แท็ก: โควิด ดร.นิเวศน์
Upheaval : วิกฤติชาติและทางออก
โลกในมุมมองของ Value Investor 17 กรกฎาคม 64
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงโควิดผมได้อ่านหนังสือที่ได้รับจากเพื่อน VI ที่ส่งมาให้หลายเดือนแล้วแต่ยังไม่ได้มีเวลาอ่านเล่มหนึ่งชื่อ “Upheaval” เขียนโดย Jared Diamond นักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ “Guns Germs And Steal” ที่โด่งดังหลายปีก่อน หนังสือเล่มนี้พูดถึง “วิกฤติ” โดยเฉพาะของประเทศต่าง ๆ ...
ความเจ็บปวดและการแก้ไขในวิกฤติต้มยำกุ้ง VS โควิด-19
โลกในมุมมองของ Value Investor 3 กรกฎาคม 64
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
จนถึงวันนี้เป็นเวลาประมาณปีครึ่งแล้วตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิด-19 ดูเหมือนว่าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นแต่กลับแย่ลงและไม่รู้ว่าโรคจะติดต่อร้ายแรงไปอีกนานแค่ไหน ซึ่งก็จะมีผลให้เศรษฐกิจตกต่ำลงต่อไปจนอาจจะทำให้ประชาชนจำนวนมากโดยเฉพาะที่มีรายได้น้อยประสบกับปัญหาจน “รับไม่ไหว” ผมเองเคยพูดว่าเวลาของการเติบโตทางเศรษฐกิจของเราอาจจะ “หายไป 3 ปี” แต่ลึก ๆ แล้วก็มีโอกาสที่จะกลายเป็น 4 ปี ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น นี่ก็จะเป็นวิกฤติที่รุนแรงเท่า ๆ กับวิกฤติ ...
สรุปเรื่องวัคซีนในเวียดนาม และมุมมองเรื่องเวียดนามฉีดวัคซีนช้า
เพื่อให้เห็นภาพชัดขอเปรียบเทียบสถานการณ์โควิด 19 ระหว่าง เวียดนาม VS ไทย ดังนี้ค่ะ
จำนวนผู้ติดเชื้อ
ไทย 199,264 คน : เวียดนาม 10,730 คน
จำนวนผู้เสียเสียชีวิต
ไทย 1,466 คน : เวียดนาม 59 คน
จำนวนผู้ตรวจเชื้อ
ไทย 8,124,896 คน : เวียดนาม 6,282,417...
สงครามจริงกำลังจะเริ่ม
โลกในมุมมองของ Value Investor
16 พฤษภาคม 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สงครามโลกครั้งที่สองนั้น นักประวัติศาสตร์ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าเริ่มต้นเมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน 1939 และฝรั่งเศสกับอังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมันเพราะได้ประกาศค้ำประกันความเป็นอิสระของโปแลนด์เอาไว้ แต่ในช่วงแรกของสงครามเป็นเวลาถึง 8 เดือนนั้น การรบเกิดขึ้นน้อยมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของการปิดน่านน้ำและยิงกันทางอากาศประปรายไม่เหมือนกับสงครามจริง ๆ จนถูกเรียกว่าเป็น “Phony War” หรือ“สงครามเก๊” แต่หลังจากที่เยอรมันเริ่มบุกเข้ายึดฝรั่งเศสในช่วงเดือนพฤษภาคม 1940 สงครามเต็มรูปแบบก็เริ่มขึ้นและยืดเยื้อต่อเนื่องไปอีกกว่า 5 ปีส่งผลให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงทั้งด้านของชีวิตคนและเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน
