวสาน” และต้องรอเวลาอีกนานพอสมควรกว่าที่จะกลับมาเป็นขาขึ้นรอบใหม่และการที่มันจบรอบหรือ “สงครามสงบ” แม้ว่ามันจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” นี้เองผมจึงคิดว่าเราน่าจะมาทบทวนดูว่าเราได้รับบทเรียนอะไรบ้าง
จากประสบการณ์ของผมเองนั้นผลงานการลงทุนที่ดีนั้นมักจะเกิดขึ้นเพราะหุ้นบางตัวที่มีขนาดใหญ่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นต่อเนื่องยาวนานซึ่งนั่นช่วยทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตเติบโตหรือต้านทานภาวะเลวร้ายของตลาดได้ถ้าจะพูดภาษาสงครามหน่อยก็อาจจะบอกว่าเรามี “เรือธง” ที่ยิ่งใหญ่ที่คอยค้ำจุนหรือปกป้องน่านน้ำหรือเขตสงครามที่ทำให้กองทัพประสบความสำเร็จและยืนหยัดอยู่ได้เรือธงนั้นเองก็ “ถูกถล่ม” เช่นเดียวกันแต่มันไม่จมและมันพร้อมที่จะกลับมาสู้รบอย่างห้าวหาญต่อไปอย่างไรก็ตามมีโอกาสเสมอที่มันอาจจะถูกถล่มจนจมลงแบบเดียวกับที่เรือบิสมาร์กที่ยิ่งใหญ่ของเยอรมันถูกรุมล่าจนจมลงมาแล้วในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
บทเรียนที่ว่าเราต้องมีเรือธงหรือหุ้นที่ยิ่งใหญ่หรือหุ้นที่ในช่วงเวลายาวนานระดับหนึ่งสร้างผลงานที่น่าประทับใจจนทำให้ผลงานโดยรวมของเราดีต่อเนื่องยาวนานนี้ผมคิดว่ามันเป็นบทเรียนที่ปีเตอร์ลินช์พูดไว้ในหนังสือเรื่อง One Up On Wall Street ที่เขาเล่าว่าการเติบโตหรือผลตอบแทนของหุ้นจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ของเขานั้นก็ไม่ได้สูงผิดปกติอะไรมัน“ธรรมดา” มากเหตุผลก็อาจจะเป็นว่าเขาถือหุ้นเป็นพันตัวซึ่งมันยากมากที่จะมีผลงานดีทุกตัวแต่หุ้นที่ทำให้พอร์ตเขาดูดีมากก็คือหุ้นบางตัวที่เขาถือไว้จำนวนมากตั้งแต่ราคายังต่ำและบริษัทที่อาจจะเพิ่ง “Turnaround” หรือเติบโตนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆทุกปีในอัตราที่สูงและกลายเป็น “หุ้น 10 เด้ง” และนี่คือหุ้นที่เขาถือยาวนานติดต่อกันหลายปีผลก็คือผลตอบแทนระยะยาวที่ดีมากของเขาส่วนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในหุ้นแบบนี้
บทเรียนสำคัญต่อมาก็คือการ “หลีกเลี่ยงหายนะ” จากหุ้นที่เราลงทุนนี่ก็คือจะต้องประเมินความเสี่ยงของหุ้นทุกตัวว่ามันเป็นอย่างไรความเสี่ยงสูงแค่ไหนและต้องเป็นความเสี่ยงทุกด้านรวมถึงความเสี่ยงที่เราใช้ Leverage หรือการกู้ยืมเงินมาลงทุนหรือการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีการเพิ่มอัตราความเสี่ยงขึ้นไปสูงมากเช่นการใช้บล็อกเทรดเป็นต้นและนอกจากความเสี่ยงของตัวกิจการและตัวหลักทรัพย์เองแล้วเราก็ยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิด Fraud หรือการโกงและการหลอกลวงในเรื่องต่างๆรวมถึงระบบบัญชีของบริษัทโดยเฉพาะเวลาที่เราดูแล้วมัน “Too good to be true” หรือมันดูดีจนไม่น่าเป็นไปได้ในช่วงปี 2561 และก่อนหน้านั้น 2-3 ปีดูเหมือนว่าเราจะพบหุ้นประเภทนี้ค่อนข้างมาก
บทเรียนอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะจดจำก็คือหุ้นที่มี “คนเชียร์กันอื้ออึง” นั้นก็เป็นไปตามที่บัฟเฟตต์เคยพูดไว้ว่าเรามักจะต้องจ่ายเงินซื้อแพงเกินไปและทำให้เรา “เสียเงิน” ช่วงก่อนหน้านี้เราได้เห็นว่ามีหุ้นขนาดกลางและเล็กจำนวนไม่น้อยที่ถูกเชียร์กันอย่างกว้างขวางว่าจะเติบโตยิ่งใหญ่เหมือนอย่างหุ้นที่ยิ่งใหญ่ในต่างประเทศโดยนักลงทุนนักวิเคราะห์ผู้บริหารบริษัทและสื่อต่างๆซึ่งทำให้ราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นไปสูงมากแต่แล้วเมื่อตัวเลขผลประกอบการที่ทยอยออกมาไม่รองรับราคาหุ้นก็ปรับลดลงมาหนักมากซึ่งทำให้คนที่ตื่นเต้นกับเสียงเชียร์และเข้ามาซื้อหุ้นขาดทุนจำนวนมาก
อีกบทเรียนหนึ่งที่ปี 2561 ตอกย้ำก็คือการคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นนั้นเป็นเรื่องที่มีประโยชน์น้อยในการลงทุนส่วนใหญ่แล้วโอกาสที่จะถูกหรือผิดนั้นเท่าๆกันและบ่อยครั้งถึงคาดถูกก็ไม่มีประโยชน์เพราะเราเป็นนักลงทุนที่เลือกลงทุนเองไม่ใช่คนที่ซื้อกองทุนรวมอิงดัชนีปี 2561 นั้นคนส่วนใหญ่น่าจะคาดในช่วงต้นปีว่าจะเป็นปีที่ดีเพราะดัชนีหุ้นก็เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามเมื่อหมดปีผลปรากฏว่าดัชนีก็ตกลงมา “แรง” คือประมาณ 11% แต่ถ้ามองจากประวัติศาสตร์การตกแค่นี้ก็ถือว่า “ธรรมดา” เป็นแค่ Correction หรือการ “ปรับตัว” ของตลาดหุ้นอย่างไรก็ตามถ้ามองในภาพเล็กลงมาและในสายตาของนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากแล้วปี 2561 น่าจะถือว่าเป็นปี “วิกฤติ”...
อาชีพน่าเบื่อกับ VI ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor 5 มกราคม 2562
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อาชีพน่าเบื่อกับ VI
ทุกสิ้นปีหรือต้นปีใหม่ของทุกปีผมจะต้อง “ทบทวน” ผลงานและกิจกรรมทางการลงทุนของผมว่าเป็นอย่างไร เหตุผลนั้น นอกจากจะต้องทำบันทึกเพื่อเอาไว้เขียนหนังสือแล้ว ยังเป็นการดูว่าเราได้ทำอะไรไปบ้างและมันถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไรเพื่อเก็บไว้เป็น “บทเรียน” สำหรับอนาคต
ปี 2561 นั้นน่าจะเป็นปีแรกในช่วงเวลา 22 ปี ที่ผมลงทุนเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมดในฐานะของ “VI” ที่ผม “ไม่ได้ทำอะไรเลย” นั่นก็คือ ผมไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้นแม้แต่ตัวเดียว ผมรู้สึกว่าไม่มีหุ้นที่น่าสนใจพอที่จะซื้อเพื่อถือระยะยาวแบบ VI เพราะมันไม่มี Margin of Safety หรือส่วนต่างเพื่อความปลอดภัยเพียงพอ หุ้นที่ดีเป็นซุปเปอร์สต็อกก็มักจะมีราคาแพงค่า PE สูงตั้งแต่ 30 เท่าขึ้นไปซึ่งผมคิดว่าบางตัวราคาก็อาจจะยังพอยอมรับได้ว่าสมเหตุผล แต่ในสภาวะของเศรษฐกิจสังคมการเมืองของไทยมันก็อาจจะยังมีความเสี่ยง โอกาสขาดทุนในระยะยาวก็เป็นไปได้ไม่ต้องพูดถึงระยะสั้นที่อาจจะขาดทุนได้ง่าย ๆ ...