“สงครามกับโควิด19” นั้น ก็อาจจะคล้าย ๆ กับสงครามโลก ความสูญเสียก็น่าจะแรงคล้าย ๆ กัน มันเริ่มที่อู่ฮั่นช่วงปลายปี 2562 และก็ลามไปทั่วโลก ในช่วงแรกนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมากเพราะอาการส่วนใหญ่ไม่รุนแรง บางคนบอก “แค่ไข้หวัดธรรมดา” คนที่ตายก็มักเป็นคนสูงอายุ นั่นคือ “Phony War” แต่ “สงครามจริง ๆ” เกิดขึ้นอีก 3-4 เดือนต่อมาเมื่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเกิดการระบาดจนต้อง “ปิดเมือง” เช่นเดียวกับประเทศไทยที่เราต้องปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจแทบทุกอย่างในเดือนมีนาคม 2563 และก็ไม่มีใครรู้ว่าสงครามโควิด19 จะจบเมื่อไร
สำหรับผมเองนั้น เรื่องเชื้อโรคหรือเรื่องของสุขภาพเป็นมิติสำคัญที่ทุกคนเห็นชัดเจนและเราก็ต่อสู้เพื่อเอาชนะมัน เรามองว่าถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง จำนวนคนตายเพิ่มขึ้นน้อยลง เราก็ “กำลังชนะ” แต่ถ้ามองอีกมิติหนึ่ง เราก็คงต้องดูถึง “ความเสียหายทางเศรษฐกิจ” ด้วยว่ามีความรุนแรงแค่ไหน เท่าที่ดูตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าไทยเราอาจจะกำลังชนะในสงครามกับไวรัส แต่สงครามทางเศรษฐกิจนั้นดูเหมือนว่า “เพิ่งจะเริ่มต้น” และสัญญาณที่เห็นชัดเจนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็คือ การที่การบินไทยกำลังอาจจะต้องเริ่มเข้าแผนฟื้นฟูเพื่อที่จะเอาตัวรอดจากวิกฤติทางการเงินอานิสงค์จากวิกฤติโควิด19 ที่ทำให้ธุรกิจการบินทั้งหมดแทบจะหยุดอย่างสิ้นเชิง ผมไม่รู้ว่าในที่สุดการบินไทยจะประสบความสำเร็จไหม แต่กำลังวิตกว่าบริษัทโดยเฉพาะที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่อื่น ๆ จะประสบปัญหาตามมาหรือไม่และมากน้อยแค่ไหน ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่คิด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขาคิดว่าบริษัทใหญ่ ๆ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นต่างก็แข็งแรง มีกำไรที่ดีเยี่ยม ราคาหุ้นก็อยู่ในระดับสูงและ “กำลังกลับมา” จะไปเปรียบเทียบกับการบินไทยที่ “มีปัญหามานานแล้ว” ไม่ได้
ผมอยากจะเถียงว่ากรณีของการบินไทยเองนั้น ใครเคยคิดว่าอาจจะต้องเข้าแผนฟื้นฟูตามกฎหมายล้มละลาย? จริงอยู่ การบินไทยอาจจะขาดทุนมากกว่าคนอื่น มีหนี้มากกว่าคนอื่น แต่การบินไทยนั้นเป็น “สายการบินแห่งชาติ” ที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่พร้อมจะเข้ามาสนับสนุนตลอดเวลาและก็ทำมาตลอด ความน่าเชื่อถือนี้ทำให้บริษัทสามารถกู้หนี้ยืมสินได้แทบไม่จำกัด นักลงทุนจำนวนมากโดยเฉพาะที่เป็น “นักออม” เช่น คนที่อยู่ในแวดวงสหกรณ์ออมทรัพย์ขนาดใหญ่ของหน่วยงานภาครัฐต่างก็ดูว่าหุ้นกู้หรือตราสารหนี้อื่นของการบินไทยนั้นให้ผลตอบแทนที่ดีและมีความปลอดภัยสูง ว่าที่จริงแม้แต่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเองก่อนเกิดวิกฤติก็ยังให้เรทติ้งบริษัทในระดับ A ซึ่งถือว่าเป็นระดับ “ดีมาก” ไม่แพ้บริษัทจดทะเบียน “ยักษ์ใหญ่” ทั้งหลายในตลาดหุ้นไทย ดังนั้น ความคิดที่ว่า บริษัทมีความมั่นคง มีเรทติ้งดี และมีโอกาสล้มน้อยมากนั้น อาจจะไม่จริงในช่วงที่เกิด “สงครามโควิด19”
วิกฤติโควิด19 นั้น มองในแง่ของตลาดหุ้นที่เมื่อเริ่มเกิดเหตุการณ์ราคาหรือดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างแรงประมาณ30-40% ในระยะเวลาอันสั้น แต่เมื่อผ่านไปเพียงแค่ 1-2 เดือนดัชนีกลับสามารถปรับตัวขึ้นมาได้จนติดลบไปเพียง 10-20% จากช่วงก่อนเกิดโควิด19 และในตลาดหุ้นอย่างตลาดนาสดักซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มไฮเทคนั้น ดัชนีหุ้นกลับปรับตัวขึ้นไปจนสูงกว่าตอนต้นปีแล้วนั้น ก็ต้องถือว่าตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวแบบตัว V ซึ่งเป็นสัญญาณว่าวิกฤติกำลังผ่านไปอย่างรวดเร็วจนดูไม่เหมือนว่าโลกกำลังมีวิกฤติด้วยซ้ำ
แต่ในด้านของเศรษฐกิจนั้น ดูเหมือนว่าโลกกำลังเจอกับ “สงครามจริง” ที่เพิ่งจะเริ่ม การคาดการณ์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกประเทศดูเหมือนว่าจะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ บริษัทที่ถูกกระทบอย่างแรงเช่น สายการบินหลายแห่งอยู่ในสภาวะ “ล้มละลาย” และหลายแห่งก็จะล้มจริงถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล การคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากโดยเฉพาะที่อยู่ในธุรกิจ “เก่า” อย่างเช่นรถยนต์และน้ำมันก็ย่ำแย่มากไม่ต้องพูดถึงธุรกิจที่ถูกกระทบจากโควิดโดยตรงอย่างเรือสำราญหรือโรงแรม เป็นต้น โดยที่สงครามนี้ก็ดูเหมือนว่ายังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร
ความขัดแย้งในตรรกะที่ว่าเศรษฐกิจกำลัง “เน่า” แต่หุ้น “ดี” นี้ ได้รับการอธิบายโดยบางคนว่าเป็นเพราะโลกกำลังเปลี่ยนไป มีการแยกตัวระหว่างตลาดหุ้นหรือตลาดการเงินซึ่งเป็นตลาด “จำลองหรือตลาดเสมือนจริง” กับตลาดที่เป็นเศรษฐกิจ “จริง” พูดง่าย ๆ หุ้นจะขึ้นจะลงก็เป็นเพราะมีคนนำเงินมาซื้อหรือขายด้วยเหตุผลทางการเงินหรือเรื่องอื่นที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับเศรษฐกิจอย่างที่เราเข้าใจและคุ้นเคยกันมานาน แต่นี่สำหรับผมแล้วก็ต้องบอกว่าผมไม่เข้าใจและก็ไม่เชื่อ ผมถูกสอนให้เชื่อมาตลอดว่า ราคาหุ้นในระยะยาวแล้วจะต้องสะท้อนถึงผลประกอบการระยะยาวของกิจการเสมอ ดังนั้น ถ้าหุ้นทั้งตลาดหรือดัชนีตลาดหุ้นขึ้นและดำรงอยู่ได้ในระยะยาว เศรษฐกิจและกิจการก็น่าจะต้องดีในระยะยาวด้วย ถ้ามองไปข้างหน้าแล้วเศรษฐกิจ “เน่า” แน่ ๆ หุ้นไม่น่าจะขึ้นไปแล้วอยู่ทน ในไม่ช้าก็จะต้องตกลงมา
ประเด็นที่จะต้องคิดก็คือ เศรษฐกิจจะเน่าไปนานแค่ไหนและจะฟื้นตัวเร็วแค่ไหน ถ้าคำตอบก็คือ “เร็วมาก” และบริษัทก็สามารถกลับมาสร้างรายได้และกำไร “เท่าเดิม” ในเวลาแค่ปีสองปี แบบนี้หุ้นก็จะมีเหตุผลที่จะขึ้นไปตั้งแต่ช่วงนี้แล้วก็เดินหน้าต่อ “มองข้าม” ปัญหา “ชั่วคราวสั้น ๆ” เช่นเรื่องโควิด19 ไป แต่ถ้าเศรษฐกิจมีปัญหาต่อเนื่องไปพอสมควร บริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากยังต้องปรับโครงสร้างและแก้ปัญหาอันเนื่องจากโควิด19ไปอีกนาน แบบนี้หุ้นก็ไม่สามารถยืนอยู่ได้และอาจจะตกลงมาแรงได้อีก ซึ่งนี่ก็คือสถานการณ์อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2540 ที่เกิดวิกฤติการเงินรุนแรงและกว่าที่เศรษฐกิจและบริษัทจะฟื้นตัวก็กินเวลาหลายปี
ถ้ามองอีกมุมหนึ่งโดยเฉพาะในกรณีตลาดหุ้นของอเมริกา คำอธิบายว่าทำไมตลาดหุ้นดีทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจกำลังจะแย่ก็คือ หุ้นที่ดีได้นั้นเป็นเพราะมันเป็นหุ้นไฮเทคขนาดใหญ่ที่ไม่ถูกกระทบโดยเศรษฐกิจที่กำลังแย่ ดังนั้น หุ้นพวกนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นและเนื่องจากมีขนาดใหญ่ มันจึงช่วยพยุงให้ตลาดหุ้นโดยรวมไม่ตกลงมามากอย่างที่ควรจะเป็น ถ้าตัดหุ้นเหล่านี้ออกไป ดัชนีอาจจะแย่กว่านี้มากก็ได้ แต่นี่ก็ไม่ได้อธิบายว่าทำไมตลาดหุ้นไทยถึงตกลงมาไม่มากเช่นกัน เพราะว่าไทยไม่มีหุ้นไฮเทคขนาดใหญ่ที่มาช่วยค้ำยันตลาด ผมเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน บางทีตลาดหุ้นไทยอาจจะถูกซื้อขายโดยคนไทยที่เข้ามา “เก็งกำไร” จำนวนมากซึ่งทำให้หุ้นไม่ตกลงมาอย่างที่ควรจะเป็นในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นกรณีแบบนี้ ในระยะยาวแล้ว หุ้นและดัชนีหุ้นของเราก็จะอยู่ในระดับสูงไม่ไหวถ้าเศรษฐกิจแย่ต่อไปนานและไม่มีหุ้นที่จะได้ประโยชน์เช่น หุ้นไฮเทคของอเมริกา
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องของการประเมินหรือคาดเดา ผมเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร เราคงจะรู้เมื่อเวลาผ่านไปและอะไรเกิดขึ้นซึ่งก็จะเป็นบทเรียนให้เราต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม การลงทุนนั้นเราจะอิงกับการประเมินและคาดเดาที่เราไม่มีความมั่นใจสูงไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือ ลงทุนในหุ้นที่แข็งแกร่งปลอดภัยและโอกาสถูกทำลายโดยเทคโนโลยีใหม่มีน้อยในราคาหุ้นที่ถูกหรือยุติธรรม มี Margin of Safety สูง เพราะนี่คือหุ้นที่จะ “ฝ่าพายุ” ได้ การลงทุนเพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงินหรือร่ำรวยนั้นก็เหมือนกับการเดินเรือออกทะเลไปสู่ดินแดนอันมั่งคั่งที่อยู่ห่างไกล มันต้องใช้เวลามาก บางทีแทบจะตลอดชีวิต และจะต้องฝ่าคลื่นลมและพายุใหญ่ในบางครั้ง เราไม่รู้ว่าอุปสรรคเหล่านั้นจะมาเมื่อไร เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำก็คือ ต้องมั่นใจว่าเรามีเรือที่ดีและแข็งแรงพอที่จะไม่จมลงง่าย ๆ ไม่ว่าพายุจะรุนแรงแค่ไหน นอกจากนั้น เราก็จะต้องมีจิตใจที่มั่นคงไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคและละทิ้งเป้าหมายที่จะไปตราบที่เป้าหมายนั้นมันท้าทาย มีเหตุผล และเป็นไปได้
บทเรียนการลงทุนจากวิกฤติโควิด19
โลกในมุมมองของ Value Investor 4 เม.ย. 63
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สำหรับนักลงทุน “รุ่นใหม่” ส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทย “วิกฤติโควิด19” น่าจะเป็น “Wake Up Call” หรือการปลุกให้ตื่นขึ้นเพื่อเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้ายของการลงทุนที่คนจำนวนมากไม่ได้ตระหนัก เพราะสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่เกิน 12 ปี คือเริ่มลงทุนหลังวิกฤติซับไพร์มในปี 2551 แล้ว พวกเขาไม่เคยประสบกับการตกลงมาอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นจริง ๆ เลย ปีที่หุ้นลงแรง ที่สุดก็ไม่เกิน 15% ส่วนใหญ่หุ้นจะขึ้นและก็ขึ้นแรงเกินปีละ 10% ปีที่หุ้นขึ้นไปเกิน 30% มีถึง 3 ปี อย่างไรก็ตาม วิกฤติครั้งนี้นับถึงวันวันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 ทำให้ดัชนีหุ้นตกลงมาต่ำที่สุดในรอบประมาณ 8 ปี ซึ่งก็แปลว่าคนที่เริ่มลงทุนมาน้อยกว่า 8 ปี และเป็นนักลงทุนระยะยาว ทั้งที่ลงทุนเองและลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทต่าง ๆ นั้น โดยส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนเลย เงินหรือความมั่งคั่งที่เก็บสะสมมาตลอดและเคยรู้สึกว่ามันเพิ่มขึ้นมากนั้น หายไปภายใน “พริบตา” และนี่ก็ยัง “ไม่จบ” ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป และนี่ก็คือบทเรียนที่หนึ่งของ “วิกฤติตลาดหุ้น” ที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” โดยเฉพาะความเสี่ยงจาก “วิกฤติตลาดหุ้น”
บทเรียนที่สองก็คือ วิกฤติตลาดหุ้นนั้น ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่อง “ปกติ” ที่จะต้องเกิดภายในระยะเวลาประมาณไม่เกินทุก 10 ปี วิกฤติครั้งนี้อาจจะมาช้าหน่อยแต่สุดท้ายก็มา ผมเองผ่านวิกฤติมาหลายครั้ง แต่แล้วก็ไม่จำหรือพยายามหาเหตุผลว่าครั้งนี้มันคงไม่เกิดเพราะมันไม่มีสัญญาณทางการเงินที่มีเหตุผลชัดเจนว่ามันจะเกิด เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เงินล้นโลกและดอกเบี้ยต่ำสุดในประวัติศาสตร์และราคาหุ้นก็ไม่ได้อยู่ในระดับสูงมากเป็นช่วง “กระทิง” ว่าที่จริงตลาดหุ้นไทยไม่ได้ไปไหนมาไม่ต่ำกว่า 5-6 ปีแล้ว มันจะเกิดวิกฤติด้วยเรื่องใด อย่างมากก็น่าจะแค่ถูก “หางเลข” จากตลาดหุ้นโลกที่อาจเกิดวิกฤติ- ถ้ามี ดังนั้น วิกฤติครั้งนี้ผมจะต้องจำเป็นบทเรียนว่า วิกฤตินั้น เป็นสิ่งที่ “คาดไม่ได้” แต่มันมักจะต้องมาในวันใดวันหนึ่งในช่วงไม่เกินประมาณ 10 ปี นับจากวิกฤติครั้งที่แล้ว
บทเรียนที่สามก็คือ ในวิกฤตินั้น หุ้นกลุ่มที่จะตกลงมาแรงมากทุกครั้งก็คือ หุ้นของสถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทั้งหลาย แม้แต่ครั้งนี้ที่สาเหตุของวิกฤติไม่ได้มาจากสถาบันการเงินแต่สุดท้ายมันก็มาลงที่สถาบันการเงินอยู่ดี เหตุผลคงเป็นว่าสถาบันการเงินนั้นผูกติดอยู่กับเศรษฐกิจอย่างแยกไม่ออก เศรษฐกิจทรุดเมื่อไร ธนาคารก็ไปเมื่อนั้น เหนือสิ่งอื่นใด สถาบันการเงินนั้นกู้ยืมเงินมหาศาล อย่างน้อย 4-5 เท่าหรือ 10 เท่าของทุนของตนเอง ความเสี่ยงจึงมีมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นแบ้งค์เป็นหุ้นที่มีผู้ถือหุ้นที่เป็นนักลงทุนเกือบ 100% Free Float สูงมาก และถูกถือโดยนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนสถาบันเกือบทุกแห่ง ดังนั้น ในวันที่เกิดวิกฤติ ไม่มีใครจะมารับซื้อหุ้นได้พอไม่ว่าพื้นฐานของบริษัทจะเป็นอย่างไร
บทเรียนที่ตามมาจากข้อที่สามก็คือ หุ้นของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งก็คือผู้ขุดน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้งหลายต่างก็จะตกลงมาอย่างหนัก เหตุผลก็คือ ราคาของสินค้าเหล่านี้มักจะตกลงมาแรงมากอานิสงค์จากการหดตัวของ GDP ที่ทำให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ลดลงในขณะที่ต้นทุนการผลิตยังเท่าเดิม ผลก็คือ บริษัทขาดทุนอย่างหนัก ทำให้หุ้นตกลงมาตาม
บทเรียนที่ 5 ก็คือ หุ้นกลุ่มที่จะพอเอาตัวรอดได้จากวิกฤติก็คือ ผู้ที่ผลิตหรือขายสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันและเป็นกิจการที่บริษัทมีการผูกขาดหรือมีอำนาจทางการตลาดสูง พูดง่าย ๆ ยังไงคนก็จะต้องกินต้องใช้ แม้จะลดลงบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับทำให้บริษัทขาดทุนหรือมีปัญหาทางการเงิน ตัวอย่างเช่น กลุ่มโทรคมนาคมที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือ สาธารณูปโภคเช่น ไฟฟ้าและน้ำประปา ค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ขายอาหารและสินค้าจำเป็นประจำวันและร้านสะดวกซื้อเป็นต้น เหตุผลก็ชัดเจนว่าพวกเขาก็อาจจะมีรายได้และกำไรลดลง แต่มันไม่เป็นหายนะ และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น มันก็มักจะกลับมาเหมือนเดิม
บทเรียนที่ 6 ก็คือ หุ้นที่อันตรายที่สุดในยามเกิดวิกฤติก็คือ หุ้นขนาดเล็กถึงกลางที่ “โตเร็ว” และมีราคาแพงหรือค่าPE ที่สูงมากจนแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะหุ้นเหล่านี้มักจะถูกเข้ามาเล่นเก็งกำไรโดยนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากผสมกับนักเก็งกำไรรายใหญ่ที่มักจะเข้ามา “ดูแล” หรือ “ปั่นหุ้น” จนทำให้ราคาหุ้นสูงเกินพื้นฐานไปมาก ในภาวะที่ตลาดหุ้นดีหรือยังเอื้ออำนวย ราคาก็มักจะดำรงอยู่ได้ ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็ยังสูงพอที่จะทำให้นักเล่นหุ้นสบายใจว่าสามารถซื้อและขายได้ด้วยราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก อย่างไรก็ตาม วิกฤติมักทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป คนไม่เชื่อว่าบริษัทจะโตได้ในภาวะอย่างนี้จึงเริ่มขายหุ้นทิ้ง รายใหญ่อาจจะเริ่มขายเพื่อทำกำไรหรือหนีตายเนื่องจากอาจจะกังวลว่าหุ้นจะตกจนตนเองถูกเรียกให้วางเงินมาร์จินเพิ่มเติมจากโบรกเกอร์ ผลก็คือ ราคาหุ้นตกดิ่งลงมาโดยหาผู้ซื้อได้ยาก ปริมาณการซื้อขายลดลงอย่างรวดเร็วจนคนที่ถือหุ้นมากขายออกไปไม่ได้ หุ้นกลายเป็น “หายนะ”
บทเรียนที่ 7 ก็คือ หุ้นที่อยู่ใน “ศูนย์กลางของวิกฤติ” กล่าวคือเป็นหุ้นที่ถูกกระทบโดยตรงและ เต็ม ๆ มักจะตกลงมาแทบเป็น “หายนะ” เสมอ โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินไม่แข็งแรงเช่น มีหนี้สินมากกว่าที่ควรจะเป็นและ/หรือมีความไม่สอดคล้องในเรื่องของระยะเวลาถึงกำหนดของการชำระหนี้กับรายได้ที่จะเข้ามา เหตุผลก็คือ นอกจากผลประกอบการที่จะตกลงมาอย่างหนักแล้ว ยังมาจากความเสี่ยงที่บริษัทอาจจะล้มละลายหรือต้องเพิ่มทุนจำนวนมากพร้อมกับการลดทุนของผู้ถือหุ้นเดิมด้วย ในรอบวิกฤติปี 2540 ศูนย์กลางคือบริษัทเงินทุน ส่วนรอบนี้ก็คือธุรกิจท่องเที่ยวที่ถูกกระทบเต็ม ๆ และยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร
บทเรียนที่ 8 คือ สิ่งที่ผมอยากจะเตือนไว้สำหรับคนที่อยากจะ “ช้อนหุ้น” ที่ตกลงมาแรงมากเพราะเชื่อว่าเมื่อวิกฤติผ่านไปแล้วหุ้นก็จะฟื้นตัว หุ้นที่ตกลงไปมากก็จะขึ้นมากกว่าหุ้นที่ตกลงมาน้อย นี่เป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ ในช่วงที่พื้นฐานของกิจการยังไม่ปรากฏ คนยัง “เก็งกำไร” กันอยู่ ซึ่งช่วงนี้ก็อาจจะทำให้เกิด “การปรับตัวขึ้นทางเทคนิค” เป็นระยะ ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ลงทุนระยะยาวแล้ว สิ่งที่ต้องดูก็คือ มูลค่าที่แท้จริงวัดจากผลประกอบการระยะยาวเทียบกับราคาหุ้น ดังนั้น สิ่งที่จะต้องมองก็คือ ผลประกอบการจะเป็นอย่างไรต่อไปทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ประเด็นก็คือ ในช่วงแรก ๆ ของวิกฤติตลาดหุ้น การประเมินผลกระทบยังเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะเห็นข้อมูลมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ ในกรณีวิกฤติโควิดครั้งนี้ ตัวเลขที่จะต้องจับตามองก็คือ ผลประกอบการไตรมาศแรกและไตรมาศสองที่จะออกมาในระยะเวลาอีก 1 เดือนและ 4 เดือนข้างหน้า ตามลำดับ เพราะมันจะบอกว่าผลประกอบการทั้งปีจะเป็นอย่างไร รวมไปถึงสถานะการระบาดของเชื้อไวรัสที่จะบอกว่ามันควรจะยุติได้เมื่อไร สำหรับผมแล้ว การลงทุนในวันนี้เองนั้น ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเรื่องของการ “เก็งกำไร” ซึ่งมีความเสี่ยงไม่น้อย
บทเรียนสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ ในทุกวิกฤติก็จะมี “ผู้แพ้” และ “ผู้ชนะ” เสมอ ก่อนวิกฤติบริษัทบางกลุ่ม เจ้าสัวบางตระกูล หรือนักลงทุนบางคน “ร่ำรวย” กว่าคนอื่น หลังวิกฤติก็จะมีบริษัทกลุ่มใหม่ เศรษฐีตระกูลใหม่ หรือนักลงทุนกลุ่มใหม่ร่ำรวยขึ้นมาแทน “คุณค่า” ของกิจการเปลี่ยนแปลงไปจากกลุ่มเดิมเป็นกลุ่มใหม่ บางครั้งก็เป็นธุรกิจ “New Economy” ในวิกฤติครั้งนี้ คงต้องดูกันต่อไปว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบที่เคยผ่านมาไหม นี่ก็คงขึ้นอยู่กับสถานภาพของเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย เพราะในอดีตนั้น ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ หลังจากนั้นไทยก็กลับมาโตต่อไปได้อย่างแข็งแรง แต่ครั้งนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เหตุผลก็เพราะว่าตั้งแต่ก่อนวิกฤติหลายปีเราก็อ่อนแอลงมาโดยตลอดอยู่แล้ว ผมก็อยากจะหวังว่า หลังวิกฤติเราจะเกิด “ปาฏิหาริย์” ที่ทำให้ประเทศไทยกลับมาแข็งแกร่งและพร้อมต่อสู้กับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกได้อย่างที่เคยเป็นมาช้านาน และนั่นก็จะเป็นเวลาที่หุ้นไทยก็จะเติบโตขึ้นต่อไปอีกนานเช่นเดียวกัน